ลากไส้!ขบวนการฟอกที่ดิน"สระบุรี"รุกภูเขาทั้งลูกทำรีสอร์ต "โค ราช"ไม่น้อยหน้าเอา สปก. ทำบ้านจัดสรร เผยข้าราชการตัวแสบรุมชำเรา"ดงพญาเย็น –เขาใหญ่" แฉ"นายอำเภอเกี่ยว" ช้อำนาจหน้าที่ขอแบ่งที่ดินขบวนการรุกป่าแลกเอกสารสิทธิ์ เตือนซื้อบ้านจัดสรรโคราชเสี่ยงหนัก อาจซวยได้บ้านบนที่ดิน ส.ป.ก. ปฏิบัติการทวงคืนผืนป่าของรัฐบาล แม้จะมีผลงานให้เห็นเป็นรูปธรรม แต่ไม่มีใครยืนยันว่า หลังจากเข้าสู่โหมดการเลือกตั้งแล้วอนาคตของป่าไม้ประเทศไทย จะเป็นอย่างไร รวมทั้งเทือกเขาดงพญาเย็น –เขาใหญ่ ที่เลื่อนถูกขึ้นบัญชีเป็นมรดกโลก ที่มีความเสี่ยงอันตราย จะกลับสู่ปัญหาเดิมๆ หรือไม่
ทั้งนี้ ข้อมูลจากเวที ประชุมวิชาการ ครั้งที่ 1 หัวข้อ “ป่าไม้ ใครกำหนด”ที่จัดโดย กรมป่าไม้ ร่วมกับคณะวนศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ เมื่อวันที่ 17 เม.ย. 58 พบว่า ป่าไม้ประเทศไทยเหลือเพียง 102,120,417.98 ไร่ เท่านั้น คิดเป็นร้อยละ 31.57 ของพื้นที่ประเทศไทย โดยค่าเฉลี่ยจากจำนวนป่าไม้ เมื่อปี 55 พบว่ามีการบุกรุกทำลายป่า ประมาณปีละ 1 ล้านไร่ ถือว่าเป็นวิกฤต และเป็นต้นเหตุให้เกิดสภาพภัยแล้ง กับภูมิอากาศที่ผันแปรผิดฤดูกาล
มีข้อมูลในเชิงลึกของการตัดไม้ทำลายป่า เฉพาะในเขตพื้นที่ จ.สระบุรี และนครราชสีมา ว่าแท้จริงแล้ว ตัวการใหญ่ที่ทำให้เกิดการบุกรุกป่าสงวน หรือทำความผิดในทุกรูปแบบเกี่ยวกับทรัพยากรธรรมชาติ ก็ล้วนมาจากข้าราชการระดับบนที่เกี่ยวข้อง เช่น ฝ่ายปกครอง ข้าราชการสำนักงานที่ดิน และข้าราชการกรมป่าไม้ เป็นหลัก ส่วนพ่อค้า นายทุน รวมถึงนักการเมืองท้องถิ่น นักการเมืองระดับชาติ หากข้าราชการไม่รู้เห็นเป็นใจด้วย ขบวนการ“กินป่า”ก็จะไม่สามารถเข้าไปยึดครองป่าสาธารณะเป็นสมบัติส่วนตัวได้เลย
แหล่งข่าวที่คร่ำหวอดกับวงการ“ฟอก”ที่ดินในพื้นที่จ.สระบุรี และจ.นครราชสีมา ให้ข้อมูลกับทีมข่าวว่า ด้วยความอุดมสมบูรณ์ของเทือกเขาดงพญาเย็น–ดงพญาไฟ และเขาใหญ่ มีอาณาเขตกว้างขวาง กินพื้นที่หลายจังหวัด ลักษณะทางกายภาพ มีทั้งเนินเขา ที่ราบและแหล่งน้ำธรรมชาติตลอดจนน้ำตกหลายสาย มีความเหมาะสม ทั้งเป็นแหล่งท่องเที่ยว เกษตรกรรม- อุตสาหกรรม นอกจากนั้นยังอยู่ไม่ไกลจากกรุงเทพมหานคร จึงเป็นที่ต้องการของนักลงทุนทุกรูปแบบ ดังนั้นการบุกรุกป่าสงวน ที่สาธารณะ จึงมีความรุนแรงเป็นเงาตามตัว โดยเริ่มจากกลุ่มนักการเมืองท้องถิ่น ประกอบด้วย กำนัน-ผู้ใหญ่บ้าน องค์การบริหารส่วนตำบล ส่วนข้าราชการตัวหลัก คือ นายอำเภอ ซึ่งอยู่ในฐานะผู้มีอำนาจออกเอกสารสิทธิ์ครอบครองที่ดินประเภท นส. 3 หรือ นส.3 ก.
สำหรับขั้นตอนการ“ฟอก”ที่ดินผิดกฎหมายให้ถูกกฎหมายนั้น แหล่งข่าวระบุว่า เมื่อกลุ่มการเมืองท้องถิ่น หรือผู้มีอิทธิพลในพื้นที่ คือกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน อบต. รวบรวมที่ดินที่บุกรุกจำนวนหนึ่งเรียบร้อยแล้ว จะวิ่งเต้นออกเป็น สค.1 หรือ เอกสารรับรองสิทธิ์ในเบื้องต้น ซึ่งสมัยหนึ่งเรียกกันว่า “ใบเหยียบย่ำ”จัดทำขึ้น โดยกำนัน-ผู้ใหญ่บ้าน เป็นผู้รับรอง และมีเจ้าหน้าที่จากกรมป่าไม้ มายืนยันพิกัดอีกครั้ง โดยอาศัยภาพถ่ายดาวเทียม
"ที่นี่ประเทศไทย ไม่มีอะไรยากสำหรับคนขี้โกง พิกัดหลวมๆ จากการชี้ตามอำเภอใจของขบวนการอิทธิพลท้องถิ่น ขนาดกว้าง–ยาว ทิศเหนือ-ใต้ ตะวันออก-ตะวันตก เมื่อถึงเวลากำหนดตามกฎกระทรวงที่ประกาศไว้ให้ผู้ครอบครองนานกว่า 10 ปีขึ้นไป จึงจะซื้อ-ขาย เปลี่ยนมือกันได้ จากสค.1 เมื่อขยับเป็น นส.3 หรือ นส.3 ก. บุคคลที่มีอำนาจ“เยส หรือ โน”ก็คือนายอำเภอ”แหล่งข่าวระบุ
แหล่งข่าว ยกกรณีตัวอย่างด้วยว่า สมมุติว่านายดำ มีที่ดิน สค.1 ประมาณ 100 ไร่ ไม่ว่าจะเป็น สค.บิด สค.บิน หรือ สค.บวม เมื่อผ่านขั้นตอนจากระดับล่าง คือกำนัน –ผู้ใหญ่บ้าน มาแล้ว พอถึงนายอำเภอ หลักการพิจารณาไม่มีอะไรมากไปกว่าผลประโยชน์ ถ้าไม่เป็นเงินตามคำเรียกร้อง ก็อาจเสนอแบ่งเป็นที่ดินตามแต่จะตกลงกัน ขั้นตอนนี้ มีศัพท์เฉพาะเรียกกันว่า เกี่ยวที่ดิน ไม่ทราบว่าจะมี นายอำเภอ คนไหนเข้าไปเกี่ยวข้องด้วย เพราะที่ผ่านมามีข้าราชการระดับนี้ วนเวียนเข้ามาในพื้นที่ จ.สระบุรี–นครราชสีมา จนนับไม่ถ้วน แต่มีบางคนทำแบบนี้อยู่ ไหนๆ รัฐบาล และ คสช. ก็คิดดี ทำดี ทวงคืนผืนป่ากันอยู่ อยากขอแนะให้ตรวจสอบข้อมูลในเชิงลึกดู ก็ลองไล่รายชื่อข้าราชการน้อยใหญ่ทุกคน ที่เข้ามารับตำแหน่งใหญ่โตใน 2 จังหวัดนี้ ใครร่ำรวยผิดปกติ ใครแอบใส่ชื่อญาติ พี่น้อง บริวาร ว่านเครือ กันบ้าง ถ้าตรวจจริงๆ มันไม่ยากหรอก
มีรายงานด้วยว่า บรรดาผู้ครอบครองที่ดินผิดกฎหมายที่ผ่านการ“ฟอก”และ ยังไม่ได้ฟอก กระจายอยู่ในเขต อ.มวกเหล็ก แก่งคอย และวังม่วง อย่างมากมาย มีทั้งในรูปแบบ ไร่องุ่น ฟาร์มโคนม ฟาร์มเลี้ยงม้า และรีสอร์ตขนาดใหญ่ ขนาดกลาง และขนาดเล็ก ซึ่งมีโครงการเรียงราย ลัดเลาะไปตามลำธาร ของน้ำตกเจ็ดสาวน้อย น้ำตกเจ็ดคด และน้ำตกมวกเหล็ก นอกจากนั้น ยังทะลุไปถึงเขต อ.วังม่วง–ลำนารายณ์–ชัยบาดาล ในพื้นที่จ.ลพบุรี แต่ที่เป็นโครงการใหญ่ยักษ์ มีการบุกรุกป่าสงวนเพื่อทำโครงการขนาดใหญ่คือ “เสี่ย ช.”ที่บุกรุกป่า จนสามารถออกเอกสารสิทธิ์เรียบร้อยแล้ว ก็คือโครงการแห่งหนึ่ง ตั้งตระหง่านบนยอดเขา มองจากตลาดปากช่อง ก็สามารถเห็นได้ชัด ส่วนโครงการที่สอง มีขนาดมหึมาหลายพันไร่ ตั้งอยู่ตะเข็บพื้นที่ อ.วังม่วง กับ อ.มวกเหล็ก บุกรุกภูเขากันทั้งลูก ซึ่งกำลังประกาศขายในราคาเกือบ 1 พันล้านบาท
นอกจากพื้นที่ป่าเขาลำเนาไพรถูกย่ำยีตามที่ทราบกันนั้น แหล่งข่าว ยังตั้งข้อสังเกตไปยังพื้นที่ ส.ป.ก. จำนวนมาก ของจ.สระบุรี และ จ.นครราชสีมา ซึ่งขณะนี้มีอยู่หลายร้อยแปลง ที่ขยับปรับตัวเป็นโฉนด เฉพาะ จ.นตรราชสีมา มีหมู่บ้านจัดสรรโผล่ขึ้นมาเป็นจำนวนมาก ขอให้ทหาร หรือเจ้าหน้าที่ผู้เกี่ยวข้อง ลงพื้นที่สำรวจกันอย่างจริงจัง เนื่องจากขณะนี้มีการตัดถนนสาธารณะ ผ่านไร่มันสำปะหลังกันแทบทุกวันอย่างผิดสังเกต
" ตอนนี้ที่ดิน ส.ป.ก.กลายเป็นโฉนดถูกต้องกันแล้ว บรรดานายทุนมากว้านซื้อ ทำเป็นบ้านจัดสรร ราคาตั้งแต่หลักล้าน จนถึง 10 ล้าน บ้างก็แบ่งเป็นแปลงขายเฉพาะที่ดินเปล่าๆ แถวๆ ต.สุรนารี ระบาดอย่างหนัก ยันไปถึงเขตติดต่อ อ.ปักธงชัย แบบนี้รัฐบาลต้องให้ความสำคัญ ต้องหูตาสว่าง อย่าไปไว้ใจข้าราชการในพื้นที่ ให้มากนัก เพราะพวกเขาทำมาหากินกันเป็นระบบ" แหล่งข่าว กล่าว
ทั้งนี้ ข้อมูลจากเวที ประชุมวิชาการ ครั้งที่ 1 หัวข้อ “ป่าไม้ ใครกำหนด”ที่จัดโดย กรมป่าไม้ ร่วมกับคณะวนศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ เมื่อวันที่ 17 เม.ย. 58 พบว่า ป่าไม้ประเทศไทยเหลือเพียง 102,120,417.98 ไร่ เท่านั้น คิดเป็นร้อยละ 31.57 ของพื้นที่ประเทศไทย โดยค่าเฉลี่ยจากจำนวนป่าไม้ เมื่อปี 55 พบว่ามีการบุกรุกทำลายป่า ประมาณปีละ 1 ล้านไร่ ถือว่าเป็นวิกฤต และเป็นต้นเหตุให้เกิดสภาพภัยแล้ง กับภูมิอากาศที่ผันแปรผิดฤดูกาล
มีข้อมูลในเชิงลึกของการตัดไม้ทำลายป่า เฉพาะในเขตพื้นที่ จ.สระบุรี และนครราชสีมา ว่าแท้จริงแล้ว ตัวการใหญ่ที่ทำให้เกิดการบุกรุกป่าสงวน หรือทำความผิดในทุกรูปแบบเกี่ยวกับทรัพยากรธรรมชาติ ก็ล้วนมาจากข้าราชการระดับบนที่เกี่ยวข้อง เช่น ฝ่ายปกครอง ข้าราชการสำนักงานที่ดิน และข้าราชการกรมป่าไม้ เป็นหลัก ส่วนพ่อค้า นายทุน รวมถึงนักการเมืองท้องถิ่น นักการเมืองระดับชาติ หากข้าราชการไม่รู้เห็นเป็นใจด้วย ขบวนการ“กินป่า”ก็จะไม่สามารถเข้าไปยึดครองป่าสาธารณะเป็นสมบัติส่วนตัวได้เลย
แหล่งข่าวที่คร่ำหวอดกับวงการ“ฟอก”ที่ดินในพื้นที่จ.สระบุรี และจ.นครราชสีมา ให้ข้อมูลกับทีมข่าวว่า ด้วยความอุดมสมบูรณ์ของเทือกเขาดงพญาเย็น–ดงพญาไฟ และเขาใหญ่ มีอาณาเขตกว้างขวาง กินพื้นที่หลายจังหวัด ลักษณะทางกายภาพ มีทั้งเนินเขา ที่ราบและแหล่งน้ำธรรมชาติตลอดจนน้ำตกหลายสาย มีความเหมาะสม ทั้งเป็นแหล่งท่องเที่ยว เกษตรกรรม- อุตสาหกรรม นอกจากนั้นยังอยู่ไม่ไกลจากกรุงเทพมหานคร จึงเป็นที่ต้องการของนักลงทุนทุกรูปแบบ ดังนั้นการบุกรุกป่าสงวน ที่สาธารณะ จึงมีความรุนแรงเป็นเงาตามตัว โดยเริ่มจากกลุ่มนักการเมืองท้องถิ่น ประกอบด้วย กำนัน-ผู้ใหญ่บ้าน องค์การบริหารส่วนตำบล ส่วนข้าราชการตัวหลัก คือ นายอำเภอ ซึ่งอยู่ในฐานะผู้มีอำนาจออกเอกสารสิทธิ์ครอบครองที่ดินประเภท นส. 3 หรือ นส.3 ก.
สำหรับขั้นตอนการ“ฟอก”ที่ดินผิดกฎหมายให้ถูกกฎหมายนั้น แหล่งข่าวระบุว่า เมื่อกลุ่มการเมืองท้องถิ่น หรือผู้มีอิทธิพลในพื้นที่ คือกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน อบต. รวบรวมที่ดินที่บุกรุกจำนวนหนึ่งเรียบร้อยแล้ว จะวิ่งเต้นออกเป็น สค.1 หรือ เอกสารรับรองสิทธิ์ในเบื้องต้น ซึ่งสมัยหนึ่งเรียกกันว่า “ใบเหยียบย่ำ”จัดทำขึ้น โดยกำนัน-ผู้ใหญ่บ้าน เป็นผู้รับรอง และมีเจ้าหน้าที่จากกรมป่าไม้ มายืนยันพิกัดอีกครั้ง โดยอาศัยภาพถ่ายดาวเทียม
"ที่นี่ประเทศไทย ไม่มีอะไรยากสำหรับคนขี้โกง พิกัดหลวมๆ จากการชี้ตามอำเภอใจของขบวนการอิทธิพลท้องถิ่น ขนาดกว้าง–ยาว ทิศเหนือ-ใต้ ตะวันออก-ตะวันตก เมื่อถึงเวลากำหนดตามกฎกระทรวงที่ประกาศไว้ให้ผู้ครอบครองนานกว่า 10 ปีขึ้นไป จึงจะซื้อ-ขาย เปลี่ยนมือกันได้ จากสค.1 เมื่อขยับเป็น นส.3 หรือ นส.3 ก. บุคคลที่มีอำนาจ“เยส หรือ โน”ก็คือนายอำเภอ”แหล่งข่าวระบุ
แหล่งข่าว ยกกรณีตัวอย่างด้วยว่า สมมุติว่านายดำ มีที่ดิน สค.1 ประมาณ 100 ไร่ ไม่ว่าจะเป็น สค.บิด สค.บิน หรือ สค.บวม เมื่อผ่านขั้นตอนจากระดับล่าง คือกำนัน –ผู้ใหญ่บ้าน มาแล้ว พอถึงนายอำเภอ หลักการพิจารณาไม่มีอะไรมากไปกว่าผลประโยชน์ ถ้าไม่เป็นเงินตามคำเรียกร้อง ก็อาจเสนอแบ่งเป็นที่ดินตามแต่จะตกลงกัน ขั้นตอนนี้ มีศัพท์เฉพาะเรียกกันว่า เกี่ยวที่ดิน ไม่ทราบว่าจะมี นายอำเภอ คนไหนเข้าไปเกี่ยวข้องด้วย เพราะที่ผ่านมามีข้าราชการระดับนี้ วนเวียนเข้ามาในพื้นที่ จ.สระบุรี–นครราชสีมา จนนับไม่ถ้วน แต่มีบางคนทำแบบนี้อยู่ ไหนๆ รัฐบาล และ คสช. ก็คิดดี ทำดี ทวงคืนผืนป่ากันอยู่ อยากขอแนะให้ตรวจสอบข้อมูลในเชิงลึกดู ก็ลองไล่รายชื่อข้าราชการน้อยใหญ่ทุกคน ที่เข้ามารับตำแหน่งใหญ่โตใน 2 จังหวัดนี้ ใครร่ำรวยผิดปกติ ใครแอบใส่ชื่อญาติ พี่น้อง บริวาร ว่านเครือ กันบ้าง ถ้าตรวจจริงๆ มันไม่ยากหรอก
มีรายงานด้วยว่า บรรดาผู้ครอบครองที่ดินผิดกฎหมายที่ผ่านการ“ฟอก”และ ยังไม่ได้ฟอก กระจายอยู่ในเขต อ.มวกเหล็ก แก่งคอย และวังม่วง อย่างมากมาย มีทั้งในรูปแบบ ไร่องุ่น ฟาร์มโคนม ฟาร์มเลี้ยงม้า และรีสอร์ตขนาดใหญ่ ขนาดกลาง และขนาดเล็ก ซึ่งมีโครงการเรียงราย ลัดเลาะไปตามลำธาร ของน้ำตกเจ็ดสาวน้อย น้ำตกเจ็ดคด และน้ำตกมวกเหล็ก นอกจากนั้น ยังทะลุไปถึงเขต อ.วังม่วง–ลำนารายณ์–ชัยบาดาล ในพื้นที่จ.ลพบุรี แต่ที่เป็นโครงการใหญ่ยักษ์ มีการบุกรุกป่าสงวนเพื่อทำโครงการขนาดใหญ่คือ “เสี่ย ช.”ที่บุกรุกป่า จนสามารถออกเอกสารสิทธิ์เรียบร้อยแล้ว ก็คือโครงการแห่งหนึ่ง ตั้งตระหง่านบนยอดเขา มองจากตลาดปากช่อง ก็สามารถเห็นได้ชัด ส่วนโครงการที่สอง มีขนาดมหึมาหลายพันไร่ ตั้งอยู่ตะเข็บพื้นที่ อ.วังม่วง กับ อ.มวกเหล็ก บุกรุกภูเขากันทั้งลูก ซึ่งกำลังประกาศขายในราคาเกือบ 1 พันล้านบาท
นอกจากพื้นที่ป่าเขาลำเนาไพรถูกย่ำยีตามที่ทราบกันนั้น แหล่งข่าว ยังตั้งข้อสังเกตไปยังพื้นที่ ส.ป.ก. จำนวนมาก ของจ.สระบุรี และ จ.นครราชสีมา ซึ่งขณะนี้มีอยู่หลายร้อยแปลง ที่ขยับปรับตัวเป็นโฉนด เฉพาะ จ.นตรราชสีมา มีหมู่บ้านจัดสรรโผล่ขึ้นมาเป็นจำนวนมาก ขอให้ทหาร หรือเจ้าหน้าที่ผู้เกี่ยวข้อง ลงพื้นที่สำรวจกันอย่างจริงจัง เนื่องจากขณะนี้มีการตัดถนนสาธารณะ ผ่านไร่มันสำปะหลังกันแทบทุกวันอย่างผิดสังเกต
" ตอนนี้ที่ดิน ส.ป.ก.กลายเป็นโฉนดถูกต้องกันแล้ว บรรดานายทุนมากว้านซื้อ ทำเป็นบ้านจัดสรร ราคาตั้งแต่หลักล้าน จนถึง 10 ล้าน บ้างก็แบ่งเป็นแปลงขายเฉพาะที่ดินเปล่าๆ แถวๆ ต.สุรนารี ระบาดอย่างหนัก ยันไปถึงเขตติดต่อ อ.ปักธงชัย แบบนี้รัฐบาลต้องให้ความสำคัญ ต้องหูตาสว่าง อย่าไปไว้ใจข้าราชการในพื้นที่ ให้มากนัก เพราะพวกเขาทำมาหากินกันเป็นระบบ" แหล่งข่าว กล่าว