ผู้จัดการสุดสัปดาห์ -ความจริงสังคมก็รับรู้กันอยู่แล้วว่า “เจ้าสัวบุญชัย เบญจรงคกุล” สามีของดาราสาว “ตั๊ก-บงกช คงมาลัย” นั้น เป็น “อัครสาวกระดับ 5 ดาว” ของ “พระเทพญาณมหานุนี(ไชยบูลย์ ธัมมชโย)” เจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย เพียงแต่คาดไม่ถึงว่า เจ้าสัวใหญ่จะ “กล้า” ลุกขึ้นมาป่าวประกาศตัวต่อสาธารณชน แถมยังปลุกระดมศิษยานุศิษย์ให้ออกมาปกป้อง “ต้นธาตุต้นธรรม” ของตนเองเยี่ยงนี้ เพราะต้องไม่ลืมว่า นอกจากจะเป็นการสวนทางกับกระแสสังคมแล้ว ยังเป็นการท้าทายอำนาจรัฐอย่างตรงไปตรงมา
ตรรกะความคิดของเจ้าสัวบุญชัยมีความชัดเจนว่า พระเดชพระคุณหลวงพ่อของเขานั้นไม่ผิด ดังคำกล่าวที่ว่า “เพื่อให้หลวงพ่อเราได้รับความยุติธรรม ให้พ้นมลทินที่ถูกใส่ร้าย”
ตรรกะความคิดของเจ้าสัวบุญชัยมีความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับพระเดชพระคุณหลวงพ่อของเขาและเหล่าศิษยานุศิษย์ทุกคน นั่นคือ ไม่ยอมรับกระบวนการยุติธรรมและไม่ยอมเข้ามอบต่อกับกรมสอบสวนคดีพิเศษ(ดีเอสไอ) เพื่อพิสูจน์ความจริงในชั้นศาล
แน่นอน ผลที่ตามมาย่อมสั่นสะเทือนอาณาจักรธุรกิจของ “เจ้าสัวบุญชัย” อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับ บริษัท โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น จำกัด (มหาชน) หรือดีแทค(DTAC) ซึ่งอนาคตการทำธุรกิจในประเทศไทยตกอยู่ในภาวะลูกผีลูกคนและมีแนวโน้มที่จะไม่สามารถแข่งขันกับคู่แข่งอย่าง AIS และ TRUE ได้ กระทั่งมีข่าวออกมาเสียด้วยซ้ำ ไปว่า DTAC จะทิ้งประเทศไทยไปแล้ว
กระนั้นก็ดี ต้องบอกว่าคนระดับเจ้าสัวบุญชัยได้ตัดสินใจยอมรับผลกระทบที่จะเกิดขึ้นแล้ว ดังที่เขาประกาศออกมาชัดเจนว่า “ถ้าไม่มีหลวงพ่อ ก็ไม่มีเรา”
และนี่คือความน่ากลัวของพระธัมมชโยที่ไม่สามารถปฏิเสธได้
“ดีแทค” สะเทือน “เทเลนอร์” กุมขมับ
เมื่อวันที่ 18 มิถุนายน 2559ในโลกโซเชียลมีการแชร์บทสัมภาษณ์ของนายบุญชัย เบญจรงคกุล ที่อยู่ในกลุ่มญาติธรรมไฮโซวัดพระธรรมกาย ให้สัมภาษณ์ในรายการ “ข่าวเคลียร์ ข่าวชัด วัดพระธรรมกาย” ทางสถานทีโทรทัศน์ดีเอ็มซี เมื่อวันที่ 17 มิถุนายนที่ผ่านมา ภายหลังจากเหตุการณ์เจ้าหน้าที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ นำหมายค้นไปยังวัดพระธรรมกาย เพื่อขอตรวจและจับกุม “พระธัมมชโย” แต่สุดท้ายแล้วปฏิบัติการดังกล่าวต้องยุติไป
ทั้งนี้ข้อความดังกล่าวระบุว่า “วันนี้ผมมาเชิญชวนทุกท่าน ร่วมกันปฏิบัติธรรม แผ่เมตตา จากเช้าวันนี้(16 มิ.ย.) ผมก็เชื่อว่าได้เห็นจากข่าวที่ออกไป ว่าเกิดอะไรขึ้น พลังที่ร่วมจะมาร่วมกันนับล้าน เพื่อปฏิบัติธรรม แผ่เมตตาให้กับสิ่งที่มันจะไม่ได้เกิดขึ้นกับพระเดช พระคุณ หลวงพ่อของเรา ให้มันหายไป หลวงพ่อมีความหมายต่อเรามากครับถ้าไม่มีหลวงพ่อ ก็ไม่มีเรา หลวงพ่อเปรียบประดุจแสงสว่าง ให้กับชาวโลก สันติสุขของโลกจะเกิดขึ้นได้ถ้าทุกคนนั่งขัดสมาธิ แล้วนั่งนึกถึงศูนย์กลางกาย
“สิ่งเหล่านี้จะหายไปหมดถ้าเกิดมีสิ่งไม่ดีเกิดขึ้นกับพระเดชพระคุณหลวงพ่อของเรา ขอเรียนเชิญทุกท่านถ้าเดินทางได้ เดินทางมาร่วมปฏิบัติธรรมกับพวกผมนะครับ กับพี่น้องของเราอีกจำนวนมาก ยิ่งมากันได้ทั้งประเทศยิ่งดี ขอให้เริ่มตั้งแต่วันนี้ พรุ่งนี้ มะรืนนี้ มากันให้หมด เราไม่ต้องรอนะครับ เรื่องพวกนี้คราวนี้ไม่ต้องรอนะครับ เพื่อการปฏิบัติธรรมครั้งใหญ่ของเรา เพื่อนำความสันติสุขมาสู่ประเทศไทยของเรา อีกครั้งหนึ่ง เรื่องที่เข้าใจผิด มองข้ามไปเป็นที่ประจักษ์ เพื่อให้หลวงพ่อเราได้รับความยุติธรรม ให้พ้นมลทินที่ถูกใส่ร้าย เรียนเชิญนะครับผมจะรอคอยทุกท่านอยู่”
ในแง่ของ “ความเป็นลูกผู้ชาย” และ “ความเป็นศิษย์อาจารย์” ต้องบอกว่า เจ้าสัวบุญชัยได้คะแนนในเรื่องนี้เต็มปรี่ เพราะในขณะที่ลูกศิษย์ระดับอัครสาวกคนอื่นเงียบฉี่ แต่เจ้าสัวบุญชัยกลับไม่ทอดทิ้งพระเดชพระคุณหลวงพ่อของเขาในยามยาก
กระนั้นก็ดี ฉับพลันทันทีที่ตกเป็นข่าว ก็นำมาซึ่งกระแสการต่อต้านเจ้าสัวบุญชัยอย่างหนัก โดยเฉพาะในสังคมออนไลน์ และคนดังที่ออกมาท้าชนอย่างไม่เกรงกลัวก็คือ ธนัตถ์ ธนากิจอำนวย ซึ่งเป็นของทายาทธุรกิจในเครือโนเบิล บริษัทอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่ของประเทศ และแนวร่วมคนสำคัญของคณะกรรมการประชาชนเพื่อการเปลี่ยนแปลงประเทศไทยให้เป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข (กปปส.)
ลูกนัทโพสต์ข้อความผ่านแฟนเพจเอาไว้ว่า “โปรดอย่าลืม จะใหญ่จะรวยมาจากไหน ไม่ใหญ่ไปกว่าโลงฉันใด ก็ไม่ใหญ่ไปกว่ากฎหมายและอาญาแผ่นดินฉันนั้น อาญาแผ่นดินมิใช่หน้าที่ของประชาชนที่จะโต้แย้ง ไม่ว่าจะรวยจะจน ชอบหรือชัง ก็ย่อมต้องยอมรับตามกฎหมาย นายบุญชัย ไม่มีสิทธิที่จะใช้ความคิดเห็นส่วนตัวแก้ต่างให้ โล้นนอกคอกอย่าง “หลวงพ่อ” ของนายบุญชัย นี่คือ ความผิดระหว่างรัฐและบุคคล บุคคลอื่น ๆ ไม่มีสิทธิ์ยุ่งเกี่ยว
“อาจเป็นคำที่คุณได้ยินไม่บ่อย แต่ผม ธนัตถ์ ธนากิจอำนวย จะบอกคุณว่า คุณไม่มีสิทธิ์ คุณทำไม่ได้ แก่แล้วอย่าหัดนิสัยตอแหลครับ นี่ไม่ใช่การเชิญชวนไปปฏิบัติธรรม แต่เป็นการชักชวนไปชุมนุม ที่มีนัยทางการเมือง (ผิด พ.ร.บ. ชุมนุมฯ) การกระทำเช่นนี้มีความผิดฐาน “ยุยงปลุกปั่น ปลุกระดม” (อาญา มาตรา 116 วรรค 2, 3) หนำซ้ำยังเป็นการขัดขวางการปฏิบัติการของเจ้าหน้าที่”
นอกจากนี้ยังได้มีกระแสความไม่พอใจยังได้ลุกลามไปถึง DTAC อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ โดยได้มีสมาชิกเฟซบุ๊กได้โพสต์ถามแอดมินเพจเฟซบุ๊กของดีแทคว่า “ดีแทคมีปัญหาใหม่อีกแล้ว ตกลงเจ้าสัวบุญชัยยังเป็นผู้บริหารอยู่ใช่ไหม กล้าออกมาสนับสนุนธรรมกายเลยนะ”
ที่สำคัญคือ ผู้คนจำนวนไม่น้อยพากันตบเท้าไปยังศูนย์บริการของ DTAC เพื่อยกเลิกทำธุรกรรมกับค่ายมือถือยักษ์ใหญ่รายนี้ จนทางดีแทคต้อง ออกมาป่าวประกาศว่า ท่าทีของเจ้าสัวบุญชัยไม่ได้เกี่ยวข้องกับ DTAC แต่ประการใด
“ดีแทคขอเรียนให้ทราบว่าดีแทคเป็นผู้ประกอบกิจการโทรคมนาคมที่มุ่งให้บริการที่ดีที่สุดแก่ลูกค้า โดยไม่มีวัตถุประสงค์ฝักใฝ่การเมือง หรือศาสนาใด โดยดีแทคยึดมั่นในความเป็นกลางและในหลักบรรษัทภิบาลที่จะไม่ให้ความเห็นเกี่ยวกับความเห็นต่างระหว่างบุคคลการแสดงความคิดเห็นในเรื่องดังกล่าวไม่ว่าของบุคคลใดถือเป็นเรื่องส่วนบุคคล มิได้เกี่ยวข้องกับดีแทคแต่อย่างใด จึงเรียนมาให้ทราบโดยทั่วกัน”
ทว่า แม้จะมีการแก้เกมทางธุรกิจ แต่ก็ดูเหมือนว่า เป็นคำอธิบายที่ไม่ได้ผลสักเท่าไหร่ เพราะเมื่อตรวจสอบแล้ว แม้ “เจ้าสัวบุญชัย” จะประกาศขายหุ้นให้กับทาง “เทเลนอร์” ไปแล้ว แต่เขาก็ยังนั่งเก้าอี้ “ประธานกรรมการ” ซึ่งถ้าจะว่าไปแล้วก็คงไม่ต่างอะไรกับ “นช.ทักษิณ ชินวัตร” ที่ยังคงมีบทบาทในการบริหารงาน AIS เอสซีแอสเสท หรือแม้แต่ที่ตกเป็นข่าวสดๆ ร้อนๆ อย่าง “แอร์เอเชีย” ที่เพิ่งให้ “เด็กในบ้าน-นายธรรศพลฐ์ แบเลเว็ลด์” ขายหุ้นให้กับ “นายวิชัย ศรีวัฒนประภา”
ทั้งนี้ เมื่อตรวจสอบโครงสร้างการบริหารงานของดีแทคก็จะพบว่า บริษัทแห่งนี้มี “คณะกรรมการบริหาร 12 คน” ประกอบด้วย
1.นายบุญชัย เบญจรงคกุล ประธานกรรมการ
2.นายมอร์เทน คาร์ลเซน ซอร์บี้ รองประธานกรรมการ
3.นายลาร์ส โอเคะ วัลเดอมาร์ นอร์ลิ่ง กรรมการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร
4.นางชนัญญารักษ์ เพ็ชร์รัตน์ กรรมการอิสระ
5.นางสาวธันวดี วงศ์ธีรฤทธิ์ กรรมการ
6.นายจุลจิตต์ บุณยเกตุ กรรมการอิสระ
7.นางกมลวรรณ วิปุลากร กรรมการอิสระ
8.นายสตีเฟ่น วูดรุฟ ฟอร์ดแฮม กรรมการอิสระ
9.นายทอเร่ จอห์นเซ่น กรรมการ
10.นางทูเน่ ริปเปล กรรมการ
11.นายฮากุน บรัวเช็ท เชิร์ล กรรมการ
และ 12.นายมาร์ติน ยาคอบ ฟูรูเซ็ต กรรมการ
สะเทือนหนักถึงขั้นที่ “ลาร์ส นอร์ลิ่ง ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร(CEO) ต้องลุกขึ้นมาชี้แจงเป็นคำรบที่สองว่า นายบุญชัยไม่ได้เข้ามาบริหารกิจการหรือดูแลด้านการเงินของธุรกิจประจำวันของดีแทคแต่อย่างใด การดำเนินการของบริษัทฯในเรื่องดังกล่าวอยู่ในความรับผิดชอบของประธานเจ้าหน้าที่บริหารและคณะผู้บริหารตามที่ได้รับมอบหมายและภายใต้การกำกับดูแลของคณะกรรมการ ซึ่งการดำเนินงานจะอยู่ในกรอบนโยบายและหลักบรรษัทภิบาล
“ผมขอยืนยันว่าดีแทคไม่มีนโยบายที่จะให้การสนับสนุนด้านการเงินหรือด้านใดๆแก่ กลุ่มบุคคลใดเป็นพิเศษ นโยบายของดีแทคคือเราจะบริจาคเงินหรือสิ่งของการกุศลต่างๆเฉพาะเพื่อประโยชน์ของสังคมโดยรวมเท่านั้น และในการบริจาคเงินหรือสิ่งของการกุศลดังกล่าวในแต่ละกรณีจะต้องผ่านคณะทำงานที่ผมได้แต่งตั้งขึ้นเพื่อทำการตรวจทานถึงประโยชน์ต่อสังคมโดยรวมก่อน การอนุมัติ
“ผมอยากจะขอให้ทุกท่านเชื่อมั่นว่า ดีแทคเป็นผู้ประกอบกิจการโทรคมนาคมที่มุ่งให้บริการที่ดีที่สุดแก่ลูกค้า โดยไม่มีวัตถุประสงค์เอนเอียง ฝักใฝ่การเมือง หรือศาสนาใดศาสนาหนึ่งและเราไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับความเชื่อใดๆของแต่ละบุคคล ในฐานะที่เราเป็นบริษัทที่ให้บริการโทรคมนาคม ดีแทคยึดมั่นในความเป็นกลาง และในหลักบรรษัทภิบาล ผมและพนักงานดีแทคขอขอบคุณในทุกกำลังใจ ความเข้าใจในข้อเท็จจริง และความคิดเห็นที่ส่งเข้ามาให้กับดีแทค ผมในฐานะประธานเจ้าหน้าที่บริหารพร้อมด้วยพนักงานอีกกว่า 5,000 คนขอขอบคุณและพร้อมที่จะให้บริการด้านการสื่อสารแก่ทุกท่านด้วยความตั้งใจจริงต่อไป”
ที่น่าสนใจคือ สิ่งที่ “ลาร์ส นอร์ลิ่ง” ซีอีโอของดีแทคชี้แจงนั้น มีความจริงเพียงแค่ส่วนหนึ่งเท่านั้น เพราะแม้เจ้าสัวบุญชัยเป็นเพียงคณะกรรมการบริษัท และเขาได้ขายหุ้นให้กลุ่มเทเลนอร์หลังวิกฤตเศรษฐกิจในปี 2540 แต่เจ้าสัวบุญชัยก็กลับมามาถือหุ้นใน “บริษัท ไทย เทลโค โฮลดิ้งส์ จำกัด” ซึ่งถือหุ้นใหญ่ในดีแทคประมาณ 22.43% เพื่อลดสัดส่วนการถือหุ้นของต่างชาติก่อนเข้าร่วมประมาณ 3G
ข้อมูลของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยรายงานเอาไว้ชัดเจนว่า ผู้ถือหุ้นใหญ่ของดีแทค 8 อันดับแรกประกอบไปด้วย 1. TELENOR ASIA PTE LTD 42.62% 2.บริษัท ไทย เทลโค โฮลดิ้งส์ จำกัด 22.43% 3. บริษัท ไทยเอ็นวีดีอาร์ จำกัด7.07% 4.บริษัท ทีโอที จำกัด (มหาชน) 5.58% 5. THE HONGKONG AND SHANGHAI BANKING CORPORATION LIMITED, FUND SERVICES DEPARTMENT 2.74% 6.สำนักงานประกันสังคม 1.80% 7. STATE STREET BANK EUROPE LIMITED 1.01% และ 8. CHASE NOMINEES LIMITED 0.63%
วันนี้ แม้จะยังไม่มีข้อมูลตัวเลขเรื่องการย้ายค่ายออกมาชัดเจน แต่ก็เชื่อว่า งานนี้สร้างความสั่นสะเทือนต่อภาพลักษณ์และการทำธุรกิจของดีแทคและกลุ่มเทเลนอร์ในประเทศไทยเป็นอย่างมาก ซึ่งก็ไม่รู้ว่างานนี้ ลาร์ส นอร์ลิ่ง ประธานเจ้าหน้าที่บริหารดีแทคจะแฮปปี้กับเจ้าสัวบุญชัยหรือไม่
แต่ที่แน่ๆ งานนี้ “ความซวย” มาเยือนดีแทคแบบไม่รู้เหนือรู้ใต้กันเลยทีเดียวเพราะกว่าที่ดีแทคจะก้าวขึ้นมาเติบใหญ่และมีลูกค้าหนาตาเช่นทุกวันนี้ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า เป็นผลพวงมาจากกระแสการต่อต้านระบอบทักษิณ
พี่ใหญ่ “บุญชัย” ชีวิตเพื่อ “ธัมมี่” รักนี้เพื่อ “ธรรมกาย”
คำถามที่เกิดขึ้นตามมาก็คือ เจ้าสัวบุญชัยเริ่มเข้าสู่เส้นทางบุญวัดพระธรรมกายได้อย่างไร และทำไมถึงได้ศรัทธาพระเดชพระคุณหลวงพ่อธัมมชโยของเขาได้ถึงขนาดนี้
เพราะถ้าไม่ศรัทธาขนาดหนัก เจ้าสัวบุญชัยคงไม่กล้าพูดออกมาต่อหน้าสาธารณชนว่า “ถ้าไม่มีหลวงพ่อ ก็ไม่มีเรา” อย่างแน่นอน
จากการตรวจสอบข้อมูลพบว่า จุดเริ่มต้นของเจ้าสัวบุญชัยกับธรรมกายมาจากแรงผลักดันของ “น้องสาว” ที่ชื่อ “วรรณา จิรกิติ” ภรรยาของ ดร.ประกอบ จิรกิติ อดีต ส.ส.กทม.พรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งศรัทธาในวัดพระธรรมกาย ถึงขนาดบริจาคเงิน ทำบุญนับสิบกว่าล้านบาทในปี 2528
ถ้าหากย้อนหลังกลับไปดูภาพเก่าๆ ก็จะเห็นเจ้าสัวบุญชัยปรากฏตัวในวัดพระธรรมกาย รวมทั้งในกิจกรรมต่างๆ ที่วัดพระธรรมกายจัดขึ้นพร้อมกับ “น้องสาวและน้องเขย” เสมอๆ
กล่าวได้ว่า ความศรัทธาในหลวงพ่อธัมมชโย และวัดพระธรรมกายของเจ้าสัวบุญชัยนั้น ดำเนินไปในลักษณะ “เข้าเส้น” โดยเจ้าสัวธรรมกาย ได้เป็นหัวเรี่ยวหัวแรงช่วยสนับสนุนทั้งเงินและเทคโนโลยี ในการเผยแพร่ข่าวสาร และคำสอนของวัดพระธรรมกาย
20 มิถุนายน 2559 เฟซบุ๊กเพจ เรารักวัดพระธรรมกาย ได้นำภาพของเจ้าสัวบุญชัย กำลังทำความสะอาดศาลาภายในวัดพระธรรมกาย ร่วมกับลูกศิษย์คนอื่นๆ พร้อมข้อความ ระบุว่า “นี่คือพี่ใหญ่ ของพวกเรา พี่ใหญ่ เป็นต้นบุญต้นแบบมานานพอสมควร ผมเชื่อว่า น้อยคนนักที่จะได้ทำเหมือนพี่ใหญ่ พี่ใหญ่ทำให้เราดู น้องๆรุ่นหลังควรดูพี่ใหญ่ไว้ พี่ใหญ่ผ่านบททดสอบมาก่อน กว่าจะเป็นพี่ใหญ่บุญชัย ผมชอบฟังพี่ใหญ่คุยมากๆ Cr.สราวุฒิ สุขสาม #เรารักพี่ใหญ่”
ขณะที่ “ตั๊ก บงกช คงมาลัย” หวานใจศรีภรรยาเจ้าสัวบุญชัย ก็แนบแน่นเป็นไปในทิศทางเดียวกับผู้เป็นสามีเช่นกัน ซึ่งถ้ายังจำกันได้ ในช่วงที่แต่งงานกันใหม่ๆ เคยปรากฏของทั้งสองคนไปร่วมทำบุญที่วัดปากน้ำภาษีเจริญซึ่งเป็น อันหนึ่งอันเดียวกับวัดพระธรรมกายให้เห็นมาแล้ว
นอกจากนี้ นางเอกสาวทรงโตผู้นี้ยังได้เข้าเรียนในระดับปริญญาตรี หลักสูตร “พุทธศาสตรบัณฑิต” ของมหาวิทยาลัยธรรมกาย แคลิฟอร์เนีย (DOU) ซึ่งสถาบันการศึกษาแห่งนี้ ใช้ระบบการศึกษาทางไกล โดยนักศึกษาทำการศึกษาด้วยตัวเอง ผ่านตำราเรียน แบบฝึกหัดปฏิบัติ ผ่านสัญญาณทีวีดาวเทียม DMC, Internet และ VDO
“ตั๊กกำลังเรียนต่อที่มหาลัยธรรมกาย สาขาพุทธศาสตร์ ครั้งยิ่งโต เราก็ยิ่งเลิกคิดอะไรไม่ค่อยได้ เราปล่อยวางไม่ได้ ตั๊กก็เลยอยากเรียนเกี่ยวกับพุทธศาสนาจะได้ปลงได้เร็วๆ เรียนทางธรรมล้วนๆ เรียนและปฏิบัติด้วยค่ะ” ตั๊ก บงกช เคยเล่าให้นักข่าวฟังว่าเหตุใดจึงตัดสินใจเรียน ม.ธรรมกาย
ส่วนเรื่องการวิพากษ์วิจารณ์สามีรวมทั้งกรณีพระธัมมชโยนั้น แม้จะยังไม่ปรากฏชัดแจ้งว่า ตั๊ก-บงกชมีปฏิกิริยาเช่นไร แต่ก็มีการโพสต์ข้อความซึ่งน่าจะเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้เอาไว้ว่า “สาธุ ขออโหสิกรรมให้ทุกท่าน ขอให้ทุกท่านมีความสุข หากมีความทุกข์อยู่ขอให้มีความสุข หากสุขอยู่แล้วขอให้สุขยิ่ง ๆ ขึ้นไป ขอผลบุญที่เราให้อภัยในความกล่าวด่าเรานี้ ขอบุญนี้จงทำให้ครอบครัวเรามีความสุข ความเจริญ เราไม่โกรธท่านหรอก”
อย่างไรก็ตาม ต้องบอกว่า ความจริง ไม่ได้มีนักธุรกิจแค่เจ้าสัวบุญชัยเท่านั้นที่ศรัทธาในคำสอนของพระต้นธาตุของพวกเขา หากแต่ยังมีนักธุรกิจชั้นนำของประเทศไทยอีกมากที่ศรัทธาในพระเดชพระคุณหลวงพ่อธัมมชโย
ยกตัวอย่างเช่น อนันต์ อัศวโภคิน แห่งแลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ เสี่ยสอง วัชรศรีโรจน์ อดีตนักเล่นหุ้นที่เกี่ยวพันกับคดีปั่นหุ้นธนาคารกรุงเทพพณิชย์การหรือบีบีซี มโนทิพย์ จักรวาลธรรม นักลงทุนรายใหญ่ในตลาดหุ้นที่เข้าไปกว้านซื้อหุ้นบริษัท บูติคนิวซิตี้ในเครือสหพัฒน์จนสามารถเข้ามาเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่อันดับ 6 มงคล จิรพัฒนกุล เจ้าของแลคตาซอย กฤษฎา จ่างใจมนต์ เจ้าของผลิตภัณฑ์เนเจอร์กิฟ ธีรวัฒน์ ฐานะโชติพันธ์ เจ้าของบริษัท ทีแมนฟาร์มา จำกัด มรกต มณีไพโรจน์ ดิฐพงศ์ เรืองฤทธิเดช เจ้าของชายี่ห้อตรามือ เป็นต้น
นี่ไม่นับรวมถึง “กลุ่มพระ 3 จังหวัดชายแดนใต้” ที่ออกมา “เชลียร์” หรือกำลังใจพระธัมมชโยถึงขนาดประกาศว่า ถ้าไม่มีพระเดชพระคุณหลวงพ่อธัมมชโยก็ไม่มีพุทธศาสนาในภาคใต้ ซึ่งก็ถือเป็นอีกหนึ่งองคาพยพที่สำคัญที่รัฐไม่อาจมองข้ามได้ และถ้าจะว่าไปแล้วก็มิได้เหนือความคาดหมายเท่าใดนัก เพราะเป็นที่รับรู้กันอยู่แล้วว่า วัดพระธรรมกายลงไปทำกิจกรรมในพื้นที่ชายแดนใต้ร่วมกับทหาร โดยให้การสนับสนุนอัฏฐบริขารและจตุปัจจัยต่างๆ ในหลากหลายรูปแบบมาเป็นเวลานาน
และที่สังคมอาจจะยังไม่ทราบก็คือ รัฐมนตรีบางคนในรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ก็เป็นสาวกหรือศิษยานุศิษย์ของวัดพระธรรมกายอยู่ด้วย เพียงแต่ยังไม่กล้าเปิดเผยตัวเท่านั้น
คำถามก็คือ รัฐบาลคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) จะจัดการกับคดีพระธัมมชโยอย่างไร เพราะยิ่งปล่อยนานไปก็ยิ่งสะท้อนความเป็นรัฐล้มเหลวมากขึ้นทุกที และที่สำคัญที่สุดก็คือ ณ เวลานี้กำลังมีการปลุกระดมอย่างหนักจากผู้คนสังกัดรัฐธรรมกายและรัฐไทยใหม่ด้วยวลีเด็ดที่ว่า “ปรองดองยาบ้า ไล่ล่าพระสงฆ์”