ผู้จัดการสุดสัปดาห์ -ถึงบทสรุปไปอีกรายสำหรับ "แดงฮาร์ดคอร์" ลิ่วล้อระบอบทักษิณ "ขวัญชัย ไพรพนา" หรือชื่อจริง ขวัญชัย สาราคำ คือ หนีคุก!! เมื่อผลแห่งกรรมชั่วที่ทำไว้ได้เดินไปสุดทางกระบวนการยุติธรรม ชั้นศาลฎีกา ในคดีทำร้ายร่างกายผู้ร่วมชุมนุมกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ซึ่งเปิดเวทีที่สวนสาธารณะหนองประจักษ์ อ.เมืองฯ จ.อุดรธานี เมื่อวันที่ 24 ก.ค.51
ปูมหลังของขวัญชัย ก่อนจะมาแกนนำแดงตัวพ่อในสายภูธรนั้น เขามีพื้นเพ เป็นคน อ.เดิมบางนางบวช จ.สุพรรณบุรี เรียนจบ ป.4 แล้วออกมาเผชิญโชค เคยเป็นตลกอยู่วงดนตรีลูกทุ่ง แล้วก็เริ่มตั้งตัวได้ ในสมัยที่ สายัณห์ สัญญา กำลังโด่งดัง จากนั้นเขาเริ่มเข้าจับธุรกิจทำรายการวิทยุ ที่เสียงสามยอด โดยเป็นผู้จัดรายการวิทยุเชียร์นักร้องลูกทุ่ง โดยเฉพาะสายัณห์ สัญญา ซึ่งมีห้างขายยาและห้างร้าน เช่น ห้างขายยาแก่นนคร ซันย่า เข้ามาเช่าเวลาจากสถานีวิทยุเสียงสามยอด แล้วก็หานักจัดรายการมาจัดรายการเพลงลูกทุ่ง สลับกับโฆษณาสินค้า และยังทำทัวร์คอนเสิร์ตไปตามหมู่บ้านตำบลต่างๆ ถ่ายทอดสด และ ประกวดนักร้อง
ต่อมาขวัญชัย ได้ไปจัดรายการอยู่ที่สถานีวิทยุ เสียงสามยอด จ.ขอนแก่น ด้วยนิสัยคุยโวโอ้อวด จึงถูกขู่ฆ่า ต้องหนีไปพึ่งบารมี นางเบญจมาศ ปริญญาพล ภรรยาของ นายจารึก ปริญญาพล อดีตผู้ว่าฯ อุดรธานี และก็ปักหลักอยู่ที่นั่น
กระทั่งในยุคของ รัฐธรรมนูญ 2540 ที่เปิดช่องให้มีการจัดสรรคลื่นความถี่กันใหม่ ซึ่งเป็นยุคที่ "วิทยุชุมชน" บูมที่สุด ขวัญชัย จึงมีโอการได้เป็นเจ้าของสถานีวิทยุชุมชน "คลื่นมวลชนสัมพันธ์" FM 97.50 MHz เป็นเครื่องมือทำมาหากิน แต่คราวนี้เขาไม่เพียงใช้คลื่นหากินกับการเชียร์นักร้องลูกทุ่งเท่านั้น หากแต่มีเป้าหมายที่จะไต่เต้าเข้าสู่เส้นทางการเมือง จึงตั้งชมรมคนรักอุดรฯ ไว้เป็นฐานมวลชน
ขวัญชัย ที่มีนิสัยส่วนตัวชอบทำตัวเวอร์ คุยโวโอ้อวด ว่าเป็นคนมีเส้นสายใหญ่โต รู้จักผู้หลักผู้ใหญ่ในวงราชการ และนักธุรกิจ ยิ่งได้มีโอกาสพบปะ ถ่ายรูปคู่กับ ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีในขณะนั้น ในคราวที่ชมรมคนรักอุดรฯ นำสิ่งของไปช่วยชาวเหนือที่ประสบอุทกภัย หลังจากนั้นมาขวัญชัย ก็พองตัวเป็นอึ่งอ่าง
ต่อมาในปี 51 ซึ่งเป็นช่วงที่พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย จัดการชุมนุมใหญ่ขับไล่ระบอบทักษิณ ที่กรุงเทพฯ มีการเดินสายจัดเวทีปราศรัยในหลายจังหวัด รวมทั้งที่อุดรธานีด้วย โดยกลุ่มพันธมิตรฯ มีกำหนดการเปิดเวทีปราศรัยที่ สวนสาธารณะหนองประจักษ์ศิลปาคม เขตเทศบาลนครอุดรธานี ในวันที่ 24 ก.ค.51
ก่อนจะถึงวันที่นัดหมาย ขวัญชัย ก็ได้ใช้วิทยุชุมชนของตนเอง ปลุกเร้า ระดมมวลชนคนรักอุดรฯ ที่จัดตั้งไว้ ให้มาแสดงพลัง จัดการกับกลุ่มพันธมิตรฯ ที่จะมาเปิดเวที และในช่วงเย็นวันที่ 24 ก.ค.51 ขวัญชัย ก็คุมกลุ่มอันธพาลการเมืองบุกไปที่สวนสาธารณะหนองประจักษ์ศิลปาคม รื้อทำลายเวที ไล่ทำร้าย ทุบตี มวลชนพันธมิตรฯ อย่างอุกอาจ โหดเหี้ยม ไม่เกรงกลัวต่อกฎหมายบ้านเมือง ภาพที่ปรากฏออกมาทางทีวีของเหตุการณ์ในครั้งนั้น สร้างความสลดใจแก่คนไทยใจเป็นธรรมทั้งประเทศ กับพฤติกรรมเยี่ยงสัตว์ป่าของคนกลุ่มนี้ หลังเหตุการณ์คลี่คลาย ปรากฏว่า มีผู้ได้รับบาดเจ็บกว่า 20 คน ในจำนวนนั้น มีบาดเจ็บสาหัส 2 คน
จากเหตุการณ์ครั้งนี้ นายเจริญ หมู่ขจรพันธุ์ แกนนำกลุ่มพันธมิตรฯ อุดรธานี กับพวก 7 คน ได้เป็นโจทก์ยื่นฟ้องนายขวัญชัย ในข้อหา "ร่วมกันพยายามฆ่า , ร่วมกันทำร้ายร่างกายผู้อื่น จนเป็นเหตุให้ได้รับอันตรายสาหัส ร่วมกันทำร้ายร่างกายโดยไตร่ตรองไว้ก่อน และร่วมกันทำลายทรัพย์สิน"
ในทางตรงกันข้าม พฤติกรรม ดิบเถื่อน ถ่อย และปากพล่อยของขวัญชัย ในครั้งนี้ ถือว่าเป็นผลงานที่เข้าตาของคนในระบอบทักษิณเป็นอย่างยิ่ง จึงได้รับการสมนาคุณอย่างงาม จนกระทั่งสามารถซื้ออุปกรณ์ เพิ่มสัญญาณวิทยุ จากกำลังส่ง 300 วัตต์ ไปเป็น 1 กิโลวัตต์ เพื่อขยายขอบข่ายการรับฟังของสถานี ให้ได้ยินไปทั่วจังหวัดอุดรธานี และจังหวัดใกล้เคียง สร้างเครือข่ายคนเสื้อแดงได้กว้างขวางมากยิ่งขึ้น
ช่วงนั้น ขวัญชัย เบ่งบารมีขึ้นมาในระดับ "แดงฮาร์ดคอร์" ตัวพ่อ ในสายภูธร สามารถระดมคนจากภาคอีสาน เข้ามาร่วมชุมนุมในกรุงเทพฯ ครั้งละมากๆ รวมทั้งจัดหาคนในระดับ"ปฏิบัตการ"ด้วย ว่ากันว่าเขามีความฮึกเหิมขนาดที่คิดวัดบารมี ขึ้นมาเทียบชั้นระดับแกนนำแดงนครบาล อย่าง "ไอ้ตู่-ไอ้เต้น" ด้วยการขอแยกท่อน้ำเลี้ยงจากนายใหญ่ไปลงที่อุดรฯ โดยตรง ไม่ให้ต้องถูกหักหัวคิว
แต่แกนนำนครบาลมีหรือจะยอม เพราะเห็นว่า ขวัญชัย เป็นได้แค่ระดับปฏิบัติการ ที่ต้องรอรับคำสั่งเท่านั้น จึงเกิดการงัดข้อ และในที่สุดก็แตกคอกันไป บทบาทของขวัญชัย จึงค่อยๆ ดาวน์ลง และตกต่ำถึงขั้นไม่มีความสำคัญต่อกลุ่มคนเสื้อแดงอีกต่อไป มิหนำซ้ำยังเคยถูกยิงถล่มด้วยอาวุธสงคราม หวิดเป็นผีเฝ้าสถานีวิทยุ จนถึงขณะนี้ยังจับมือใครดมไม่ได้
ขณะที่คดีความทำร้ายกลุ่มพันธมิตรฯ ที่สวนสาธารณะหนองประจักษ์ฯ ก็ยังคงเดินต่อไป โดยเมื่อวันที่ 28 ธ.ค.54 ศาลชั้นต้นได้พิพากษาให้จำคุก ขวัญชัย เป็นเวลา 4 ปี โดยไม่รอลงอาญา แต่ให้การรับสารภาพ จึงลดโทษให้กึ่งหนึ่ง เหลือ 2 ปี 8 เดือน ปรับ 350,000 บาท พร้อมดอกเบี้ย ร้อยละ 7.5 ตั้งแต่วันเกิดเหตุ
เมื่อขวัญชัย ยื่นอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามศาลชั้นต้น ไปเมื่อวันที่ 17 ธ.ค.55 โดยยังคงให้ จำคุก 2 ปี 8 เดือน โดยไม่รอลงอาญา ปรับ 350,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอีกร้อยละ 7.5 ตั้งแต่วันก่อเหตุ ซึ่งขวัญชัย ก็ยังคงยื่นสู้ในชันฎีกา
ต่อมา เมื่อวันที่ 25 มิ.ย. ที่ผ่านมา ศาลจังหวัดอุดรธานี นัดอ่านคำพิพากษาในชั้นฎีกา แต่นายขวัญชัย ไม่ได้เดินทางไปศาล มีเพียงนางอาภรณ์ สาราคำ ภรรยา พร้อมบุตรชาย และกลุ่มคนเสื้อแดงจำนวนหนึ่งที่ไปศาลแทน โดยนางอาภรณ์ บอกว่าไม่แน่ใจว่า ขวัญชัย จะมาศาลเมื่อใด เพราะไม่ได้เจอหน้ากันหลายวันแล้ว หลังจากที่เขาออกจากบ้านไปกับเพื่อน บอกว่าจะไปปฏิบัติธรรม ตั้งแต่วันที่ 19 มิ.ย. และไม่สามารถติดต่อได้ เพราะไม่ได้เอาโทรศัพท์ไปด้วย
เมื่อศาลนั่งบัลลังก์ ก็ได้เรียกหาจำเลยหลายครั้ง พร้อมกับสอบถามญาติ ก็ได้รับคำชี้แจงว่า ไม่สามารถติดต่อกับ ขวัญชัยได้ ศาลฯ จึงได้อนุมัติออกหมายจับ ขวัญชัย และให้เลื่อนนัดฟังคำพิพากษาใหม่ เป็นวันที่ 28 มิ.ย.59 โดยสั่งให้นายประกันติดตามตัว ขวัญชัย มาฟังคำพิพากษาในนัดต่อไป
เมื่อถึงกำหนดนัดในวันที่ 28 มิ.ย. 59 ขวัญชัย ยังคงมิได้เดินทางไปศาล ทางศาลจึงอ่านคำพิพากษาลับหลังจำเลย โดยได้พิพากษาแก้คำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ ให้เหลือจำคุก 2 ปี โดยไม่รอลงอาญา และปรับเป็นเงิน 350,000 บาท รวมทั้งสั่งปรับนายประกันที่ทำสัญญาไว้ เป็นเงิน 500,000 บาท
หลังฟังคำพิพากษา นางอาภรณ์ ภรรยาของ ขวัญชัย ยังบอกกับผู้สื่อข่าวว่า จะพยายามติดต่อกับนายขวัญชัย เพื่อแจ้งว่า ศาลฯ ตัดสินเหลือจำคุกเพียง 2 ปี ซึ่งตนเองยังไม่ได้คุยกับนายขวัญชัย ทราบเพียงว่าไปอยู่ในที่ที่ปลอดภัย เพราะเขายังได้โทรศัพท์มาออกอากาศสด ที่สถานวิทยุ เมื่อวันที่ 13 ม.ย. ที่ผ่านมา ซึ่งเป็นวันเกิดของเขา โดยขณะออกอากาศสดนั้นนายขวัญชัย ได้ฝากบอกกับประชาชนว่า เขายังอยู่สบาย และปลอดภัยดี ซึ่งโทรศัพท์ที่ใช้โทร.มา ไม่ได้โชว์เบอร์ จึงติดต่อกลับไปไม่ได้
"ถึงวันนี้เราก็ไม่รู้ว่าตัวแกไปอยู่ที่ไหน รู้แต่ว่าอยู่ในที่ที่ปลอดภัย ส่วนเรื่องที่ไม่มาฟังคำพิพากษา คิดว่าตัวเขาเองคงพิจารณาเองแล้วว่า หากประเทศไทยมีประชาธิปไตยเมื่อไหร่ คิดว่าตัวเขาน่าจะกลับมารับโทษ เพราะช่วงนี้ถือว่า ยังไม่มีประชาธิปไตย เมื่อคิดว่ายังไม่มีความยุติธรรม ก็คงไปหาที่ปลอดภัยของตัวเอง เพราะขนาดตัวแกเองอยู่ที่บ้าน ยังไม่ปลอดภัย ทำให้เราคิดว่า ที่ผ่านมาตัวแกเองถูกรังแกมากที่สุด"
ขณะที่นายเจริญ หมู่ขจรพันธ์ ซึ่งเป็นผู้เสียหายและผู้ฟ้องคดีนี้ กล่าวว่า เป็นคดีที่ยืดยาวและยาวนานมาก ถือว่าวันนี้เป็นวันที่หมดเวรหมดกรรม การที่นายขวัญชัย หลบหนีไปนั้น ก็ไม่รู้ว่าเขาคิดอย่างไร แต่รู้เพียงว่าคดีนี้มีอายุความ 15 ปี ขอฝากไว้สำหรับคนที่ติดตามคดีนี้ อยากให้คดีนี้เป็นอุทาหรณ์สำหรับทุกคน อย่าคิดแค่เพียงเอามัน อย่าคิดแค่เพียงรับใช้นักการเมือง
"อยากให้ดูกรณีของขวัญชัย เป็นตัวอย่าง เมื่อคดีความถึงที่สุด นักการเมืองที่เขารับใช้ ยังไม่เคยหันกลับมา