ป้อมพระสุเมรุ
ถึงนาทีก็ยังต้องลุ้นต่อว่า คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ชุดใหญ่ที่มี “บิ๊กกุ้ย” พล.ต.อ.วัชรพล ประสารราชกิจ เป็นประธาน จะเอายังไงกับข้อร้องเรียนขอความเป็นธรรมจาก 3 จำเลย คือ “ชายจืด” สมชาย วงศ์สวัสดิ์ อดีตนายกรัฐมนตรี “บิ๊กป๊อด” พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ อดีตผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) และ “บิ๊กเบื๊อก” พล.ต.ท.สุชาติ เหมือนแก้ว อดีตผู้บัญชาการตำรวจนครบาล (ผบช.น.) ที่ขอให้พิจารณาถอนฟ้องคดีสลายการชุมนุม กลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ที่หน้ารัฐสภา เมื่อวันที่ 7 ตุลาคม 2551 ที่ ป.ป.ช. เป็นโจทก์ยื่นฟ้องต่อ ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง
ถึงจะมีข้อสรุปจากคณะทำงานศึกษาที่ “บิ๊กกุ้ย” ลงนามแต่งตั้งขึ้น โดยมี สรรเสริญ พลเจียก เลขาธิการป.ป.ช. เป็นหัวหน้า มีที่ปรึกษาด้านคดีของกรรมการ ป.ป.ช.ทั้ง 9 คน และผู้บริหารระดับสูงที่เกี่ยวข้องของสำนักงานป.ป.ช. เป็นลูกทีม ออกมาว่า หลักฐานของ 3 จำเลยเป็น “เรื่องเก่า” ไม่ใช่ “ของใหม่” จึงไม่มีน้ำหนักเพียงพอให้ยื่นถอนฟ้อง และเตรียมเสนอเข้าสู่ที่ประชุมคณะกรรมการ ป.ป.ช.ชุดใหญ่ในวันที่ 26 พฤษภาคมนี้ เพื่อพิจารณาว่า จะเห็นควรตามมติของคณะทำงานฯหรือไม่
เพราะที่สุดแล้วก็อยู่ที่ดุลพินิจของที่ประชุม “9 อรหันต์” คณะกรรมการ ป.ป.ช.ชุดใหญ่ มี “บิ๊กกุ้ย” เป็นหัวโต๊ะ ซึ่งก็เป็นคนเดียวกับที่เคยแทงเรื่องกลับไปยังเจ้าหน้าที่ ป.ป.ช.ที่เคยเสนอว่า “ไม่ควรถอนฟ้อง” ถึง 2 ครั้งซ้อนๆ หลังมอบหมายให้เจ้าหน้าที่ที่เคยทำสำนวนคดีนี้พิจารณาหาเหตุอันสมควรให้ถอนฟ้อง
ราวกับว่า บทสรุป “ไม่ควรถอนฟ้อง” ไม่ใช่คำตอบที่ถูกใจ “บิ๊กกุ้ย” จึงต้องตั้งคณะทำงานชุด “สรรเสริญ” ขึ้นมาให้ยุ่งยากอีก แต่อย่างน้อยๆข้อสรุป “ไม่ควรถอนฟ้อง” ของคณะทำงานชุด “สรรเสริญ” ก็เป็นสัญญาณกลายๆ แล้วว่า “ไอ้เสือต้องถอย!”
แต่จะถอยสุดหรือไม่ ยังต้องจับตากันต่อ เพราะอย่างที่บอกสุดท้ายคนที่มีอำนาจตัดสินใจคือ “บิ๊กกุ้ย” และกรรมการอีก 8 คนว่า จะเห็นพ้องต้องกับคณะทำงานฯหรือไม่ หรือจะ “ดื้อดึง” เห็นแปลกแยกออกไปตาม “ธง” ที่ตั้งไว้ มุมที่จะ “หักด้ามพร้าด้วยเข่า” โหวตสวนทางกับคณะทำงานฯเพื่อเดินหน้าถอนฟ้องคดีสลายการชุมนุมกลุ่มพันธมิตรฯ ต่อไป ตามเจตนารมณ์ของ “ใครบางคน” ก็ยังมีอยู่ไม่น้อย
สำหรับ “บิ๊กกุ้ย” และกรรมการอีก 8 คน มีทางเลือกอยู่ 3 ทางกับมติของคณะทำงานฯ นั่นคือ
1. เชื่อตามผลการศึกษาของคณะทำงานฯ เพื่อลดแรงเสียดทานจากภายนอกที่มีต่อองค์กร ป.ป.ช.
2. ไม่เชื่อในผลการศึกษาของคณะทำงานฯ แต่เลือก “เสี่ยงดวง” ด้วยการเดินหน้าถอนฟ้องคดีเพื่อให้ศาลฎีกาฯ เป็นผู้วินิจฉัยว่า สุดท้ายแล้วสามารถถอนฟ้องได้หรือไม่ ซึ่งต้องพร้อมรับปฏิกิริยาต่างๆ ที่จะเกิดขึ้นตามมา ไม่ว่าจะเป็นต่อตัวคณะกรรมการ ป.ป.ช.เอง ตลอดจนแรงกระทบชิ่งไปถึง คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ที่ต่างก็เชื่อว่าเป็นเงาทะมึนอยู่เบื้องหลังภารกิจนี้ ปฏิเสธไม่ได้ว่า “บิ๊กกุ้ย” และกรรมการบางคนที่เพิ่งได้เป็น ป.ป.ช.เมื่อช่วงต้นปี ถูกมองว่า มีความสนิทสนมกับฝ่ายอำนาจ โดยเฉพาะคนในบ้าน “วงษ์สุวรรณ” และอาจกล่าวไปถึง “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้า คสช.ที่แม้จะไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้อง แต่มิอาจหลีกเลี่ยงได้ในฐานะที่เป็นผู้มีอำนาจสูงสุด สามารถยับยั้งติติงได้ แต่ไม่ทำ
หากเลือกช้อยส์นี้ คณะกรรมการป.ป.ช.ก็ต้องเสี่ยงกับผลที่ตามมา ที่แน่ๆต้องถูกฟ้องกลับหรือยื่นร้องเรียนให้ตรวจสอบการทำงานเสียเอง หลังจากอดีตแกนนำพันธมิตรฯและผู้ที่ได้รับผลกระทบจากคดีนี้ ประกาศชัดแล้วว่า ทันทีที่ ป.ป.ช.ถอนฟ้อง จะดำเนินคดีอย่างถึงที่สุด
3. ข้อนี้อาจจะเป็นไปได้น้อยที่สุด คือ “ตีมึน” ยัดเรื่องใส่ลิ้นชักไว้ชั่วคราว โดยให้คณะทำงานฯกลับไปศึกษาในบางจุดที่ยังเป็นข้อสงสัย หรือคลุมเครือ เพื่อรักษาสิทธิ์ในการถอนฟ้องในวันข้างหน้า หลังจากที่คลื่นลมสงบแล้วค่อยกลับมาขับเคลื่อนใหม่ หรือเรียกว่า เป็นการจงใจดองเรื่องเพื่อให้กระแสซาลง เพราะถ้าตัดสินใจไม่ถอนฟ้องเสียตั้งแต่ครั้งนี้ ช่องทางการดิ้นของ “จำเลย” ในช่องของ ป.ป.ช.ก็จะหมดไปทันที จำเลยในคดีดังกล่าวจะคงเหลือช่องทางการต่อสู้ในชั้นศาลที่มิอาจเข้าไปแทรกแซงได้
แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ไม่ว่า สุดท้ายป.ป.ช.จะเลือกเดินทางไหน หรือต่อให้ตัดสินใจไม่ถอนฟ้อง โดยปล่อยให้เป็นไปตามกระบวนการยุติธรรมนั่นคือ ให้ศาลฎีกาฯได้พิจารณาต่อ ทว่าจากพฤติกรรมคราวนี้มันได้สร้างความคลางแคลงใจของประชาชนที่มององค์กรปราบโกงในยุคนี้เปลี่ยนไปเรียบร้อยแล้ว
ต่อให้ที่สุด ป.ป.ช.ตัดสินใจไม่ถอนฟ้องจริงๆ ก็จะเกิดคำถามตามมาอยู่ดีว่า เป็นเพราะข้อกฎหมาย ข้อเท็จจริง ไม่สมเหตุสมผล หรือแท้ที่จริงแล้วเป็นเพราะกระแสสังคมรับไม่ได้ กลุ่มพันธมิตรฯ ทบทวนท่าทีการเคลื่อนไหว มีการเล็งจะฟ้องกลับ และภาพลักษณ์ขององค์กรเริ่มสั่นคลอน ป.ป.ช.จึงสวมบท “ไอ้เสือถอย”
ขณะเดียวกัน ผลจากการขยับเขยื้อนครั้งนี้ยิ่งทำให้สังคมไม่สามารถไว้วางใจ “บิ๊กกุ้ย” ในฐานะ “มือปราบโกง” ได้อย่างสนิทใจ เพราะเหมือนสารภาพกลางแดดว่า ที่พยายามเข้ามาใน ป.ป.ช.และมีแรงส่งให้ขึ้นตัวแหน่งสูงสุด เนื่องจากมี “งาน” เพิ่มความเชื่อในสิ่งที่ถูกตั้งข้อสังเกตก่อนเข้ารับตำแหน่งว่า “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม ในฐานะ “ผู้มากบารมี” ในปัจจุบัน เป็นผู้ส่งเข้าประกวดจริงๆ
นอกจากนี้ การพิจารณาคดีต่างๆ ต่อไปในภายภาคหน้าจะมีเครื่องหมายตามมาตลอดว่า มีความเป็นกลางมากน้อยแค่ไหน หรือจะถูกแทรกแซงจากฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งหรือไม่ หรือรับใบสั่งจากใครหรือไม่ เหล่านี้เป็นต้น
กระนั้นก็ตาม เรื่องนี้ยังไม่จบง่ายๆ แน่ ต่อให้ ป.ป.ช.ไม่ถอนฟ้องก็ตาม เพราะผลจากเรื่องนี้ทำให้เห็นอย่างหนึ่งแล้วว่า มีความพยายามในการปลดเปลื้องความผิดให้ “บิ๊กป๊อด” อยู่ตลอดเวลา นับตั้งแต่เมื่อครั้งที่มีความพยายามให้นำอัยการมาเป็นทนายให้ฝ่ายจำเลย
สิ่งที่ครอบครัวและญาติผู้เสียชีวิตจากเหตุการณ์ 7 ตุลาคม 2551 พะว้าพะวงก็คือ การต่อสู้ในชั้นศาลฎีกาฯของ ป.ป.ช.ยังเต็มร้อยอยู่หรือไม่ เพราะคดีนี้ ป.ป.ช.เป็นโจทก์เอง ไม่ใช่อัยการ การวางแผนการต่อสู้ของทนายย่อมมาจากแนวทางของ ป.ป.ช. แต่วันนี้ ประธาน ป.ป.ช.และกรรมการบางคนแสดงอาการอยากจะถอนฟ้องใจจะขาด ก็น่าห่วงไม่ใช่น้อย
อย่าลืมว่า ศาลฎีกาฯ ตัดสินตามพยานหลักฐาน แน่นอนไม่มีใครสามารถแทรกแซงและก้าวล่วงได้ แต่ถ้าทนายฝั่ง ป.ป.ช. ต่อสู้ด้วยพยานหลักฐานที่อ่อนปวกเปียก ราวกับเป็นการจงใจ ไม่พยายามหักล้างแบบมุ่งมั่นกับฝ่ายจำเลย ก็อาจทำให้คดีนี้กลายเป็น “มวยล้มต้มคนดู” ได้เหมือนกัน
มีเหตุการณ์ที่น่ากังวลอยู่ไม่ใช่น้อย โดยเฉพาะการไต่สวนของศาลฎีกาฯ เมื่อวันที่ 29 เมษายน ซึ่งศาลนัดไต่สวนพยานฝ่ายโจทก์จำนวน 5 ปากที่เป็น “ตำรวจ” ทั้งหมด ไล่ตั้งแต่ “บิ๊กแป๊ะ” พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผบ.ตร., พล.ต.ต.วิบูลย์ บางท่าไม้ อดีต ผบช.สตม., พล.ต.ต.ลือชัย สุดยอด รอง ผบช.ภ.3, พล.ต.ต.ลิขิต กลิ่นอวน อดีต รองผบช.น. และ พล.ต.ท.อนันต์ ศรีหิรัญ ผู้ช่วย ผบ.ตร.
แต่ปรากฏว่า ทั้ง 5 คนไม่ได้เดินทางมาศาลตามนัดหมาย
น่าตกใจยิ่งกว่าเมื่อ ทนายความ ป.ป.ช.ในฐานะโจทก์ ก็ไม่ได้ติดใจจะไต่สวนพยาน 5 ปากนี้อีกต่อไป แต่จะนำนคำให้การของพยานดังกล่าวที่ให้ไว้ในชั้นไต่สวนของ ป.ป.ช.ต่อศาลแทน ทว่าทนายความจำเลยแถลงว่า ฝ่ายจำเลยยังติดใจไต่สวนพยานทั้ง 5 ปาก ตามบัญชีพยานที่เคยยื่นไว้ต่อศาล ทำให้ทั้ง 5 นายตำรวจใหญ่ยังคงต้องมาศาลอยู่ดี
การเบี้ยวนัดศาลพร้อมกันโดยบังเอิญของ 5 นายตำรวจใหญ่ ยิ่งเพิ่มความชอบกลให้กับการต่อสู้คดีไปกันใหญ่ เพราะต้องไม่ลืมว่า หนึ่งในพยานฝ่ายโจทก์ก็คือ “บิ๊กแป๊ะ” ที่ปฏิเสธไม่ได้ว่าผงาดขึ้นเบอร์ 1 วงการสีกากี ได้ก็เพราะแรงส่งจากบ้าน “วงษ์สุวรรณ” เมื่อเป็นเช่นนั้นแล้ว จะขึ้นให้การในฐานะพยานในคดีที่มีจำเลยสำคัญชื่อ “บิ๊กป๊อด” ที่มีฐานะเป็นน้องชายของผู้มีพระคุณ อาจมีอาการ “น้ำท่วมปาก” ก็เป็นได้
นาทีนี้ขอมองข้ามช้อตไปแบบนี้ ตามประสาคนขี้ระแวง ส่วนจะ “มวยล้มต้มคนดู” ตามคาดหรือไม่ โปรดติดตาม.