xs
xsm
sm
md
lg

“ทำคดีกับตีน”! เสียงก้องกลางห้องประชุมที่นำไปสู่ความเปลี่ยนแปลงคดีป่วน 7 จังหวัดใต้ / ไชยยงค์ มณีพิลึก

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online

แฟ้มภาพ
 

คอลัมน์  :  จุดคบไฟใต้

โดย...ไชยยงค์  มณีพิลึก
----------------------------------------------------------------------------------------


 
คดีก่อวินาศกรรมใน 7 จังหวัด ซึ่งต้องแยกออกมาว่าเป็นภาคใต้ตอนล่าง 1 จังหวัด คือ ตรัง และเป็นภาคใต้ตอนบน 5 จังหวัด คือ นครศรีธรรมราช สุราษฎร์ธานี กระบี่ พังงา ภูเก็ต และประจวบคีรีขันธ์ ซึ่งไม่ได้อยู่ใน 14 จังหวัดภาคใต้ แต่เป็นจังหวัดที่มีอาณาเขตติดกับ จ.ชุมพร ซึ่งเป็นพื้นที่ของ 14 จังหวัดภาคใต้

ในที่สุดคดีนี้ก็มาถึงการแยกออกเป็น 2 ส่วนด้วยกัน โดยส่วนแรกที่มีการควบคุมตัวบุคคลในกลุ่มที่ทำกิจกรรมทางการเมืองกับ “คนเสื้อแดงหรือ “นปช.” จำนวน 17 คน ที่ขณะนี้ถูกตั้งขอหาเป็น “อั้งยี่

เจ้าหน้าที่กล่าวว่า คนทั้งหมดทำการเคลื่อนไหวที่เป็นภัยต่อประเทศในชื่อ “พรรคแนวร่วมปฏิวัติประชาธิปไตย” อาจจะเป็น “ข่าวใหม่ สำหรับคนไทย เพราะก่อนหน้านี้ยังไม่มีใครรับรู้ในเรื่องของพรรคดังกล่าว ซึ่งมีรายละเอียดจากเจ้าหน้าที่ว่า มีแนวคิดทางการเมืองแบบ “คอมมิวนิสต์

คงต้องติดตามกันต่อไปว่า มีพยานหลักฐานที่เป็นจริง หรือเป็นเพียง “ปาหี่ คั่นรายการของคดีการก่อวินาศกรรมครั้งล่าสุดหรือไม่ รวมทั้งเจ้าหน้าที่ยังกล่าวว่า การจับกุมคนในพรรคแนวร่วมปฏิวัติประชาธิปไตยดังกล่าว เป็นคนละส่วนกับเรื่องการก่อวินาศกรรมใน 7 จังหวัดภาคใต้

หรือพูดง่ายๆ ก็คือ 17 คนในกลุ่มนี้ถูกจับ และดำเนินคดีในเรื่อง “การเมือง ไม่ได้มีส่วนในเรื่องของ “การวางระเบิด ที่เกิดขึ้น แต่ประชาชนกลับให้ความสนใจและต้องการรู้ว่า “ใครคือมือระเบิด” และ “ใครคือผู้บงการ” มากกว่าที่จะรู้ในเรื่องของการเผยแพร่ลัทธิคอมมิวนิสต์ เพราะมันเป็นเรื่องที่เป็นไปได้ยากยิ่งแล้วสำหรับสังคมปัจจุบัน

ดังนั้น จะเห็นว่าในส่วนของการวางระเบิด หรือก่อวินาศกรรมในครั้งนี้ แม้จะผ่านไปแล้วกว่า 1 สัปดาห์ แต่เจ้าหน้าที่ยังไม่สามารถจับกุมใครได้เลยแม้แต่คนเดียว แถมผู้ที่เจ้าหน้าที่จับกุมไปจาก ต.อ่าวนาง อ.เมือง จ.กระบี่ รวมถึงคนที่ถูกจับกุมไปจาก อ.หนองจิก จ.ปัตตานี แม้ว่าจะเป็น “แนวร่วม ขบวนการแบ่งแยกดินแดนจริง แต่เป็นการจับกุมในคดีเก่า หรือการก่อเหตุเมื่อปี 2554 โดยคนหนึ่งหนีไปซ่อนตัวที่ จ.กระบี่ อีกคนหนึ่งกลับตัวกลับใจทำอาชีพขับรถรับ-ส่งผู้โดยสารที่ จ.ปัตตานี โดยทั้งคู่ไม่มีส่วนร่วมวางระเบิดครั้งนี้แต่อย่างใด

อีกทั้งในส่วนของการจับกุม นายศักรินทร์ คฤหัสถ์ ที่ จ.นครศรีธรรมราช สุดท้ายก็เป็นได้เพียง “แพะตัวหนึ่ง ที่แม้เจ้าหน้าที่จะพยายามอย่างสุดความสามารถแล้ว แต่ก็ยังไม่สามารถหยิบฉวยอะไรไปใช้ตั้งข้อหาว่าเป็น “มือวางเพลิง” ห้างโลตัสนครศรีธรรมราชได้ ทำกันแม้กระทั่งควบคุมตัวเพื่อหาพยานหลักฐานแล้ว แต่ก็ยังหาไม่พบ จนสุดท้ายต้องปล่อยตัวให้กลับไปรดน้ำมนต์เพื่อ “ล้างซวย ก็เพียงเท่านั้น

จึงส่อให้เห็นถึงการทำงานที่ไม่ “รอบคอบ” ของเจ้าหน้าที่ และผู้เกี่ยวข้องตั้งแต่วันแรกที่เกิดเหตุ จึงสมควรเป็นอย่างยิ่งแล้วกับข่าวที่หลุดรอดออกจากห้องประชุม ผบช.8 ที่ พล.ต.อ.ศรีวราห์ รังสิพรหมณกุล รอง ผบ.ตร. ถึงกับกล่าวกลางที่ประชุมว่า เป็นการ...

“ทำคดีกับตีน”

 
การทำคดีอะไรก็ตาม ไม่ว่าจะเล็กจะใหญ่ก็ตาม ถ้าเริ่มต้นด้วย “ความผิดพลาด” ก็เหมือนกับใส่เสื้อแล้ว “กลัดกระดุมเม็ดแรกผิด” ถ้ายังไม่ถอดออกแล้วกลัดใหม่ก็จะผิดไปเรื่อยๆ

เช่นเดียวกับคดีนี้ที่เมื่อตั้ง “สมมติฐานผิด” โดยมีการฟันธงตั้งแต่ยังไม่พิสูจน์หลักฐานที่เป็นวัตถุพยานในที่เกิดเหตุ ไม่ได้ไล่เรียงดูภาพจากกล้องวงจรปิด แต่กลับรีบออกมาตะโกนบอกกับคนทั้งประเทศว่า เป็นเรื่อง “ความขัดแย้งทางการเมือง ที่ตามมาหลังจากการลงประชามติรับร่างรัฐธรรมนูญและคำถามพ่วง
 
ดังนั้น สิ่งที่เกิดขึ้นตามมาจึงคือการ “เดินหลงทาง” และเกิด “หน้าแตก” แบบหมอไม่รับเย็บ
 
ที่สำคัญเมื่อมีการ “จับแพะ เกิดขึ้น สิ่งนี้ก็จะทำให้เกิด “วิกฤตศรัทธา” ในการทำหน้าที่ของตำรวจ ซึ่งจะทำให้สังคมไม่เชื่อมั่นว่าผู้ต้องหาคนต่อไปจะเป็น “แพะแบบเดียวกับพนักงานที่ทำงานอยู่บนแท่นขุดเจาะกลางทะเลหรือไม่
 
วันนี้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจึง “กลับลำ” ทำการ “ตั้งธงใหม่” บนสมมติฐานของคดีว่า ผู้ก่อเหตุเป็นกลุ่มก่อการร้ายจากจังหวัดชายแดนภาคใต้ แต่ไม่วายที่จะมีวงเล็บไว้ด้วยว่าเป็น “บีอาร์เอ็นนอกแถว” และ “รับจ้างฝ่ายการเมือง”

โดยเป็นการรับจ้างปฏิบัติการก่อวินาศกรรมจากกลุ่ม “ทักษิณ” ที่ไม่ใช่ชื่อของนักโทษหนีคดี เพราะวันนี้ “ทักษิณ” มีความหมายเจาะจงหมายถึง “ภาคใต้ ตามที่คนระดับด็อกเตอร์นายหนึ่งอธิบายไว้

แต่จะว่าไปแล้ว “ธง ของคดีนี้ก็ยังคงมีเรื่อง “การเมือง ในประเทศเป็นหลักอยู่อีกนั่นแหละ และที่ยอมรับว่ามือระเบิดเป็นพลพรรคขบวนการบีอาร์เอ็น เพราะพยาน และหลักฐาน รวมทั้งแนวทางการสืบสวนสอบสวนถูกบังคับให้เป็นไปเช่นนั้น เพราะนั่นคือ “ความจริง” ที่ยากจะบิดเบือน
 
ดังนั้น ก่อนที่การสืบสวนสอบสวนจะไปถึง “นักการเมือง ซึ่งอาจจะหมายถึง “นักการเมืองนอกประเทศ” และอาจหมายรวมถึง “นักการเมืองในจังหวัดชายแดนภาคใต้” สิ่งที่สังคมต้องการทราบก่อนในขณะนี้คือ กลุ่มมือระเบิดและมือวางเพลิงที่ร่วมกันก่อเหตุมีจำนวนเท่าไหร่ มีรายละเอียดในเรื่องชื่อเสียงเรียงนามว่าเป็นใครบ้าง และมีแผนก่อเหตุเป็นอย่างไรบ้าง
 
แต่ที่สำคัญมากคือ “มีหลักฐานอะไร” ที่ทำให้เชื่อได้ว่ามือระเบิดเป็นเพียง “บีอาร์เอ็นนอกแถว” ที่ไม่เกี่ยวข้องกับ “ขบวนการแบ่งแยกดินแดนบีอาร์เอ็น”

เนื่องเพราะถ้าเป็นพวกนอกแถว ทำไมจึงมีการวางแผนแยบยลทั้ง “อำพรางรุก” และ “อำพรางถอย โดยมีการสรุปบทเรียนจากการใช้ยานพาหนะก่อเหตุครั้งก่อนๆ แล้วเปลี่ยนเป็นใช้การโดยสารรถประจำทางแทน อันคิดว่าจะไม่เป็นเบาะแสให้ตำรวจแกะรอยจับกุมได้ เหมือนอย่างการก่อเหตุที่ “ห้างเซ็ลทรัล บนเกาะสมุย และที่ “โคอ็อป ใน จ.สุราษฎร์ธานี

ถ้าคนกลุ่มนี้เป็นพวก “โจรกระจอก” หรือ “โจรนอกแถว” ยังสามารถสร้างความสูญเสียได้เพียงนี้ แล้วถ้าวันหนึ่งเป็นพวก “โจรในแถว” ลงมือล่ะ อะไรจะเกิดขึ้นกับประเทศไทย

โดยข้อมูลเชิงลึกของฝ่ายความมั่นคงมีความเชื่อมั่นว่า คนร้ายกลุ่มนี้เป็น “มือเก่า ของขบวนการบีอาร์เอ็น ซึ่งการทำงานครั้งนี้มีการประสานกับ “มือใหม่ ในพื้นที่ ทั้งนี้ ก็เพื่อเป็นการ “ทดลองปฏิบัติการนอกพื้นที่” และยังไม่ต้องการสร้างความเสียหายต่อชีวิตอย่างมากมาย
 
เพราะยังไม่สามารถใช้การผลิต “ระเบิดขนาดใหญ่ในพื้นที่” เป้าหมายได้ รวมทั้งไม่สามารถนำ “คาร์บอมบ์ เดินทางจากจังหวัดชายแดนภาคใต้เข้าสู่พื้นที่เป้าหมายอีกแล้ว

เป้าหมายของบีอาร์เอ็นเพียงแค่ต้องการ “ส่งสารที่มี “นัยสำคัญ” ให้แก่ผู้บริหารประเทศได้รับทราบแบบไม่ต้องเปิดเผยต่อสาธารณะ แต่ต้องการสร้างความ “กระทบกระเทือน ทั้งทางด้าน “การเมือง กับ “การทหารและทางด้าน “เศรษฐกิจ” ให้เกิดขึ้น
 
ทั้งนี้ทั้งนั้น บีอาร์เอ็นเชื่อว่าผู้บริหารประเทศรู้ว่า บีอาร์เอ็นเป็นผู้สั่งการ และรู้ว่าบีอาร์เอ็นต้องการอะไรจากปฏิบัติการครั้งนี้

ดังนั้น จึงยังนับว่าเป็น “โชคดี” ของคนไทยทั้งประเทศที่บีอาร์เอ็นยังต้องการเป็น “องค์กรปิดลับโดยไม่ออกหน้ามารับและก็ไม่ปฏิเสธในสิ่งที่เกิดขึ้น
 
อันจะเห็นได้ชัดว่า 12 ปีที่ผ่านมาการก่อการร้ายในพื้นที่ 4 จังหวัดชายแดนภาคใต้นั้น บีอาร์เอ็นก็ไม่เคยรับตรงๆ ว่าเป็นผู้ก่อเหตุ และในขณะเดียวกัน เมื่อถูกกล่าวหาว่าเป็นผู้กระทำ บีอาร์เอ็นก็ไม่ได้ออกมาปฏิเสธแต่อย่างใด

เหตุผลของการไม่รับและไม่ปฏิเสธ นั่นคือการสร้าง “ความคลุมเครือ ให้เกิดขึ้น และถือโอกาสทำงานการเมืองด้วยการ “ป้ายสี ว่าเป็นการสร้างสถานการณ์ของเจ้าหน้าที่รัฐ

และอีกเหตุผลหนึ่งที่สำคัญไม่แพ้กันที่บีอาร์เอ็นไม่รับคือ “ฐานที่มั่น” ของบีอาร์เอ็นอยู่ใน “ประเทศมาเลเซีย” รวมทั้งยังใช้เป็น “ที่หลบภัย ของ “แนวร่วม” หลังก่อเหตุที่บีอาร์เอ็นเป็นผู้สั่งการ หรือเป็นอยู่เบื้องหลัง

เพราะหากไม่ทำตัวเป็นองค์กรปิดลับ บีอาร์เอ็นก็จะอาศัยอยู่ในประเทศมาเลเซียไม่ได้ เพราะรัฐบาลมาเลเซียจะไม่ยินยอมเป็นแน่แท้ เพราะรัฐบาลมาเลเซียจะกลายเป็น “ผู้เสียหาย” ด้วยในฐานะที่เป็น “มิตรประเทศ” ที่มีพรมแดนติดกับประเทศไทย

ดังนั้น จึงเป็นโชคดีของสังคมไทยที่ยังทำให้เราสามารถ “ปฏิเสธ” แบบข้างๆ คูๆ ถูๆ ไถๆ ไปได้ชนิดวันต่อวันว่า สิ่งที่เกิดขึ้นเป็นเรื่อง “การเมือง เป็นเรื่อง “ประชามติ และกลุ่มปฏิบัติการก็เป็น “โจรนอกแถว

เพราะอย่างน้อยที่สุดการเอา “สีข้างเข้าถู ก็นับเป็น “ผลดี” ที่ยังทำให้เห็นว่าสถานการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นเรื่อง “ภายใน ของเรา ซึ่งบรรดาประเทศมหาอำนาจอย่าแหยมเข้ามาแทรกแซง

แต่อย่างไรก็ตาม คนไทยทั้งประเทศต้องรับรู้ถึงเหตุการณ์ และสถานการณ์ที่เกิดขึ้นว่า แท้จริงแล้วเป็นเรื่องอะไร และมาจากไหน เพราะจะได้ “หันศาสตราวุธ” ไปสู่ศัตรูได้อย่างถูกทิศถูกทาง ไม่ใช่หันเข้าใส่คนไทยด้วยกัน ซึ่งเป็นผลจากข้อมูลที่ผิดพลาดอันเนื่องมาจากการ “กลัดกระดุมผิดตั้งแต่เม็ดแรก” ของการก่อวินาศกรรม 7 จังหวัดภาคใต้ในครั้งนี้
 
 
 

กำลังโหลดความคิดเห็น