ริมฝั่งเจ้าพระยา
โดย...สุนันท์ ศรีจันทรา
ไม่น่าเชื่อว่า กรณี ตำรวจจราจร สน.บุคคโล ที่ถูกโพสต์เปิดโปงพฤติกรรมก้าวร้าวในสังคมโซเชียลเน็ตเวิร์ค ระหว่างโต้เถียงกับผู้โดยสารสตรีบนรถแท็กซี่ที่ถูกเรียกตรวจใบอนุญาตขับขี่ จะกลายเป็นเรื่องใหญ่ถึงขนาด รักษาการผู้บัญชาการตำรวจนครบาลต้องเดินทางลงพื้นที่ไปสะสางปัญหา
จุดเริ่มต้นของข่าวฉาวโฉ่เกิดจาก ตำรวจจราจรสน.บุคคลยศจ่าสิบตำรวจ ขอตรวจใบอนุญาตรถแท็กซี่ และมีการเจรจาเรื่องค่าปรับ ซึ่งหมิ่นเหม่ต่อการเรียกรับผลประโยชน์ ซึ่งเป็นพฤติกรรมของตำรวจโดยทั่วไป
ผู้โดยสารสตรีที่นั่งโดยสารรถอยู่ในแท็กซี่ จึงหยิบโทรศัพท์มือถือบันทึกภาพและเสียงไว้ ทำให้จ่าสิบตำรวจไม่พอใจ และเปลี่ยนคู่กรณีใหม่ หันมาโต้เถียงกับผู้โดยสารสตรีแทนคนขับแท็กซี่ ก่อนที่ผู้โดยสารสตรี จะนำคลิปเผยแพร่พฤติกรรมจ่าสิบตำรวจ จนเกิดเสียงโจมตีพฤติกรรมตำรวจกันกระหน่ำ
หลังเป็นข่าวฉาวโฉ่เพียงข้ามวัน พล.ต.ท.ศานิตย์ มหถาวร รักษาราชการผู้บัญชาการตำรวจนครบาล ได้เดินทางไปที่สน.บุคคล เพื่อให้กำลังใจจ่าสิบตำรวจที่แสดงพฤติกรรมห้าว โดยไม่ได้ตำหนิอะไรมากมาย นอกจากแนะนำให้ทำงานด้วยความสุขุม
และจะเรียกผู้โดยสารแท็กซี่ที่นำคลิปพฤติกรรมตำรวจไปเปิดโปงมาสอบปากคำ ถ้าพบความผิดใน พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ ฐานนำข้อมูลอันเป็นเท็จไปเผยแพร่ จะดำเนินคดี โดยมีโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี ปรับไม่เกิน 1 แสนบาท
ส่วนผู้กำกับการสน.บุคคโล ประกาศจะตั้งข้อหาหนักผู้โดยสารแท็กซี่สตรี ในความผิดดูหมิ่นเจ้าพนักงาน
ปัญหาตำรวจจราจรทะเลาะกับผู้โดยสารแท็กซี่ ซึ่งถ่ายคลิปพฤติกรรมที่หมิ่นเหม่ต่อการรีดไถ เป็นเรื่อง “ขี้ปะติ๋ว” แต่ทำไม่ พล.ต.ท.ศานิตย์ถึงเดือดร้อนนัก จนต้องออกโรงมากลบข่าว
ยังดีที่เพียงให้กำลังใจตำรวจจราจรที่มีปัญหากับประชาชนเท่านั้น ไม่ประกาศเลื่อนยศหลายขั้น ไม่แจกประกาศเกียรติคุณก็บุญแล้ว
การให้กำลังใจตำรวจจรจา สน.บุคคโล เป็นความพยายามเบี่ยงเบนกระแสการโจมตีพฤติกรรมตำรวจ เพื่อกู้เรียกภาพพจน์ตำรวจ
แต่คนที่ต้องรับกรรมคือประชาชน โดยเฉพาะผู้โดยสารสตรีบนแท็กซี่ เพราะจะถูกเรียกตัวสอบปากคำ และอาจถูกยัดข้อหา ซึ่งเข้าข่ายการใช้อำนาจคุกคามข่มขู่ เพื่อปิดปากประชาชนที่เปิดโปงพฤติกรรมตำรวจ และไม่ได้เกิดขึ้นเป็นครั้งแรก แต่เกิดขึ้นแล้วในหลายกรณี
ไม่ว่าการเปิดโปงการเซ็งลี้ตำแหน่งในสำนักงานแห่งชาติ การนำคลิปพฤติกรรมตำรวจที่อาจข่ายดื่มสุรา จนเมามายในระหว่างปฏิบัติหน้าที่ การใช้วาจาไม่สุภาพหรือพูดจาหลาบคายในระหว่างปฏิบัติหน้าที่ และพฤติกรรมที่เข้าข่ายการรีดไถ
พล.ร.อ.พระจุณณ์ ตามประทีป ดร.อาทิตย์ อุไรรัตน์ ซึ่งออกมาเปิดโปงการซื้อขายตำแหน่งตำรวจ เคยถูกข่มขู่ดำเนินคดีมาแล้ว เพื่อปิดปากการเปิดโปงคนมีอำนาจที่อยู่เบี้องหลังการเซ็งลี้ตำแหน่ง
ประชาชนที่นำคลิปพฤติกรรมตำรวจมาเผยแพร่ ไม่รู้กี่รายต่อกี่รายแล้วที่ถูกขู่ดำเนินคดี จนต้องยอมขอโทษตำรวจ
ส่วนกรณีผู้โดยสารแท็กซี่คู่กรณีตำรวจจราจร สน.บุคคโล มีคำถามว่า จำเป็นต้องเดินทางไปให้สอบปากคำตามที่ตำรวจเรียกหรือไม่ ถ้าไม่มาให้ปากคำตำรวจจะมีความผิดหรือไม่
และถ้าพล.ท.ศานิตย์จะดำเนินคดีใน พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ หรือผู้กำกับสน.บุคคโลจะแจ้งข้อหาดูหมิ่นเจ้าพนักงาน ผู้โดยสารแท็กซี่จะฟ้องดำเนินคดีกลับได้หรือไม่ เพราะคลิปที่นำมาเผยแพร่ ไม่น่าจะมีอะไรให้เป็นเท็จ และไม่น่าจะเข้าข่ายดูหมิ่นเจ้าพนักงานระหว่างปฏิบัติหน้าที่
ผู้โดยสารแท็กซี่สตรีรายนี้ ควรได้รับคำชมเชยจากสังคม และได้รับการเชิดชูเกียรติจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ด้วยซ้ำ เพราะทำหน้าที่เป็นพลเมืองดี ช่วยเป็นหูเป็นตาแทนประชาชนทั้งประเทศ
เมื่อพบเห็นตำรวจแสดงพฤติกรรมไม่เหมาะสม หรือหมิ่นเหม่ต่อการรีดไถ ทุจริตต่อหน้าที่ จึงถ่ายคลิปเป็นหลักฐาน และการนำคลิปมาประจาน เพื่อกระตุ้นให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติแก้ไขตำรวจนอกรีด
แต่ พล.ต.ท.ศานิตย์กลับแถมยังแสดงความไม่พอใจประชาชนที่ทำหน้าที่พลเมืองดี และจะใช้อำนาจเล่นงานเสียอีก
ตำรวจที่แสดงความก้าวร้าวใส่ประชาชนกลับได้รับการปกป้องจากผู้บังคับบัญชา แต่พลเมืองดีที่ทำหน้าที่เป็นหูเป็นตาแทนประชาชนกลับถูกจ้องเล่นงานข้อหาหนัก
ปัญหาตำรวจจราจร สน.บุคคโลกับผู้โดยสารแท็กซี่ อาจเป็นข้อพิพาทเล็กๆ แต่เป็นปัญหาใหญ่ในองค์กรตำรวจ ซึ่งตอกย้ำความจำเป็นเร่งด่วนในการปฏิรูปสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เพราะกรณีตำรวจจราจรสน.บุคคล สะท้อนให้เห็นชัดว่า ตำรวจพยายามปกป้องพวกพ้องกันเอง และใช้อำนาจคุกคามข่มขู่คุกคามประชาชน
ถ้าแยกอำนาจการสอบสวนจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กรณีตำรวจสน.บุคคโลที่มีปากเสียงกับผู้โดยสาร พล.ต.ท.ศานิตย์คงไม่กล้าโผล่หน้าไปให้กำลังใจตำรวจจราจรสน.บุคคโล เพราะตำรวจไม่สามารถบิดเบือนข้อเท็จจริงได้
แต่ถ้าตำรวจชงเองกินเอง ตั้งข้อหาเอง สอบสวนเอง สรุปสำนวนเอง ประชาชนหมดสิทธิ์โต้แย้ง และถูกยัดเยียดข้อหาได้ง่ายๆ
การพยายามยัดเยียดข้อหาให้พลเมืองดีผู้โดยสารแท็กซี่ที่มีปากเสียงกับตำรวจจราจร สน.บุคคโล เป็นการประกาศให้รู้ว่า ถ้าไม่จำเป็น อย่าแหยมกับตำรวจ
การปฏิรูปตำรวจเป็นสิ่งจำเป็นจริงๆ เพราะเป็นจุดเริ่มต้นสู่การแก้ปัญหาอีกมากมาย ไม่ว่าปัญหาสถานบันเทิงที่เป็นแหล่งมั่วสุมของเยาวชน ปัญหาบ่อนการพนันที่บ่มเพาะอาชญากรรม ปัญหายาเสพติด หรือแม้แต่ปัญหาการจราจรมีอยู่เพียงสองแนวทางเท่านั้นในการปฏิรูปตำรวจ โดย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ในฐานะผู้นำประเทศ เป็นผู้ลงมือเอง หรือรอให้ประชาชนทั้งประเทศลุกฮือขึ้นมาปฏิรูป
แต่ทำไมต้องรอให้ประชาชนทั้งประเทศลุกฮือขึ้นมาปฏิรูปตำรวจ เพราะไม่มีเหตุผลใดที่พล.อ.ประยุทธ์จะไม่ทำหน้าที่ เพื่อช่วยให้ประชาชนพ้นทุกข์จากพฤติกรรมตำรวจ
โดย...สุนันท์ ศรีจันทรา
ไม่น่าเชื่อว่า กรณี ตำรวจจราจร สน.บุคคโล ที่ถูกโพสต์เปิดโปงพฤติกรรมก้าวร้าวในสังคมโซเชียลเน็ตเวิร์ค ระหว่างโต้เถียงกับผู้โดยสารสตรีบนรถแท็กซี่ที่ถูกเรียกตรวจใบอนุญาตขับขี่ จะกลายเป็นเรื่องใหญ่ถึงขนาด รักษาการผู้บัญชาการตำรวจนครบาลต้องเดินทางลงพื้นที่ไปสะสางปัญหา
จุดเริ่มต้นของข่าวฉาวโฉ่เกิดจาก ตำรวจจราจรสน.บุคคลยศจ่าสิบตำรวจ ขอตรวจใบอนุญาตรถแท็กซี่ และมีการเจรจาเรื่องค่าปรับ ซึ่งหมิ่นเหม่ต่อการเรียกรับผลประโยชน์ ซึ่งเป็นพฤติกรรมของตำรวจโดยทั่วไป
ผู้โดยสารสตรีที่นั่งโดยสารรถอยู่ในแท็กซี่ จึงหยิบโทรศัพท์มือถือบันทึกภาพและเสียงไว้ ทำให้จ่าสิบตำรวจไม่พอใจ และเปลี่ยนคู่กรณีใหม่ หันมาโต้เถียงกับผู้โดยสารสตรีแทนคนขับแท็กซี่ ก่อนที่ผู้โดยสารสตรี จะนำคลิปเผยแพร่พฤติกรรมจ่าสิบตำรวจ จนเกิดเสียงโจมตีพฤติกรรมตำรวจกันกระหน่ำ
หลังเป็นข่าวฉาวโฉ่เพียงข้ามวัน พล.ต.ท.ศานิตย์ มหถาวร รักษาราชการผู้บัญชาการตำรวจนครบาล ได้เดินทางไปที่สน.บุคคล เพื่อให้กำลังใจจ่าสิบตำรวจที่แสดงพฤติกรรมห้าว โดยไม่ได้ตำหนิอะไรมากมาย นอกจากแนะนำให้ทำงานด้วยความสุขุม
และจะเรียกผู้โดยสารแท็กซี่ที่นำคลิปพฤติกรรมตำรวจไปเปิดโปงมาสอบปากคำ ถ้าพบความผิดใน พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ ฐานนำข้อมูลอันเป็นเท็จไปเผยแพร่ จะดำเนินคดี โดยมีโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี ปรับไม่เกิน 1 แสนบาท
ส่วนผู้กำกับการสน.บุคคโล ประกาศจะตั้งข้อหาหนักผู้โดยสารแท็กซี่สตรี ในความผิดดูหมิ่นเจ้าพนักงาน
ปัญหาตำรวจจราจรทะเลาะกับผู้โดยสารแท็กซี่ ซึ่งถ่ายคลิปพฤติกรรมที่หมิ่นเหม่ต่อการรีดไถ เป็นเรื่อง “ขี้ปะติ๋ว” แต่ทำไม่ พล.ต.ท.ศานิตย์ถึงเดือดร้อนนัก จนต้องออกโรงมากลบข่าว
ยังดีที่เพียงให้กำลังใจตำรวจจราจรที่มีปัญหากับประชาชนเท่านั้น ไม่ประกาศเลื่อนยศหลายขั้น ไม่แจกประกาศเกียรติคุณก็บุญแล้ว
การให้กำลังใจตำรวจจรจา สน.บุคคโล เป็นความพยายามเบี่ยงเบนกระแสการโจมตีพฤติกรรมตำรวจ เพื่อกู้เรียกภาพพจน์ตำรวจ
แต่คนที่ต้องรับกรรมคือประชาชน โดยเฉพาะผู้โดยสารสตรีบนแท็กซี่ เพราะจะถูกเรียกตัวสอบปากคำ และอาจถูกยัดข้อหา ซึ่งเข้าข่ายการใช้อำนาจคุกคามข่มขู่ เพื่อปิดปากประชาชนที่เปิดโปงพฤติกรรมตำรวจ และไม่ได้เกิดขึ้นเป็นครั้งแรก แต่เกิดขึ้นแล้วในหลายกรณี
ไม่ว่าการเปิดโปงการเซ็งลี้ตำแหน่งในสำนักงานแห่งชาติ การนำคลิปพฤติกรรมตำรวจที่อาจข่ายดื่มสุรา จนเมามายในระหว่างปฏิบัติหน้าที่ การใช้วาจาไม่สุภาพหรือพูดจาหลาบคายในระหว่างปฏิบัติหน้าที่ และพฤติกรรมที่เข้าข่ายการรีดไถ
พล.ร.อ.พระจุณณ์ ตามประทีป ดร.อาทิตย์ อุไรรัตน์ ซึ่งออกมาเปิดโปงการซื้อขายตำแหน่งตำรวจ เคยถูกข่มขู่ดำเนินคดีมาแล้ว เพื่อปิดปากการเปิดโปงคนมีอำนาจที่อยู่เบี้องหลังการเซ็งลี้ตำแหน่ง
ประชาชนที่นำคลิปพฤติกรรมตำรวจมาเผยแพร่ ไม่รู้กี่รายต่อกี่รายแล้วที่ถูกขู่ดำเนินคดี จนต้องยอมขอโทษตำรวจ
ส่วนกรณีผู้โดยสารแท็กซี่คู่กรณีตำรวจจราจร สน.บุคคโล มีคำถามว่า จำเป็นต้องเดินทางไปให้สอบปากคำตามที่ตำรวจเรียกหรือไม่ ถ้าไม่มาให้ปากคำตำรวจจะมีความผิดหรือไม่
และถ้าพล.ท.ศานิตย์จะดำเนินคดีใน พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ หรือผู้กำกับสน.บุคคโลจะแจ้งข้อหาดูหมิ่นเจ้าพนักงาน ผู้โดยสารแท็กซี่จะฟ้องดำเนินคดีกลับได้หรือไม่ เพราะคลิปที่นำมาเผยแพร่ ไม่น่าจะมีอะไรให้เป็นเท็จ และไม่น่าจะเข้าข่ายดูหมิ่นเจ้าพนักงานระหว่างปฏิบัติหน้าที่
ผู้โดยสารแท็กซี่สตรีรายนี้ ควรได้รับคำชมเชยจากสังคม และได้รับการเชิดชูเกียรติจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ด้วยซ้ำ เพราะทำหน้าที่เป็นพลเมืองดี ช่วยเป็นหูเป็นตาแทนประชาชนทั้งประเทศ
เมื่อพบเห็นตำรวจแสดงพฤติกรรมไม่เหมาะสม หรือหมิ่นเหม่ต่อการรีดไถ ทุจริตต่อหน้าที่ จึงถ่ายคลิปเป็นหลักฐาน และการนำคลิปมาประจาน เพื่อกระตุ้นให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติแก้ไขตำรวจนอกรีด
แต่ พล.ต.ท.ศานิตย์กลับแถมยังแสดงความไม่พอใจประชาชนที่ทำหน้าที่พลเมืองดี และจะใช้อำนาจเล่นงานเสียอีก
ตำรวจที่แสดงความก้าวร้าวใส่ประชาชนกลับได้รับการปกป้องจากผู้บังคับบัญชา แต่พลเมืองดีที่ทำหน้าที่เป็นหูเป็นตาแทนประชาชนกลับถูกจ้องเล่นงานข้อหาหนัก
ปัญหาตำรวจจราจร สน.บุคคโลกับผู้โดยสารแท็กซี่ อาจเป็นข้อพิพาทเล็กๆ แต่เป็นปัญหาใหญ่ในองค์กรตำรวจ ซึ่งตอกย้ำความจำเป็นเร่งด่วนในการปฏิรูปสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เพราะกรณีตำรวจจราจรสน.บุคคล สะท้อนให้เห็นชัดว่า ตำรวจพยายามปกป้องพวกพ้องกันเอง และใช้อำนาจคุกคามข่มขู่คุกคามประชาชน
ถ้าแยกอำนาจการสอบสวนจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กรณีตำรวจสน.บุคคโลที่มีปากเสียงกับผู้โดยสาร พล.ต.ท.ศานิตย์คงไม่กล้าโผล่หน้าไปให้กำลังใจตำรวจจราจรสน.บุคคโล เพราะตำรวจไม่สามารถบิดเบือนข้อเท็จจริงได้
แต่ถ้าตำรวจชงเองกินเอง ตั้งข้อหาเอง สอบสวนเอง สรุปสำนวนเอง ประชาชนหมดสิทธิ์โต้แย้ง และถูกยัดเยียดข้อหาได้ง่ายๆ
การพยายามยัดเยียดข้อหาให้พลเมืองดีผู้โดยสารแท็กซี่ที่มีปากเสียงกับตำรวจจราจร สน.บุคคโล เป็นการประกาศให้รู้ว่า ถ้าไม่จำเป็น อย่าแหยมกับตำรวจ
การปฏิรูปตำรวจเป็นสิ่งจำเป็นจริงๆ เพราะเป็นจุดเริ่มต้นสู่การแก้ปัญหาอีกมากมาย ไม่ว่าปัญหาสถานบันเทิงที่เป็นแหล่งมั่วสุมของเยาวชน ปัญหาบ่อนการพนันที่บ่มเพาะอาชญากรรม ปัญหายาเสพติด หรือแม้แต่ปัญหาการจราจรมีอยู่เพียงสองแนวทางเท่านั้นในการปฏิรูปตำรวจ โดย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ในฐานะผู้นำประเทศ เป็นผู้ลงมือเอง หรือรอให้ประชาชนทั้งประเทศลุกฮือขึ้นมาปฏิรูป
แต่ทำไมต้องรอให้ประชาชนทั้งประเทศลุกฮือขึ้นมาปฏิรูปตำรวจ เพราะไม่มีเหตุผลใดที่พล.อ.ประยุทธ์จะไม่ทำหน้าที่ เพื่อช่วยให้ประชาชนพ้นทุกข์จากพฤติกรรมตำรวจ