พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้า คสช.ประกาศชัดเจนว่า ถ้าบ้านเมืองยังไม่สงบ คสช.ก็อยู่ต่อ ซึ่งเป็นคำพูดที่ขัดแย้งที่ คสช.พูดเสมอมาว่าจะอยู่ตามโรดแมป นั่นคือทำประชามติรัฐธรรมนูญและกลับไปสู่การเลือกตั้งในปีหน้า
คำถามว่าความไม่สงบขนาดไหนที่จะทำให้ คสช.อยู่ต่อ แล้ว 2 ปีกว่าที่ คสช.ยึดอำนาจและตั้งรัฐบาลมาบริหารประเทศ คสช.ประเมินสถานการณ์ของประเทศขณะนี้เป็นอย่างไร สถานการณ์ความขัดแย้งในประเทศได้คลี่คลายลงไปหรือไม่
แต่สำหรับผมแล้วคิดว่าสถานการณ์ในประเทศยังไม่เปลี่ยนแปลงไปจากก่อนการรัฐประหาร ต่างกันเพียงแต่ขณะนี้ไม่มีม็อบออกมากลางถนนเท่านั้นเอง แต่ความขัดแย้งในสังคมก็ยังคงอยู่เพราะอุดมการณ์ความคิดของคนในสังคมไทยนั้นแบ่งออกเป็น 2 ฝ่ายชัดเจนแล้ว และยากที่จะทำให้มวลชนแต่ละฝ่ายเปลี่ยนแปลงความคิดที่ตัวเองยึดมั่น
นั่นคือฝ่ายที่ต่อต้านระบอบทักษิณกับฝ่ายนิยมระบอบทักษิณ
บางคนบอกว่า ให้เราก้าวข้ามระบอบทักษิณไปได้แล้ว ราวกับว่าไม่ยอมรับว่าความขัดแย้งที่ฝังรากลึกมาสิบปีนี้เกิดขึ้นเพราะคนที่ชื่อทักษิณใช้ทุน และการตลาดเข้ามายึดครองการเมืองไทยจนสามารถผูกใจคนรากหญ้า โดยเฉพาะคนในภาคอีสานและภาคเหนือได้มาก และเมื่อรวมแล้วคนเหล่านี้เป็นคนส่วนใหญ่ของประเทศเสียด้วย ดังนั้นพรรคของทักษิณจึงชนะการเลือกตั้งมาตลอด 10 ปีที่ผ่านมา
เท่าที่พล.อ.ประยุทธ์แสดงออกผ่านวาจาก็เหมือนจะบอกให้เรารู้นะว่าศัตรูของชาติก็คือระบอบทักษิณ เวลาพูดถึงฝ่ายตรงข้ามพล.อ.ประยุทธ์จะสื่อให้รู้ว่าหมายถึงทักษิณ กระทั่งไม่นานมานี้ก็เอ่ยชื่อทักษิณว่าเป็นคนที่อยู่เบื้องหลังป่วนประเทศ เป็นครั้งแรกที่เอ่ยชื่อของทักษิณออกมาตรงๆ
แต่ถ้าถามว่า พล.อ.ประยุทธ์ และคสช.ได้ทำอะไรเพื่อเปลี่ยนแปลงฐานมวลชนของทักษิณหรือยัง คำตอบยังไม่เห็นเลยนะ เพียงแต่ใช้ปืนสะกดไม่ให้มวลชนของทักษิณออกมาเคลื่อนไหวเท่านั้นเอง ดังนั้น ถ้ากลับคืนสู่เลือกตั้งในเวลานี้เชื่อเลยว่า พรรคของทักษิณจะกลับมาชนะอีก และความขัดแย้งในสังคมไทยจะกลับมาอีก เพราะทุกครั้งที่ได้อำนาจมารัฐบาลของทักษิณก็จะใช้อำนาจอย่างเหิมเกริมจนประชาชนต้องออกมาขับไล่ ซึ่งไม่ได้หมายความว่าประชาชนไม่ยอมรับระบอบประชาธิปไตย แต่เขาไม่ยอมรับรัฐบาลที่ใช้อำนาจอย่างไม่ชอบธรรมต่างหาก
เห็นได้ชัดว่าประชาชนฝ่ายตรงข้ามกับระบอบทักษิณไม่ได้ต่อต้านรัฐบาลยิ่งลักษณ์ที่ชนะการเลือกตั้ง แม้ว่ายิ่งลักษณ์จะเป็นนายกรัฐมนตรีที่ไม่มีสติปัญญา แต่ประชาชนก็ยอมให้ยิ่งลักษณ์อยู่ในอำนาจถึง 2 ปี จนกระทั่งเหิมเกริมจะแก้กฎหมายนิรโทษให้ทักษิณพ้นผิดนั่นแหละ ประชาชนจึงลุกฮือมาขับไล่ ในขณะที่ฝ่ายระบอบทักษิณปลุกมวลชนมาปะทะ และปล่อยให้มือมืดใช้อาวุธสงครามยิงใส่ผู้ชุมนุมจนกระทั่งทหารใช้มาเป็นเหตุในการยึดอำนาจ
ฝ่ายสนับสนุนทักษิณอ้างว่าตัวเองเป็นฝ่ายประชาธิปไตย สิ่งที่เขายึดโยงความเป็นฝ่ายประชาธิปไตยได้เพียงอย่างเดียวก็คือ ชนะการเลือกตั้ง แต่ถามว่าฝ่ายต่อต้านระบอบทักษิณไม่นิยมประชาธิปไตยหรือ ตอบได้ว่านั่นเป็นเพียงวาทกรรมบิดเบือนของฝ่ายนิยมทักษิณเพียงเพราะประชาชนอีกฝ่ายไม่ยอมให้รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งใช้อำนาจอย่างไม่ชอบธรรมเท่านั้นเอง
แม้ว่าพล.อ.ประยุทธ์จะเพิ่งพูดไปไม่นานว่า ถ้าไม่สงบก็อยู่ต่อ แต่เวลาไปพูดในเวทีสากลก็มักย้ำเสมอว่ารัฐบาลจะอยู่ตามโรดแมป ซึ่งประกาศชัดเจนว่าจะกลับไปสู่การเลือกตั้งในปี 2560 แล้วพล.อ.ประยุทธ์ และคสช.ได้ทำอะไรที่ไม่ให้ประเทศกลับไปสู่ความขัดแย้งอีกหรือไม่ พูดตรงๆ ว่ายังมองไม่เห็นทางสว่างของสังคมไทยในอนาคตเลย
แล้วความสงบที่พล.อ.ประยุทธ์เรียกร้องอยู่ตรงไหน เพียงแค่ให้ทุกฝ่ายหยุดเคลื่อนไหวเหมือนกวาดขยะไว้ใต้พรมแค่นั้นหรือ
คสช.ได้ทำให้ประชาชนที่นิยมทักษิณเห็นพิษภัยของระบอบทักษิณ และประชานิยมที่เขาหยิบยื่นให้หรือไม่ว่า แม้ว่าทักษิณจะเอาเงินภาษีของประชาชนไปแจกโดยไม่คำนึงถึงผลกระทบในระยะยาว และกลไกทางการเงินการคลังของประเทศแล้ว ทักษิณยังใช้อำนาจในการหาประโยชน์เพื่อให้ธุรกิจของตัวเองได้ประโยชน์
ทักษิณใช้อำนาจเอื้อประโยชน์ให้บริษัท เอไอเอส หลังแปลงสัมปทานเป็นภาษีสรรพสามิต ทำให้รัฐเสียหายกว่า 6 หมื่นล้านบาท ใช้อำนาจเอื้อประโยชน์ให้บริษัท เอไอเอส หลังปรับลดส่วนแบ่งค่าสัมปทานโทรศัพท์ระบบเติมเงิน หรือพรีเพด ได้รับประโยชน์จากการแก้สัญญาให้รัฐร่วมรับผิดชอบค่าใช้เครือข่ายร่วมกับเอไอเอส ทำให้ ทศท. และ กสท ได้รับความเสียหาย
ทักษิณสนับสนุนธุรกิจดาวเทียมไอพีสตาร์เอื้อประโยชน์บริษัท ชินคอร์ป และไทยคมของตัวเอง และสั่งให้เอ็กซิมแบงก์อนุมัติเงินกู้ให้พม่า 4,000 ล้านบาท เอื้อประโยชน์บริษัทไทยคม และชินคอร์ป
สิ่งที่ทักษิณทำในระหว่างมีอำนาจนั้นเป็นประโยชน์แก่ตัวเองทั้งสิ้น จนศาลฎีกาแผนกคดีอาญาผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง มีคำพิพากษาให้ยึดเงิน 46,373 กว่าล้านบาทจากทักษิณกลับมาเป็นของรัฐ
คสช.เคยนำสิ่งเหล่านี้ไปอธิบายให้ประชาชนที่นิยมทักษิณเห็นหรือไม่ว่าทักษิณหาประโยชน์จากแผ่นดินอย่างไร เมื่อเทียบกับที่เขาเอาเงินภาษีไปซื้อใจประชาชน
คสช.น่าจะรู้ว่าสิ่งต้องช่วงชิงจากทักษิณก็คือ เอาประชาชนที่ฝักใฝ่ทักษิณกลับคืนมา มากกว่าไปใส่ใจกับแกนนำเสื้อแดงที่รู้กันอยู่ว่าเป็นพวกที่แสวงหาประโยชน์จากทักษิณ พวกหนึ่งได้ประโยชน์จากเงินของทักษิณซึ่งเห็นรูปธรรมชัดเจนจากฐานะที่มั่งคั่งขึ้นของแกนนำเสื้อแดง ส่วนอีกพวกคือพวกอุดมการณ์สาธารณรัฐเพื่อหวังใช้มวลชนของทักษิณเป็นฐานในการสั่นคลอนสถาบันพระมหากษัตริย์
ถามว่า คสช.ได้ทำอะไรไปบ้างเพื่อปกป้องอุดมการณ์หลักของชาติในการทำสงครามเพื่อช่วงชิงประชาชนที่ต้องเข้าถึงหัวใจของเขามากกว่าการสะกดด้วยปากกระบอกปืนให้พวกแกนนำหยุดเคลื่อนไหว
นี่เป็นรอยต่อของยุคสมัยที่กำลังเดินมาถึงทางแยก ความคิดต่ออุดมการณ์การปกครองของไทยมาถึงยุคที่คนไทยแตกความคิดออกเป็น 2 ทางจะเดินบนทางเก่าหรือจะไปทางใหม่ หรือแยกกันเดินจนเป็นความขัดแย้งที่พร้อมจะห้ำหั่นกัน ผมว่าพล.อ.ประยุทธ์ และคสช.ก็น่าจะรู้ดี แต่ถามว่าการคำรามเพียงให้ทุกฝ่ายสงบในช่วงที่ คสช.มีอำนาจมันเป็นทางแก้วิกฤตของประเทศจริงๆ หรือ
2 ปีที่ผ่านมา ทำอะไรที่เป็นการแก้ลงไปที่รากของปัญหาบ้างแล้วจะอยู่ต่อไปเพื่ออะไร
มีประโยชน์อะไรถ้าจะเกิดความสงบเพียงเพราะข่มขู่ให้กลัวเกรงต่ออำนาจปากกระบอกปืน ในขณะที่ต้นเหตุของความแตกแยกยังคงอยู่
ไม่รู้ว่าสิ่งที่พล.อ.ประยุทธ์บอกประชาชนว่า “ถ้ารู้แล้วจะหนาว” คืออะไร แต่ที่เห็นคืออุดมการณ์ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ กำลังถูกสั่นคลอน
คำถามว่าความไม่สงบขนาดไหนที่จะทำให้ คสช.อยู่ต่อ แล้ว 2 ปีกว่าที่ คสช.ยึดอำนาจและตั้งรัฐบาลมาบริหารประเทศ คสช.ประเมินสถานการณ์ของประเทศขณะนี้เป็นอย่างไร สถานการณ์ความขัดแย้งในประเทศได้คลี่คลายลงไปหรือไม่
แต่สำหรับผมแล้วคิดว่าสถานการณ์ในประเทศยังไม่เปลี่ยนแปลงไปจากก่อนการรัฐประหาร ต่างกันเพียงแต่ขณะนี้ไม่มีม็อบออกมากลางถนนเท่านั้นเอง แต่ความขัดแย้งในสังคมก็ยังคงอยู่เพราะอุดมการณ์ความคิดของคนในสังคมไทยนั้นแบ่งออกเป็น 2 ฝ่ายชัดเจนแล้ว และยากที่จะทำให้มวลชนแต่ละฝ่ายเปลี่ยนแปลงความคิดที่ตัวเองยึดมั่น
นั่นคือฝ่ายที่ต่อต้านระบอบทักษิณกับฝ่ายนิยมระบอบทักษิณ
บางคนบอกว่า ให้เราก้าวข้ามระบอบทักษิณไปได้แล้ว ราวกับว่าไม่ยอมรับว่าความขัดแย้งที่ฝังรากลึกมาสิบปีนี้เกิดขึ้นเพราะคนที่ชื่อทักษิณใช้ทุน และการตลาดเข้ามายึดครองการเมืองไทยจนสามารถผูกใจคนรากหญ้า โดยเฉพาะคนในภาคอีสานและภาคเหนือได้มาก และเมื่อรวมแล้วคนเหล่านี้เป็นคนส่วนใหญ่ของประเทศเสียด้วย ดังนั้นพรรคของทักษิณจึงชนะการเลือกตั้งมาตลอด 10 ปีที่ผ่านมา
เท่าที่พล.อ.ประยุทธ์แสดงออกผ่านวาจาก็เหมือนจะบอกให้เรารู้นะว่าศัตรูของชาติก็คือระบอบทักษิณ เวลาพูดถึงฝ่ายตรงข้ามพล.อ.ประยุทธ์จะสื่อให้รู้ว่าหมายถึงทักษิณ กระทั่งไม่นานมานี้ก็เอ่ยชื่อทักษิณว่าเป็นคนที่อยู่เบื้องหลังป่วนประเทศ เป็นครั้งแรกที่เอ่ยชื่อของทักษิณออกมาตรงๆ
แต่ถ้าถามว่า พล.อ.ประยุทธ์ และคสช.ได้ทำอะไรเพื่อเปลี่ยนแปลงฐานมวลชนของทักษิณหรือยัง คำตอบยังไม่เห็นเลยนะ เพียงแต่ใช้ปืนสะกดไม่ให้มวลชนของทักษิณออกมาเคลื่อนไหวเท่านั้นเอง ดังนั้น ถ้ากลับคืนสู่เลือกตั้งในเวลานี้เชื่อเลยว่า พรรคของทักษิณจะกลับมาชนะอีก และความขัดแย้งในสังคมไทยจะกลับมาอีก เพราะทุกครั้งที่ได้อำนาจมารัฐบาลของทักษิณก็จะใช้อำนาจอย่างเหิมเกริมจนประชาชนต้องออกมาขับไล่ ซึ่งไม่ได้หมายความว่าประชาชนไม่ยอมรับระบอบประชาธิปไตย แต่เขาไม่ยอมรับรัฐบาลที่ใช้อำนาจอย่างไม่ชอบธรรมต่างหาก
เห็นได้ชัดว่าประชาชนฝ่ายตรงข้ามกับระบอบทักษิณไม่ได้ต่อต้านรัฐบาลยิ่งลักษณ์ที่ชนะการเลือกตั้ง แม้ว่ายิ่งลักษณ์จะเป็นนายกรัฐมนตรีที่ไม่มีสติปัญญา แต่ประชาชนก็ยอมให้ยิ่งลักษณ์อยู่ในอำนาจถึง 2 ปี จนกระทั่งเหิมเกริมจะแก้กฎหมายนิรโทษให้ทักษิณพ้นผิดนั่นแหละ ประชาชนจึงลุกฮือมาขับไล่ ในขณะที่ฝ่ายระบอบทักษิณปลุกมวลชนมาปะทะ และปล่อยให้มือมืดใช้อาวุธสงครามยิงใส่ผู้ชุมนุมจนกระทั่งทหารใช้มาเป็นเหตุในการยึดอำนาจ
ฝ่ายสนับสนุนทักษิณอ้างว่าตัวเองเป็นฝ่ายประชาธิปไตย สิ่งที่เขายึดโยงความเป็นฝ่ายประชาธิปไตยได้เพียงอย่างเดียวก็คือ ชนะการเลือกตั้ง แต่ถามว่าฝ่ายต่อต้านระบอบทักษิณไม่นิยมประชาธิปไตยหรือ ตอบได้ว่านั่นเป็นเพียงวาทกรรมบิดเบือนของฝ่ายนิยมทักษิณเพียงเพราะประชาชนอีกฝ่ายไม่ยอมให้รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งใช้อำนาจอย่างไม่ชอบธรรมเท่านั้นเอง
แม้ว่าพล.อ.ประยุทธ์จะเพิ่งพูดไปไม่นานว่า ถ้าไม่สงบก็อยู่ต่อ แต่เวลาไปพูดในเวทีสากลก็มักย้ำเสมอว่ารัฐบาลจะอยู่ตามโรดแมป ซึ่งประกาศชัดเจนว่าจะกลับไปสู่การเลือกตั้งในปี 2560 แล้วพล.อ.ประยุทธ์ และคสช.ได้ทำอะไรที่ไม่ให้ประเทศกลับไปสู่ความขัดแย้งอีกหรือไม่ พูดตรงๆ ว่ายังมองไม่เห็นทางสว่างของสังคมไทยในอนาคตเลย
แล้วความสงบที่พล.อ.ประยุทธ์เรียกร้องอยู่ตรงไหน เพียงแค่ให้ทุกฝ่ายหยุดเคลื่อนไหวเหมือนกวาดขยะไว้ใต้พรมแค่นั้นหรือ
คสช.ได้ทำให้ประชาชนที่นิยมทักษิณเห็นพิษภัยของระบอบทักษิณ และประชานิยมที่เขาหยิบยื่นให้หรือไม่ว่า แม้ว่าทักษิณจะเอาเงินภาษีของประชาชนไปแจกโดยไม่คำนึงถึงผลกระทบในระยะยาว และกลไกทางการเงินการคลังของประเทศแล้ว ทักษิณยังใช้อำนาจในการหาประโยชน์เพื่อให้ธุรกิจของตัวเองได้ประโยชน์
ทักษิณใช้อำนาจเอื้อประโยชน์ให้บริษัท เอไอเอส หลังแปลงสัมปทานเป็นภาษีสรรพสามิต ทำให้รัฐเสียหายกว่า 6 หมื่นล้านบาท ใช้อำนาจเอื้อประโยชน์ให้บริษัท เอไอเอส หลังปรับลดส่วนแบ่งค่าสัมปทานโทรศัพท์ระบบเติมเงิน หรือพรีเพด ได้รับประโยชน์จากการแก้สัญญาให้รัฐร่วมรับผิดชอบค่าใช้เครือข่ายร่วมกับเอไอเอส ทำให้ ทศท. และ กสท ได้รับความเสียหาย
ทักษิณสนับสนุนธุรกิจดาวเทียมไอพีสตาร์เอื้อประโยชน์บริษัท ชินคอร์ป และไทยคมของตัวเอง และสั่งให้เอ็กซิมแบงก์อนุมัติเงินกู้ให้พม่า 4,000 ล้านบาท เอื้อประโยชน์บริษัทไทยคม และชินคอร์ป
สิ่งที่ทักษิณทำในระหว่างมีอำนาจนั้นเป็นประโยชน์แก่ตัวเองทั้งสิ้น จนศาลฎีกาแผนกคดีอาญาผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง มีคำพิพากษาให้ยึดเงิน 46,373 กว่าล้านบาทจากทักษิณกลับมาเป็นของรัฐ
คสช.เคยนำสิ่งเหล่านี้ไปอธิบายให้ประชาชนที่นิยมทักษิณเห็นหรือไม่ว่าทักษิณหาประโยชน์จากแผ่นดินอย่างไร เมื่อเทียบกับที่เขาเอาเงินภาษีไปซื้อใจประชาชน
คสช.น่าจะรู้ว่าสิ่งต้องช่วงชิงจากทักษิณก็คือ เอาประชาชนที่ฝักใฝ่ทักษิณกลับคืนมา มากกว่าไปใส่ใจกับแกนนำเสื้อแดงที่รู้กันอยู่ว่าเป็นพวกที่แสวงหาประโยชน์จากทักษิณ พวกหนึ่งได้ประโยชน์จากเงินของทักษิณซึ่งเห็นรูปธรรมชัดเจนจากฐานะที่มั่งคั่งขึ้นของแกนนำเสื้อแดง ส่วนอีกพวกคือพวกอุดมการณ์สาธารณรัฐเพื่อหวังใช้มวลชนของทักษิณเป็นฐานในการสั่นคลอนสถาบันพระมหากษัตริย์
ถามว่า คสช.ได้ทำอะไรไปบ้างเพื่อปกป้องอุดมการณ์หลักของชาติในการทำสงครามเพื่อช่วงชิงประชาชนที่ต้องเข้าถึงหัวใจของเขามากกว่าการสะกดด้วยปากกระบอกปืนให้พวกแกนนำหยุดเคลื่อนไหว
นี่เป็นรอยต่อของยุคสมัยที่กำลังเดินมาถึงทางแยก ความคิดต่ออุดมการณ์การปกครองของไทยมาถึงยุคที่คนไทยแตกความคิดออกเป็น 2 ทางจะเดินบนทางเก่าหรือจะไปทางใหม่ หรือแยกกันเดินจนเป็นความขัดแย้งที่พร้อมจะห้ำหั่นกัน ผมว่าพล.อ.ประยุทธ์ และคสช.ก็น่าจะรู้ดี แต่ถามว่าการคำรามเพียงให้ทุกฝ่ายสงบในช่วงที่ คสช.มีอำนาจมันเป็นทางแก้วิกฤตของประเทศจริงๆ หรือ
2 ปีที่ผ่านมา ทำอะไรที่เป็นการแก้ลงไปที่รากของปัญหาบ้างแล้วจะอยู่ต่อไปเพื่ออะไร
มีประโยชน์อะไรถ้าจะเกิดความสงบเพียงเพราะข่มขู่ให้กลัวเกรงต่ออำนาจปากกระบอกปืน ในขณะที่ต้นเหตุของความแตกแยกยังคงอยู่
ไม่รู้ว่าสิ่งที่พล.อ.ประยุทธ์บอกประชาชนว่า “ถ้ารู้แล้วจะหนาว” คืออะไร แต่ที่เห็นคืออุดมการณ์ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ กำลังถูกสั่นคลอน
