ในที่สุดความพยามยามที่จะ “ปิดจ๊อบ” การก่อวินาศกรรมในพื้นที่ 7 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ให้เป็นเรื่องของ “ความขัดแย้งทางการเมือง” ตามที่มีการฟันธงตั้งแต่ยังไม่ทันสิ้นเสียงระเบิด และกรุ่นควันไฟจากการวางเพลิงยังจางหาย ซึ่งเวลานี้ดูเหมือนจะทำได้สำเร็จเสร็จสิ้นตามที่ได้เป้าประสงค์ที่วางไว้
อันเป็นไปตามวิถีการปฏิบัติงานในหน้าที่รับผิดชอบของ “ตำรวจไทย” นั่นเอง
เมื่อมีการควบคุมตัว “กลุ่มคนเหล่านั้น” และสามารถทำให้เป็นผู้ต้องหาได้แล้วก็น่าจะจบ เพราะถ้าปล่อยออกไปโดยไม่มีการตั้งข้อกล่าวหา ก็อาจจะถูกฟ้องกลับระเนระนาด ซึ่งคนที่ถูกจับกุมทั้งหมดต่างไม่ใช่ตาสี ตาสา ยายมา หรือยายมี
แต่ล้วนเป็น “คนเสื้อแดง” ที่ต้องจัดว่ามี “พิษสง” และมี “แบ็กอัป” เป็นอย่างดี โดยเฉพาะทีมฝ่ายกฎหมายก็ล้วนมือดีที่ค่อยสนับสนุนอยู่
ข้อหาที่ถูกใช้ในการกล่าวหาจึงแปรเป็น “อั้งยี่ซ่องโจร” ซึ่งเป็นข้อหาหนักพอควร ซึ่งหลักฐานมีหรือไม่มีก็ตาม แต่การที่จะได้รับการปล่อยตัวชั่วคราวจากกระบวนการยุติธรรมนั้นจัดว่ายากยิ่ง
ส่วนจะผิดจริง หรือจะเป็นแค่ “แพะ” หรือจะเป็นเพียง “แกะ” ก็ตาม เรื่องเหล่านี้สามารถที่จะส่งต่อไปยังกระบวนการพิจารณาของชั้น “อัยการ” และ “ศาล” เป็นผู้ชี้ขาดได้ และการใช้ข้อหา “อั้งยี่ ซ่องโจร” ครั้งนี้ก็มีแต่จะทำให้การเคลื่อนไหวต่อไปของ “คนเสื้อแดง” ใจหายใจคว่ำมากยิ่งขึ้น
แหล่งข่าวที่เป็นชุดจับกุมผู้ต้องหาชุดพลพรรคปฏิวัติประชาธิปไตย บอกเล่าว่า ในวันที่มีคำสั่งให้เข้าตรวจค้น และควบคุมตัว เจ้าหน้าที่ไม่มีหลักฐานอะไรอยู่ในมือมาก่อนเลย แต่เป็นการเข้าควบคุมตัวตามคำสั่งก่อนที่ชุดสืบสวนสอบสวนจะทำการต่อ “จิ๊กซอว์” จนได้หลักฐาน และตั้งข้อกล่าวหาได้
ในขณะที่วันนี้คนไทยทั้งประเทศมีความต้องการที่จะทราบว่า “มือระเบิดคือใคร” มากกว่าที่จะรู้ว่า “ใครเป็นอั้งยี่” และมีการประชุมเพื่อตั้งขบวนการเคลื่อนไหวทางการเมือง เพราะเวลานี้การทำคดีวินาศกรรมป่วน 7 จังหวัดภาคใต้ผ่านไปกว่า 7 วันแล้ว ตำรวจยังไม่สามารถออก “หมายจับมือระเบิด” ได้แม้แต่คนเดียว
สำหรับที่พยายามให้ข่าวว่า มีการออกหมายจับคนร้ายไปแล้ว 2-3 คนนั้น แท้จริงเวลานี้ก็ยังไม่รู้เลยว่าคนที่จะจับชื่ออะไร อยู่ที่ไหน หรือเป็นการจะออกหมายจับชายไม่ทราบชื่อ เพียงแต่มีรูปปรากฏให้เห็นทางกล้องวงจรปิดเท่านั้น
แหล่งข่าวในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ซึ่งเป็นชุดสืบสวนหาเบาะแสกลุ่มคนร้ายที่เดินทางไปจาก จ.นราธิวาส ให้ข้อมูลว่า ได้ตรวจสอบหลักฐาน และกล้องวงจรปิดจากจุดต่างๆ ของสถานีรถไฟ และคิวรถโดยสาร ทั้งรถทัวร์ และรถตู้โดยสารแล้ว ทั้งในพื้นที่ อ.เมือง อ.สุไหงโก-ลก และในอำเภออื่นๆ เพื่อหาหลักฐาน โดยเฉพาะชื่อผู้ตั๋วโดยสาร แต่ยังไม่สามารถที่จะได้หลักฐานที่ใช้ในการระบุตัวบุคคลได้ชัดเจน
เนื่องจากตั๋วรถตู้ไม่ต้องระบุชื่อผู้โดยสาร ขณะที่ในตั๋วรถทัวร์ หรือรถ บขส. แม้จะมีหลักฐานที่เป็นก๊อบปี้ก็จริง แต่ก็ไม่สามารถที่จะระบุชี้ชัดไปได้ว่า เป็นคนคนเดียวกันกับในรูปที่ปรากฏในกล้องวงจรปิด ทั้งที่ย่านบางเนียง จ.พังงา ที่หัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์ ที่ห้างโลตัสใน จ.นครศรีธรรมราช และที่ จ.สุราษฎร์ธานี
อีกทั้งก๊อบปี้ตั๋วโดยสารที่ตรวจสอบก็มีความไม่สมบูรณ์ และข้อสำคัญคือ ตั๋วรถโดยสารเหล่านี้ใช้ชื่อคนอื่นซื้อ แล้วให้อีกคนโดยสารก็สามารถทำได้ ไม่เหมือนตั๋วเครื่องบินที่ต้องแสดงบัตรประชาชนเพื่อยืนยันตัวตนของผู้โดยสารชัดเจน
แต่อย่างไรก็ตาม ชุดสืบสวนที่กระจายลงหาข่าวตามเส้นทางเดินที่เชื่อว่า กลุ่มผู้ลงมือปฏิบัติการวางระเบิด และวางเพลิงใช้เดินทาง พบว่า มือระเบิดเดินทางเป็นกลุ่มๆ แต่ไม่ใช่ใช้เส้นทางเดียวกันทั้งหมด โดยมีการกระจายกันเดินทางเป็นชุดๆ และพยายามสร้างจุดเด่นอะไรๆ จนเป็นที่สังเกต อันถือเป็นการสร้างความสับสนในการติดตามสืบสวนสอบสวนของเจ้าหน้าที่อย่างมาก
เพราะพบว่า มือระเบิดไม่ได้เดินทางไป และกลับที่สถานีขนส่งตลาดเกษตรในย่านหาดใหญ่ใน อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา เพียงสถานที่เดียว แต่มีการใช้สถานีขนส่งใน อ เมืองสงขลา ในการเดินทางด้วย เช่นเดียวกับการเดินทางหลบหนีหลังปฏิบัติการยังที่ต่างๆ แล้ว กลุ่มคนร้ายยังมีการเปลี่ยนรถโดยสารเป็นทอดๆ กว่าจะถึงสถานีขนส่งใน อ.หาดใหญ่
และที่สำคัญกลุ่มคนร้ายได้เตรียมเสื้อผ้าสำรองใส่ในเป้ที่ใช้ใส่ระเบิดไปด้วย เพื่อใช้เปลี่ยนก่อนที่จะขึ้นรถหลบหนีกลับไปยังจังหวัดชายแดนภาคใต้
ทั้งหมดทั้งปวงจึงถือได้ว่า ปฏิบัติการครั้งนี้มีการวางแผน “ขั้นเทพ” ทั้งในด้านปฏิบัติการขั้น “อำพรางรุก” และ “อำพรางถอย”
ล่าสุด ในความพยายามของชุดสืบสวนที่มี พล.ต.ท.สุชาติ ธีระสวัสดิ์ ผบช.ประจำสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เป็นหัวหน้าชุด ได้เปิดปฏิบัติการให้ตำรวจชุดแรกนำตัว “แนวร่วมในพื้นที่ จ.นราธิวาส” จำนวน 2-3 คน ไปทำการสอบสวนหารายละเอียด โดยเชื่อว่าผู้ที่ถูกนำตัวไปแม้จะไม่อยู่ในแผนปฏิบัติการก่อเหตุวินาศกรรมป่วน 7 จังหวัดภาคใต้ครั้งนี้ แต่ถือเป็นผู้ที่ต้องมีส่วนรู้เห็น หรือรู้เรื่อง และรู้ว่าในกลุ่มของฝ่ายปฏิบัติการครั้งนี้มีใครบ้าง
ในขณะที่ตำรวจชุดที่ 2 ได้นำตัว “แนวร่วมในพื้นที่ จ.ปัตตานี” จำนวน 1 คน ไปทำการสืบสวนเช่นกัน เพราะมีเบาะแสว่าเป็นผู้ที่ขับรถยนต์กระบะไปส่งคนร้ายที่เป็นมือปฏิบัติการ 3 คนไปยังหมู่บ้านริมทะเลแห่งหนึ่งใน ต.เกาะแต้ว อ.เมือง จ.สงขลา เมื่อวันที่ 8 ส.ค.ที่ผ่านมา อันเป็นช่วงก่อนที่คนกลุ่มนี้จะเดินทางต่อไปไปยัง จ.นครศรีธรรมราช ด้วยรถโดยสารจากในพื้นที่ อ.เมืองสงขลา
ในขณะที่แหล่งข่าวจากตำรวจสันติบาลฟากฝั่งประเทศมาเลเซีย ให้ข้อมูลว่า มือระเบิดชุดนี้ถือเป็น “มือพระกาฬ” ของขบวนการก่อการร้ายในประเทศไทยเลยทีเดียว และเป็น “บุคคล 2 สัญชาติ” ที่ผ่านการก่อเหตุในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ แล้วหลบไปอยู่ในประเทศมาเลเซียมาอย่างต่อเนื่อง
อย่างไรก็ตาม ตำรวจสันติบาลดินแดนเสือเหลืองเชื่อว่า ระเบิดที่ใช้ไม่ได้ประกอบในประเทศมาเลเซีย โดยน่าจะเป็นไปได้ที่จะมีการประกอบขึ้นตั้งแต่ใน จ.นราธิวาส แล้วจากนั้นส่งให้กลุ่มผู้ปฏิบัติการหอบหิ้วกันโดยสารรถยนต์ และรถไปเพื่อนำไปวางในพื้นที่ 7 จังหวัดชายแดนภาคใต้นั่นเอง
--------------------------------------------------------------------------------
อ่านเรื่องเกี่ยวเนื่อง
- แกะรอยป่วน 7 จ.ใต้ (1)..ข้อมูลข่าวกรองยันป่วน 7 จ.ใต้โยง “ไฟใต้” ตามติด 13 รายชื่อ-จิ๊กซอว์เส้นทางก่อเหตุ
- แกะรอยป่วน 7 จ.ใต้ (2)...เปิด “แผนอำพรางรุก-อำพรางถอย” ทีมวินาศกรรมที่ล้วนไปจาก “นราฯ” และ “หมายจับแท้ง”
- แกะรอยป่วน 7 จ.ใต้ (3)...หวย “จับแพะชนแกะ” ออก 17 มือก่อการ 13 เข้ามาเลย์แล้ว จับตาเงื่อนไขใหม่ “สงขลา” จะรอดไหม?