xs
xsm
sm
md
lg

หมาหน้าโง่กับหมาหน้าฉลาด

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

“หนึ่งความคิด”
โดย “สุรวิชช์ วีรวรรณ”


ผมประกาศตัวชัดแจ้งไปแล้วทางเฟซบุ๊กว่า “ไม่รับ” ร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้และคำถามพ่วง

เพราะผมคิดว่ารัฐธรรมนูญและคำถามพ่วงที่เขียนให้สืบทอดอำนาจโดยให้ 250 ส.ว.ที่มาจากการแต่งตั้งเลือกนายกฯได้ถึง 2 สมัยใน 5 ปี ไม่ได้ช่วยให้สถานการณ์ความขัดแย้งในบ้านเมืองดีขึ้น แต่จะขัดแย้งรุนแรงยิ่งขึ้นกว่าเก่า ระบอบทักษิณก็ยังอยู่เพียงแต่รอเวลาเท่านั้น

ผมพอจะมองเห็นแล้วว่า ส.ว.ที่มาจากการแต่งตั้งของ คสช. 250 คนจะเลือกใคร เท่ากับว่าอีกนานถึง 8 ปี ที่ส.ว.แต่งตั้งจะมีอำนาจเหนือสิทธิของผมและประชาชนอีกหลายสิบล้านคน โดยมีคนตั้ง ส.ว.มีอำนาจเหนือส.ว.อีกทีหนึ่ง คิดดูสิว่า ส.ว.กลุ่มนี้จะรับใช้ประชาชนหรือคนที่เขาแต่งตั้งเข้ามา

รัฐธรรมนูญฉบับนี้ไม่ใช่รัฐธรรมนูญปราบโกงจริง เพราะยังไม่เจอมาตราไหนเลยที่ป้องกันนักการเมืองเข้ามาโกงได้จริงๆ ที่เห็นก็เพียงการกำหนดคุณสมบัติคนที่เข้าสู่การเมืองซึ่งเป็นเรื่องที่ “ต้องมี” อยู่แล้วเท่านั้น แต่ไม่มีนักการเมืองคนไหนโกงตั้งแต่ก่อนเข้าสู่การเมืองหรอกครับ เขาโกงเมื่อมีอำนาจ มีมาตราไหนบ้างที่ป้องกันนักการเมืองโกงเมื่อมีอำนาจได้บ้าง ไม่มีเลยครับ อย่างเก่งก็บอกว่าถ้าโกงแล้วจะมีโทษอย่างไร เรามี ป.ป.ช.มาตั้งนานแล้วนักการเมืองกลัวไหม

ที่บอกว่า ถ้าโกงเลือกตั้ง ทุจริตคอร์รัแชั่น ไม่มีสิทธิมาสมัครเลือกตั้งไม่เห็นจะแปลกถ้ามีสิทธิสมัครสิถึงจะแปลก อาจจะบอกว่ามีมาตรา 144 ที่ห้ามนักการเมืองยุ่งเกี่ยวกับการพิจารณางบประมาณ การของบลงในพื้นที่เลือกตั้งเป็นช่องทางที่หาประโยชน์เพื่อคะแนนเสียงของนักการเมืองเท่านั้น ไม่ใช่ช่องทางโกงที่แท้จริงของนักการเมืองครับ

แม้เราจะรังเกียจนักการเมือง รัฐธรรมนูญนี้ก็ไม่ตอบโจทย์ตรงนี้ เพราะถ้ามีการเลือกตั้งแล้ว คนที่มาลงสมัครก็คือนักการเมืองนั่นแหละดังนั้นนักการเมืองไม่ได้หายไปไหนหรือถูกกำจัดด้วยรัฐธรรมนูญฉบับนี้ ถ้าเรารังเกียจนักการเมืองเราต้องไม่เลือกคนที่ไม่ดีต่างหาก

มาตรา 178 มีความหละหลวมที่จะก่อให้เกิดความเสียหายต่อประเทศชาติ เป็นการบัญญัติบทลงโทษที่แปลกเหมือนกับบอกว่าถ้านักการเมืองที่มีหน้าที่ทำงานไม่เสร็จใน60วัน แทนที่จะลงโทษนักการเมือง แต่กลับลงโทษประเทศแทน

ผมมีความเห็นเดียวกับ คุณอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ว่า การเปิดโอกาสให้นักการเมืองอุทธรณ์ได้หลังการตัดสินของศาลฎีกาแผนกคดีอาญานักการเมือง เป็นการเปิดช่องให้คนโกงมีช่องที่จะดิ้นเพื่อเอาตัวรอด ขนาดอุทธรณ์ไม่ได้นักการเมืองยังไม่กลัวเลย ถ้ากลัวคงไม่มีคดีมาขึ้นศาล เห็นอยู่แล้วว่าใครจะได้ประโยชน์บ้าง นอกจากคดีจำนำข้าวแล้วยังรวมถึงจำเลยในคดี 7 ตุลาด้วย

ความเห็นนี้เป็นความเห็นส่วนตัวไม่ต้องการชักนำใครทั้งสิ้น

ความคิดเห็นของผมสุ่มเสี่ยงอยู่บ้างที่จะถูกกล่าวหาว่าเป็นแนวร่วมของคนเสื้อแดงหรือพวกทักษิณที่ต้องการคว่ำร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้ แต่ผมก็เลือกที่จะตัดสินใจกระทำตามความรู้สึกนึกคิดของตัวเองมากกว่า เพราะผมคิดว่าคนเราไม่จำเป็นต้องเห็นต่างกันในทุกเรื่อง การมีอุดมการณ์ทางการเมืองที่แตกต่างกันก็อาจจะมีจุดร่วมบางเรื่องที่ตรงกันได้

ที่สำคัญผมเป็นเพียงคนธรรมดาสามัญที่ไม่ต้องพะวงต่อฐานเสียงมวลชนว่าผมจะทำให้เขาเสียศรัทธา และการรักษาศรัทธาเพื่อเลือกทางที่ตรงข้ามกับความรู้สึกของตัวเองไม่ใช่เรื่องที่ถูกต้องในความคิดของผม ผมจึงรู้สึกชื่นชมคุณอภิสิทธิ์ เสียอีกที่ต้องแบกภาระความศรัทธาของมวลชนเอาไว้แต่ก็กล้าตัดสินใจที่จะแสดงจุดยืนของตัวเองออกมา แม้รู้ว่าอาจไม่เป็นที่ถูกใจของมวลชนก็ตาม ในฐานะเขาเป็น “นักการเมือง” ต้องชื่นชมว่านี่เป็นความกล้าหาญอย่างหนึ่ง

ที่ผ่านมาอภิสิทธิ์ไม่ได้ทำถูกทั้งหมด ตอนเป็นนายกฯ ผมวิจารณ์อภิสิทธิ์แรงๆ หลายครั้ง แต่ครั้งนี้ผมชื่นชมการตัดสินใจของเขา

ถ้าไม่อยากถูกด่าอภิสิทธิ์ก็แค่บอกว่า “รับ” ร่างรัฐธรรมนูญ แต่ “ไม่รับ”คำถามพ่วง แค่นี้ก็เท่และดูดีแล้ว ยังสามารถรักษาน้ำใจของมวลชนไว้ได้ ถ้าไม่มีใครแอบไปจับมือกับทักษิณหลังเลือกตั้งแม้รัฐธรรมนูญจะเขียนให้สืบทอดอำนาจอย่างน้อยประชาธิปัตย์ก็เป็นพรรครัฐบาลแน่ๆ

แต่เมื่อเขาเห็นความบกพร่องของร่างรัฐธรรมนูญจากเหตุผล 3 ข้อที่เขาชี้แจงซึ่งฟังแล้วมีน้ำหนัก และเลือกที่จะซื่อสัตย์กับตัวเองมากกว่าการเอาใจมวลชน ผมจึงเคารพการตัดสินใจของเขา

ถ้าเราเห็นว่าร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้ดีก็ออกไป “รับ” เห็นว่าไม่ดีก็ “ไม่รับ” อย่าให้การ “รับ” หรือ “ไม่รับ” ร่างรัฐธรรมนูญเป็นเรื่องของความดีกับความเลวหรือเทพกับมาร นอกจากมีใครบอกว่าร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้มีแต่สิ่งที่ดีโดยไม่มีที่ติเลยก็บอกมา

การ์ตูนนิสต์ชื่อดังคนหนึ่งบอกว่า การปฏิเสธร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้เหมือนกับ “หมาหน้าโง่” ที่เห็นเงาของตัวเองในน้ำ เข้าใจว่าก้อนเนื้อที่เห็นอยู่ในเงานั้นก้อนใหญ่กว่าที่คาบอยู่ที่ปากเลยตัดสินใจปล่อยก้อนเนื้อในปากทิ้งไปเพื่อหวังจะได้ก้อนเนื้อที่ใหญ่กว่า สุดท้ายก็ไม่ได้อะไรกลับไป

เรื่องที่เอามาเปรียบเทียบนั้นไม่จริงครับ เพราะ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีหัวหน้า คสช.บอกแล้วว่า ถ้าร่างรัฐธรรมนูญไม่ผ่านก็ร่างใหม่ ดังนั้นยังไงเสียเราก็ต้องมีก้อนเนื้อก้อนใหม่อยู่ดี อาจจะมีคนพูดอีกว่าเราอาจได้ก้อนเนื้อที่ไม่ดีกว่าเก่าเป็นความเสี่ยงไม่มีหลักประกันอะไรเลย แต่คำถามก็คือว่าเมื่อเราเห็นอยู่แล้วว่าก้อนเนื้อก้อนนั้นมันมีเชื้อโรคปะปนหรือใช้สารเร่งเนื้อแดงเราจะยอมกินมันเข้าไปมากกว่าจะทิ้งมันไปแล้วไปหาเนื้อก้อนใหม่หรือ

ลองถามตัวเองซิว่าเราจำเป็นต้องรีบร้อนที่จะให้ได้ร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่โดยเร็วเพื่อให้เร่งไปสู่การเลือกตั้งเพียงแต่ยอมรับก้อนเนื้อที่คาบอยู่ในปากเช่นนั้นหรือ

บางคนอาจจะถามว่า ทำไมผมถึงปฏิเสธการสืบทอดอำนาจแต่ไม่ปฏิเสธการรัฐประหาร คำตอบก็คือ ผมมองเห็นว่าวันที่ คสช.ยึดอำนาจนั้นบ้านเมืองไม่มีทางออกไปยิ่งกว่านี้ การเมืองและประเทศชาติเดินมาถึงทางตัน กลุ่มคนกลุ่มหนึ่งอยู่บนท้องถนนและปฏิเสธการเลือกตั้งเรียกร้องการปฏิรูป คนอีกกลุ่มถืออำนาจอยู่และปล่อยให้ฝ่ายที่สนับสนุนใช้อาวุธสงครามมายิงทำร้ายอีกฝ่ายซึ่งไม่ใช่วิถีทางของระบอบประชาธิปไตยอย่างที่ฝ่ายถืออำนาจกล่าวอ้างและเรียกตัวเองว่าฝ่ายประชาธิปไตย

ทหารเป็นทางเลือกเดียวในเวลานั้นที่จะนำพาบ้านเมืองกลับมาสู่ภาวะปกติเมื่อจัดการทุกอย่างเข้าที่แล้วก็คืนอำนาจกลับมาให้ประชาชน

ผมจึงปฏิเสธการสืบทอดอำนาจ แต่ผมก็ไม่ได้คาดหวังหรอกครับว่า รัฐบาลทหารจะร่างรัฐธรรมนูญที่เป็นประชาธิปไตย ผมเพียงแต่คิดว่าเมื่อเรากลับมาสู่ภาวะปกติและรัฐบาลทหารพ้นจากอำนาจแล้ว ประชาชนจะสามารถมีส่วนร่วมในการตัดสินชะตากรรมของตัวเองได้ด้วยตัวเอง ถึงวันหนึ่งเราอาจจะปรับเปลี่ยนกติกาของประเทศไปตามสภาวการณ์และบริบทที่เปลี่ยนไปได้

แต่เมื่อร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้ออกแบบให้ ส.ว.ที่มาจากการแต่งตั้งของคสช. 250 คนมีอำนาจเลือกนายกรัฐมนตรีได้ใน 5 ปีหรือกำหนดรัฐบาลสองสมัย8ปี ผมมองว่าสิทธิความเป็นพลเมืองของผมกำลังถูกบั่นทอนและปล้นไปโดยคนมีอำนาจไม่กี่คน ที่ร้ายกว่านั้นผมมองเห็นตัวคนที่จะใช้ช่องทางนี้เข้าสู่อำนาจเป็นก้อนเนื้อที่มีสารพิษ ผมจึงเลือกที่จะทิ้งก้อนเนื้อนั้นไป

คำถามว่า การงับก้อนเนื้อที่เขายื่นมาให้โดยไม่สนใจผลพวงที่จะตามนั้นเป็น “หมาหน้าฉลาด” จริงๆ หรือ


กำลังโหลดความคิดเห็น