เมื่อวานนี้(8 เม.ย.) ที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง นัดไต่สวนพยานโจทก์นัดแรก คดีที่ ป.ป.ช. เป็นโจทก์ ยื่นฟ้องนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ อดีตนายกรัฐมนตรี พลเอกชวลิต ยงใจยุทธ อดีตรองนายกรัฐมนตรี พลตำรวจเอกพัชรวาท วงษ์สุวรรณ อดีตผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ และ พลตำรวจโทสุชาติ เหมือนแก้ว อดีตผู้บัญชาการตำรวจนครบาล เป็นจำเลยที่ 1-4 ในความผิดฐานเป็นเจ้าหน้าที่ปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบหรือโดยทุจริต เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด
สืบเนื่องจากกรณีเมื่อวันที่ 7 ตุลาคม 2551 ที่รัฐบาลนายสมชายให้ตำรวจสลายการชุมนุมกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย โดยมิชอบตามหลักสากล กระทั่งเป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิต 2 คน และมีผู้บาดเจ็บ 471 คน โดย ป.ป.ช.ได้นำพยานเข้าไต่สวนรวม 2 ปาก คือนายวีระ สมความคิด นักสิทธิมนุษยชนและประธานกลุ่มพิทักษ์สิทธิเสรีภาพของประชาชน และนายสุรชัย ภู่ประเสริฐ อดีตเลขาธิการ ครม. สมัยรัฐบาลนายสมชาย
โดยนายวีระ ที่เป็นผู้กล่าวหาต่อ ป.ป.ช. เบิกความยืนยันว่า การสลายการชุมนุมของตำรวจ ไม่ทำตามหลักสากล ไม่แจ้งเตือน และมีการระดมยิงใส่ผู้ชุมนุมมีทั้งการใช้อาวุธปืนยาวและปืนพกสั้น อันเป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บ พร้อมยืนยันว่า ผู้ชุมนุมไม่มีเจตนาบุกยึดรัฐสภา เพียงแต่ไม่ต้องการให้คณะรัฐมนตรีของรัฐบาลนายสมชายแถลงนโยบายต่อรัฐสภา จึงปิดล้อมเท่านั้น
ขณะที่นายสุรชัย เลขาธิการ ครม. ยืนยันว่า มติคณะรัฐมนตรี(ครม.) มอบให้รองนายกรัฐมนตรีขณะนั้นกำกับดูแลสถานการณ์การชุมนุม แต่มติ ครม. ไม่ได้ให้ตำรวจใช้ความรุนแรงหรือสลายการชุมนุม ส่วนการย้ายสถานที่แถลงนโยบายนั้นไม่ได้เป็นอำนาจของ ครม.
อย่างไรก็ตามทีมทนายซักค้านพยานถึงมติคณะรัฐมนตรีขณะนั้นว่าไม่ได้สั่งให้สลายการชุมนุม หรือตั้งศูนย์บัญชาการเหตุการณ์ แต่อย่างใด และที่ประชุมได้พยายามเปลี่ยนสถานที่ประชุม แต่ไม่สามารถกระทำได้
ทั้งนี้ เมื่อไต่สวนเสร็จสิ้นทั้ง 2 ปาก ศาลได้นัดไต่สวนพยานครั้งที่ 2 ที่เหลืออยู่อีกในวันที่ 29 เมษายนนี้
ด้านนายสมชาย กล่าวภายหลังการไต่สวนว่า พอใจกับการทำหน้าที่ของทนายความ และพร้อมต่อสู้ตามรูปคดี ซึ่งเราก็มีหน้าที่นำข้อมูลและข้อเท็จจริงต่างๆ เสนอต่อศาล เพื่อให้ศาลพิจารณาประกอบสำนวนคดีต่อไป และส่วนตัวไม่รู้สึกกังวลอะไร
ทั้งนี้ระหว่างที่นายสมชาย ให้สัมภาษณ์และกำลังเดินทางกลับไปขึ้นรถ เกิดเหตุความวุ่นวายขึ้นเล็กน้อย เพราะกลุ่มผู้ชุมนุมกลุ่มพันธมิตรที่เข้าร่วมรับฟังการพิจารณาคดี ได้โห่ไล่ พร้อมกับชูป้าย “7ต.ค.51 ร่วมสู้มา 193 วัน" "ระลึกถึงเพื่อนพันธมิตรที่เสียชีวิต 11 คน" ด้วย
ด้านพลเอกชวลิต กล่าวว่า ไม่รู้สึกกังวลและสบายใจ เพราะเห็นทนายทุกคนทำหน้าที่ในการซักถามอย่างเต็มที่แล้ว
สืบเนื่องจากกรณีเมื่อวันที่ 7 ตุลาคม 2551 ที่รัฐบาลนายสมชายให้ตำรวจสลายการชุมนุมกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย โดยมิชอบตามหลักสากล กระทั่งเป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิต 2 คน และมีผู้บาดเจ็บ 471 คน โดย ป.ป.ช.ได้นำพยานเข้าไต่สวนรวม 2 ปาก คือนายวีระ สมความคิด นักสิทธิมนุษยชนและประธานกลุ่มพิทักษ์สิทธิเสรีภาพของประชาชน และนายสุรชัย ภู่ประเสริฐ อดีตเลขาธิการ ครม. สมัยรัฐบาลนายสมชาย
โดยนายวีระ ที่เป็นผู้กล่าวหาต่อ ป.ป.ช. เบิกความยืนยันว่า การสลายการชุมนุมของตำรวจ ไม่ทำตามหลักสากล ไม่แจ้งเตือน และมีการระดมยิงใส่ผู้ชุมนุมมีทั้งการใช้อาวุธปืนยาวและปืนพกสั้น อันเป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บ พร้อมยืนยันว่า ผู้ชุมนุมไม่มีเจตนาบุกยึดรัฐสภา เพียงแต่ไม่ต้องการให้คณะรัฐมนตรีของรัฐบาลนายสมชายแถลงนโยบายต่อรัฐสภา จึงปิดล้อมเท่านั้น
ขณะที่นายสุรชัย เลขาธิการ ครม. ยืนยันว่า มติคณะรัฐมนตรี(ครม.) มอบให้รองนายกรัฐมนตรีขณะนั้นกำกับดูแลสถานการณ์การชุมนุม แต่มติ ครม. ไม่ได้ให้ตำรวจใช้ความรุนแรงหรือสลายการชุมนุม ส่วนการย้ายสถานที่แถลงนโยบายนั้นไม่ได้เป็นอำนาจของ ครม.
อย่างไรก็ตามทีมทนายซักค้านพยานถึงมติคณะรัฐมนตรีขณะนั้นว่าไม่ได้สั่งให้สลายการชุมนุม หรือตั้งศูนย์บัญชาการเหตุการณ์ แต่อย่างใด และที่ประชุมได้พยายามเปลี่ยนสถานที่ประชุม แต่ไม่สามารถกระทำได้
ทั้งนี้ เมื่อไต่สวนเสร็จสิ้นทั้ง 2 ปาก ศาลได้นัดไต่สวนพยานครั้งที่ 2 ที่เหลืออยู่อีกในวันที่ 29 เมษายนนี้
ด้านนายสมชาย กล่าวภายหลังการไต่สวนว่า พอใจกับการทำหน้าที่ของทนายความ และพร้อมต่อสู้ตามรูปคดี ซึ่งเราก็มีหน้าที่นำข้อมูลและข้อเท็จจริงต่างๆ เสนอต่อศาล เพื่อให้ศาลพิจารณาประกอบสำนวนคดีต่อไป และส่วนตัวไม่รู้สึกกังวลอะไร
ทั้งนี้ระหว่างที่นายสมชาย ให้สัมภาษณ์และกำลังเดินทางกลับไปขึ้นรถ เกิดเหตุความวุ่นวายขึ้นเล็กน้อย เพราะกลุ่มผู้ชุมนุมกลุ่มพันธมิตรที่เข้าร่วมรับฟังการพิจารณาคดี ได้โห่ไล่ พร้อมกับชูป้าย “7ต.ค.51 ร่วมสู้มา 193 วัน" "ระลึกถึงเพื่อนพันธมิตรที่เสียชีวิต 11 คน" ด้วย
ด้านพลเอกชวลิต กล่าวว่า ไม่รู้สึกกังวลและสบายใจ เพราะเห็นทนายทุกคนทำหน้าที่ในการซักถามอย่างเต็มที่แล้ว
