ผู้จัดการสุดสัปดาห์ - ชักจะเข้ารูปเดิมๆ เหมือนรัฐบาล ยิ่งลักษณ์ ชินวัตรไปทุกวัน ที่วันๆ เอาแต่หมกมุ่นหาทางช่วยพี่ชายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีให้พ้นผิด ไม่เป็นอันทำงานทำการบริหารประเทศ เดี๋ยวแก้ไขรัฐธรรมนูญบ้าง เดี๋ยวหาทางดัน พ.ร.บ.นิรโทษกรรมบ้าง เดี๋ยวหาช่องขออภัยโทษบ้าง อยู่กันในวังวนแบบนี้มาตลอด 2 ปี
จนสุดท้ายประชาชนอดรนทนไม่ได้ ออกมาตะเพิดเป็นการโหมโรง ก่อนจะกวักมือเรียกทหารขับรถถังออกมาแอ่น แอ๊น ยึดอำนาจออกไปจากอก กลางวันแสกๆ
คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ก็เหมือนอยากจะเดินตามรอยเท้ายิ่งลักษณ์ หรืออย่างไรไม่ทราบได้
หรือเพราะคิดว่า มีอำนาจมากมายก่ายกอง อยากจะทำอะไรก็ได้ ไม่ต้องแคร์เสียงคนนินทาหมาดูถูก วันๆ เลยหาแต่เรื่องที่มันขัดอกขัดใจประชาชนมาทำอยู่เรื่อย โดยเฉพาะพี่ใหญ่บูรพาพยัคฆ์ “บิ๊กป้อม”พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม ที่ช่วงนี้มีข่าวอื้อฉาว ออกมาถี่ๆ แม้ไม่ได้มีใบเสร็จชนิดให้จับได้คาหนังคาเขา แต่มันก็ถูกสาวว่ามีส่วนเกี่ยวข้องอยู่ร่ำไป
เพราะความเคลื่อนไหวที่เกิดขึ้น เกี่ยวข้องกับคน“บ้านวงษ์สุวรรณ”หรือคนใกล้ตัว “บิ๊กป้อม”อยู่เสมอ โดยเฉพาะกับน้องชายสุดที่รัก “บิ๊กป๊อด”พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ อดีตผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) ที่ดูเหมือนมีความพยายามจากฝ่ายอำนาจเพื่อช่วยเหลือในคดีสลายการชุมนุมกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย หน้ารัฐสภา เมื่อวันที่ 7 ตุลาคม 2551 ไม่ว่าในทางใดทางหนึ่งอยู่ตลอดเวลา จนเป็นเหมือนภารกิจใหญ่ขอรัฐบาลไปเสียแล้วว่า จะต้องทำให้ลุล่วงให้ได้ในยุคนี้
ตั้งแต่ความพยายามนำเรื่องเข้าสู่ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อปี 58 เพื่อให้อัยการสามารถเป็นทนายให้กับเจ้าหน้าที่รัฐได้ ซึ่งขณะนั้น เป็นช่วงที่ตรงกันกับที่ 3 จำเลยในคดีสลายการชุมนุมกลุ่มพันธมิตรฯ คือ สมชาย วงศ์สวัสดิ์ อดีตนายกรัฐมนตรี พล.ต.อ.พัชรวาท และพล.ต.ท.สุชาติ เหมือนแก้ว อดีตผู้บัญชาการตำรวจนครบาล (ผบช.น.) มีหนังสือถึงอัยการเพื่อขอให้มาเป็นทนายให้พอดิบพอดี แต่โชคยังดีเพราะสุดท้ายศาลฎีกาแผนกคดีอาญาทางการเมือง ยกคำร้อง เนื่องจากคดีดังกล่าว ป.ป.ช.เป็นโจทก์ ถ้าให้อัยการไปเป็นทนายให้กับจำเลย ก็ไม่ต่างอะไรกับการให้ป.ป.ช. มาสู้กับอัยการ กลายเป็นการห้ำหั่นระหว่างรัฐกับรัฐ
แม้ในการเสนอเข้าสู่ที่ประชุมครม.ตอนนั้นจะไม่ได้จำเพาะเจาะจงว่าเป็นกรณีใด โดยเสนอกันแบบกว้างๆ แต่ก็มิวายถูกมองว่าเป็นการขับเคลื่อนเพื่อช่วยน้องชายสุดที่รักอยู่ดี ผ่านพ้นครั้งนั้นอาจจะยังไม่จะแจ้ง แต่การที่ 3 จำเลยหน้าเดิม มายื่นขอความเป็นธรรมต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เพื่อให้พิจารณาถอนฟ้องคดีสลายการชุมนุมกลุ่มพันธมิตรฯ ต่อศาลฎีกาฯ ต้องบอกว่า มันแจ่มแจ้ง แดงแจ๋กว่าอะไรเป็นไหนๆว่า ภารกิจนี้ต้องเอาให้ได้ เพื่อปลดเปลื้องมลทินให้“น้องป๊อด”
1. เพราะ “บิ๊กกุ้ย”พล.ต.อ.วัชรพล ประสารราชกิจ ประธานป.ป.ช. คือ อดีตผู้ใต้บังคับบัญชาของทั้ง“บิ๊กป๊อด”และ “บิ๊กป้อม” มีความใกล้ชิดสนิทสนมกับคนบ้าน“วงษ์สุวรรณ”เป็นพิเศษ 2. เพราะการที่ “บิ๊กกุ้ย”เข้ามายืนอยู่ตรงจุดนี้ได้ ในตำแหน่งหัวขบวนปราบโกง ก็เพราะอิทธิฤทธิ์ของผู้มากบารมีในปัจจุบัน และ 3. เพราะนี่อาจเป็นการเฉลยว่า ทำไมประธานป.ป.ช. จึงชื่อ พล.ต.อ.วัชรพล เป็นการเซ็ตกันตั้งแต่ทีแรกว่าถูกผลักดันมาเพื่ออะไร
สิ่งที่จำเลยทั้ง 3 คน ขอความเป็นธรรม แม้เป็นสิ่งที่กระทำได้ แต่ถ้าดูจากเหตุผลเพียงแค่มีหลักฐานใหม่ เหตุใดทำไมจึงไม่ไปยื่นต่อสู้ในชั้นศาล ทำไมจึงมายื่นต่อป.ป.ช.ให้ถอนฟ้อง แล้วทำไมป.ป.ช. ภายใต้การนำของ“บิ๊กกุ้ย”จึงดูกระเหี้ยนกระหือรือ ศึกษาเรื่องนี้อย่างเอาเป็นเอาตาย ชนิดด่วนกว่าเรื่องอื่นๆ ที่ค้างอยู่
แม้เป็นอีกครั้งที่ “บิ๊กป้อม”ปฏิเสธว่า ไม่มีเอี่ยว แต่ไม่มีใครเชื่อน้ำคำว่าจะไม่รู้เรื่อง เพราะเรื่องใหญ่ขนาดนี้ มีผลกระทบในสังคมเป็นวงกว้าง โดยเฉพาะในแง่ความมั่นคงของรัฐบาลที่ย่อมมีการกระทบชิ่งถึง ลำพังป.ป.ช.ยุคนี้ไม่มีการกล้าอะไรเองโดยพลการแน่ หากไม่มีสัญญาณจากผู้มากบารมี
พฤติกรรมดังกล่าวทำคนส่ายหน้าเป็นอย่างมาก ว่า เป็นการแทรกแซงองค์กรอิสระอย่างโจ๋งครึ่มอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน โดยเฉพาะกับป.ป.ช. ที่เพิ่งจะกอบกู้ชื่อเสียงกลับมาได้ไม่นาน แต่ต้องกลับมาถูกฉุดจนเกิดวิกฤตศรัทธาอีกครั้ง เพราะภารกิจฟอกผิดให้น้องรักเพียงเรื่องเดียว ซึ่งเรื่องดังกล่าวได้ทำให้เกิดภาพลักษณ์ด้านลบแก่ ป.ป.ช. จนกลายเป็นองค์กรที่เกิดเครื่องหมายคำถามเกี่ยวกับความน่าเชื่อถือ
การขยับเขยื้อนช่วยน้องรักไม่มีทีท่าจะหยุด ในขณะที่ป.ป.ช. กำลังงัวเงียว่า จะลุยไฟ หรือถอยหลังเรื่องถอนฟ้องคดีสลายการชุมนุมกลุ่มพันธมิตรฯ กลับมีการเคลื่อนไหวที่มีนัยสำคัญอีกครั้งขึ้นในช่วงไล่เลี่ยกัน เมื่อเสรี สุวรรณภานนท์ ประธานคณะกรรมาธิการขับเคลื่อนการปฏิรูปด้านการเมือง สภาขับเคลื่อนเพื่อการปฏิรูปแห่งชาติ (สปท.) กระโดดโพล่งออกมา เสนอแนวทางการสร้างความปรองดอง โดยใช้วิธีการรอกำหนดโทษ สำหรับคนที่สารภาพต่อศาล
ถือว่าแหวกอากาศเข้ามาแบบงงๆ เพราะก่อนหน้านี้ไม่มีขลุ่ยมีปี่อะไรเลยเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าว อีกทั้งข้อเสนอดังกล่าวยังไม่ได้ตกผลึก แต่ “เสรี”เลือกที่จะจุดพลุก่อน จนถูกตั้งแง่ว่า เป็นงานมีใบสั่ง เพราะต้องอย่าลืมว่าในเวทีสปท.นั้น รับรู้กันทั่วคุ้งทั่วแควว่า นอกจากวันชัย สอนศิริ สมาชิก สปท.จะทำหน้าที่หนังหน้าไฟให้กับผู้มากบารมีแล้ว ก็มีเสรีนี่แหละเป็นคู่หูเดินงาน
อีกทั้ง “เสรี”ไม่กล้าอะไรโดยพลการอยู่แล้ว เพราะเรื่องนี้แม้จะทำในนามสปท. แต่เมื่อออกมาสู่สายตาสังคม ก็ถูกเหมารวมแน่ว่าเป็นโปรเจกต์ของรัฐบาล ในฐานะที่ต้องเป็นผู้ขับเคลื่อน ไม่น่าจะใช่เรื่องที่อยู่ดีไม่ว่าดี จะให้ผู้ใหญ่ในรัฐบาลออกมาตีกบาลโง่ๆ ต่อให้ “บิ๊กป้อม”จะมีแอ็กชั่นแบบออกรสว่า ไม่เห็นด้วย เพราะยิ่งจะทำให้เกิดความวุ่นวาย แต่ก็ถูกปรามาสว่า เป็นบทที่มีการเตี๊ยมกันมา
ขณะเดียวกัน จุดมุ่งหมายในการตีปี๊บครั้งนี้มันออกมาในช่วงที่แกนนำพันธมิตรฯ กำลังคัดค้านการถอนฟ้อง จึงไม่ต่างอะไรจากการยื่นหมูยื่นแมว ให้จบๆ หยวนๆ กันไป โดยมี“เสรี”เป็นหนังหน้าไฟ
ซึ่งก็มิวาย วนเข้า “บิ๊กป้อม”อีกเหมือนเดิม
นับวันความเสื่อมจะเล่นงานคสช. มากขึ้นเรื่อยๆ กี่เรื่องกี่ราวที่ฉาวๆ ถูกโยงเข้า “บิ๊กป้อม”มีส่วนเกี่ยวข้องอยู่ร่ำไป งานนี้ลำบากถ้าบางเรื่อง“บิ๊กตู่”พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และคสช. ยังเฉย ไม่กล้าขัดใจ หรือไม่ลุกขึ้นมาทำอะไรสักอย่าง
เพราะสุดท้ายคนที่ถูกดึงตกเหวก็คือตัว“บิ๊กตู่”เอง