ผู้จัดการรายวัน360-ปปง.มีมติสั่งอายัดสิทธิเรียกร้องเงินชดเชยค่าผิดสัญญาก่อสร้างโครงการบ่อบำบัดน้ำเสียคลองด่าน ที่รัฐบาลยังค้างจ่ายให้กลุ่มกิจการร่วมค้า NVPSKG อีก 2 งวด เป็นเงินเกือบ 6 พันล้านบาท หลังศาลฎีกานักการเมืองตัดสินเอกชนได้สัญญาโดยมิชอบ "บิ๊กต๊อก"ยันรัฐบาลใช้ช่องตามกฎหมายอายัดทรัพย์ ส่วนงวดแรกที่จ่ายไป เหตุศาลยังไม่ตัดสิน "วิษณุ"บอกยังมีหลายประเด็นที่ไม่ชัด
พ.ต.อ.สีหนาท ประยูรรัตน์ ที่ปรึกษาประจำสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) รักษาราชการแทนเลขาธิการ ปปง. เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะกรรมการธุรกรรม ครั้งที่ 7/2559 เมื่อวันที่ 10 พ.ค.2559 ได้มีมติให้อายัดทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทำความผิด กรณีกลุ่มบุคคลที่มีพฤติการณ์ในการทุจริตและแสวงหาประโยชน์โดยมิชอบด้วยกฎหมายจากโครงการออกแบบร่วมก่อสร้างระบบรวบรวมและบำบัดน้ำเสียเขตควบคุมมลพิษ จ.สมุทรปราการ ซึ่งเป็นสิทธิเรียกร้องในหนี้ตามข้อตกลงที่กรมควบคุมมลพิษจะต้องจ่ายให้แก่ กลุ่มกิจการร่วมค้า NVPSKG จำนวน 2 งวด โดยให้มีผลในวันที่ครบกำหนดชำระในแต่ละงวด ประกอบด้วย 1.สิทธิเรียกร้องในหนี้เงินงวดที่ 2 เป็นเงินจำนวน 2,380,936,174.53 บาท และ 16,288,391.55 เหรียญสหรัฐอเมริกา ให้มีผลตั้งแต่วันที่ 21 พ.ค.2559 เป็นต้นไป และ 2.สิทธิเรียกร้องในหนี้เงินงวดที่ 3 เป็นเงินจำนวน 2,380,936,174.53 บาท และ 16,288,391.55 เหรียญสหรัฐอเมริกา ให้มีผลตั้งแต่วันที่ 21 พ.ย.2559 เป็นต้นไป รวมมูลค่าตามสิทธิเรียกร้องในหนี้ จำนวน 4,761,872,349.06 บาท และ 32,576,783.10 เหรียญสหรัฐอเมริกา
ทั้งนี้ สำนักงาน ปปง. ได้ดำเนินตรวจสอบรวบรวมพยานหลักฐานเพิ่มเติมในกรณีนี้ และมีเหตุอันควรน่าเชื่อว่ากลุ่มกิจการร่วมค้า NVPSKG กับพวก ซึ่งเข้ายึดถือ ครอบครอง และแสวงประโยชน์จากที่ดินสาธารณประโยชน์ที่เป็นคลองสาธารณะที่ลุ่มน้ำทะเลท่วมถึง และเป็นที่ทิ้งขยะของทางราชการ ที่ออกโฉนดมาโดยมิชอบ เป็นผู้มีพฤติการณ์ในการกระทำความผิดเกี่ยวกับการแสวงหาประโยชน์เกี่ยวกับทรัพยากรธรรมชาติหรือสิ่งแวดล้อม โดยการใช้ ยึดถือ หรือครอบครองทรัพยากรธรรมชาติหรือกระบวนการแสวงประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติโดยมิชอบด้วยกฎหมายอันมีลักษณะในทางการค้า อันเป็นความผิดมูลฐานตามมาตรา 3 (15) แห่งพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ.2542
นอกจากนี้ กลุ่มกิจการร่วมค้า NVPSKG กับพวก ยังได้มีส่วนร่วมเป็นผู้สนับสนุน หรือเกี่ยวข้องสัมพันธ์ และได้รับประโยชน์ที่เป็นทรัพย์สิน จากการกระทำความผิดมูลฐานเกี่ยวกับตำแหน่งหน้าที่ราชการของนายวัฒนา อัศวเหม กับพวก และนายปกิต กิระพานิช กับพวก ซึ่งเป็นผู้กระทำความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ อันเป็นความผิดมูลฐาน ตามมาตรา 3 (5) แห่งพ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ.2542
"กลุ่มกิจการร่วมค้า NVPSKG ต้องมาชี้แจงต่อ ปปง. ภายใน 30 วัน หลังได้รับหนังสือว่าเงินที่ได้มาสุจริตหรือไม่ สัญญาที่ทำกันไว้ถูกกฎหมายหรือไม่ เพื่อหักคำพิพากษาของศาลอาญา ถ้าสามารถชี้แจงได้ ก็เพิกถอนคำสั่ง แต่หากชี้แจงไม่ได้เตรียมส่งเรื่องให้ศาลแพ่งดำเนินการให้ทรัพย์ตกเป็นของแผ่นดิน ส่วนเงินงวดแรกที่จ่ายไปก่อนหน้านี้ ก็จะดำเนินการตรวจสอบตามขั้นตอนต่อไป"พ.ต.อ.สีหนาทกล่าว
พล.อ.ไพบูลย์ คุ้มฉายา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ในฐานะประธานศูนย์อำนวยการต่อต้านการทุจริตแห่งชาติ (ศอตช.) กล่าวว่า เรื่องที่เกิดขึ้น ตนได้ทำเรื่องไปยังพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เพื่อให้คณะทำงานได้ศึกษาและทบทวน และเมื่อวันที่ 10 พ.ค. นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี ได้เรียกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมาประชุม และก็ได้ข้อยุติตามที่ ปปง. ดำเนินการ ส่วนเงินที่รัฐบาลจ่ายในงวดแรกไปแล้ว เป็นการจ่ายก่อนที่ศาลอาญาผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง จะตัดสิน ซึ่งก็ต้องทำตาม แต่เมื่อศาลตัดสินออกมาแล้ว ก็ต้องดำเนินการตาม และนำมาพิจารณา ถึงแม้ว่าจะต้องรออีก 2 ศาล ทั้งศาลอุทธรณ์และศาลฎีกา แต่ตอนนี้ ก็ต้องทำอย่างนี้ไปก่อน
ด้านนายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ที่ผ่านมา ได้หารือกับผู้เกี่ยวข้อง 2-3 รอบแล้ว และหารืออีกครั้งเมื่อวันที่ 10 พ.ค.ที่ผ่านมา โดยขอไม่เปิดเผยรายละเอียด เพราะอาจกระทบหลายอย่าง ในการหารือมี 4-5 ประเด็น ที่ยังไม่ชัดเจน และรัฐบาลยังไม่เห็นเอกสารหลายชิ้น จึงต้องให้ชัดเจนก่อนแล้วจึงกลับมาหารือกันใหม่
พ.ต.อ.สีหนาท ประยูรรัตน์ ที่ปรึกษาประจำสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) รักษาราชการแทนเลขาธิการ ปปง. เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะกรรมการธุรกรรม ครั้งที่ 7/2559 เมื่อวันที่ 10 พ.ค.2559 ได้มีมติให้อายัดทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทำความผิด กรณีกลุ่มบุคคลที่มีพฤติการณ์ในการทุจริตและแสวงหาประโยชน์โดยมิชอบด้วยกฎหมายจากโครงการออกแบบร่วมก่อสร้างระบบรวบรวมและบำบัดน้ำเสียเขตควบคุมมลพิษ จ.สมุทรปราการ ซึ่งเป็นสิทธิเรียกร้องในหนี้ตามข้อตกลงที่กรมควบคุมมลพิษจะต้องจ่ายให้แก่ กลุ่มกิจการร่วมค้า NVPSKG จำนวน 2 งวด โดยให้มีผลในวันที่ครบกำหนดชำระในแต่ละงวด ประกอบด้วย 1.สิทธิเรียกร้องในหนี้เงินงวดที่ 2 เป็นเงินจำนวน 2,380,936,174.53 บาท และ 16,288,391.55 เหรียญสหรัฐอเมริกา ให้มีผลตั้งแต่วันที่ 21 พ.ค.2559 เป็นต้นไป และ 2.สิทธิเรียกร้องในหนี้เงินงวดที่ 3 เป็นเงินจำนวน 2,380,936,174.53 บาท และ 16,288,391.55 เหรียญสหรัฐอเมริกา ให้มีผลตั้งแต่วันที่ 21 พ.ย.2559 เป็นต้นไป รวมมูลค่าตามสิทธิเรียกร้องในหนี้ จำนวน 4,761,872,349.06 บาท และ 32,576,783.10 เหรียญสหรัฐอเมริกา
ทั้งนี้ สำนักงาน ปปง. ได้ดำเนินตรวจสอบรวบรวมพยานหลักฐานเพิ่มเติมในกรณีนี้ และมีเหตุอันควรน่าเชื่อว่ากลุ่มกิจการร่วมค้า NVPSKG กับพวก ซึ่งเข้ายึดถือ ครอบครอง และแสวงประโยชน์จากที่ดินสาธารณประโยชน์ที่เป็นคลองสาธารณะที่ลุ่มน้ำทะเลท่วมถึง และเป็นที่ทิ้งขยะของทางราชการ ที่ออกโฉนดมาโดยมิชอบ เป็นผู้มีพฤติการณ์ในการกระทำความผิดเกี่ยวกับการแสวงหาประโยชน์เกี่ยวกับทรัพยากรธรรมชาติหรือสิ่งแวดล้อม โดยการใช้ ยึดถือ หรือครอบครองทรัพยากรธรรมชาติหรือกระบวนการแสวงประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติโดยมิชอบด้วยกฎหมายอันมีลักษณะในทางการค้า อันเป็นความผิดมูลฐานตามมาตรา 3 (15) แห่งพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ.2542
นอกจากนี้ กลุ่มกิจการร่วมค้า NVPSKG กับพวก ยังได้มีส่วนร่วมเป็นผู้สนับสนุน หรือเกี่ยวข้องสัมพันธ์ และได้รับประโยชน์ที่เป็นทรัพย์สิน จากการกระทำความผิดมูลฐานเกี่ยวกับตำแหน่งหน้าที่ราชการของนายวัฒนา อัศวเหม กับพวก และนายปกิต กิระพานิช กับพวก ซึ่งเป็นผู้กระทำความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ อันเป็นความผิดมูลฐาน ตามมาตรา 3 (5) แห่งพ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ.2542
"กลุ่มกิจการร่วมค้า NVPSKG ต้องมาชี้แจงต่อ ปปง. ภายใน 30 วัน หลังได้รับหนังสือว่าเงินที่ได้มาสุจริตหรือไม่ สัญญาที่ทำกันไว้ถูกกฎหมายหรือไม่ เพื่อหักคำพิพากษาของศาลอาญา ถ้าสามารถชี้แจงได้ ก็เพิกถอนคำสั่ง แต่หากชี้แจงไม่ได้เตรียมส่งเรื่องให้ศาลแพ่งดำเนินการให้ทรัพย์ตกเป็นของแผ่นดิน ส่วนเงินงวดแรกที่จ่ายไปก่อนหน้านี้ ก็จะดำเนินการตรวจสอบตามขั้นตอนต่อไป"พ.ต.อ.สีหนาทกล่าว
พล.อ.ไพบูลย์ คุ้มฉายา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ในฐานะประธานศูนย์อำนวยการต่อต้านการทุจริตแห่งชาติ (ศอตช.) กล่าวว่า เรื่องที่เกิดขึ้น ตนได้ทำเรื่องไปยังพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เพื่อให้คณะทำงานได้ศึกษาและทบทวน และเมื่อวันที่ 10 พ.ค. นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี ได้เรียกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมาประชุม และก็ได้ข้อยุติตามที่ ปปง. ดำเนินการ ส่วนเงินที่รัฐบาลจ่ายในงวดแรกไปแล้ว เป็นการจ่ายก่อนที่ศาลอาญาผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง จะตัดสิน ซึ่งก็ต้องทำตาม แต่เมื่อศาลตัดสินออกมาแล้ว ก็ต้องดำเนินการตาม และนำมาพิจารณา ถึงแม้ว่าจะต้องรออีก 2 ศาล ทั้งศาลอุทธรณ์และศาลฎีกา แต่ตอนนี้ ก็ต้องทำอย่างนี้ไปก่อน
ด้านนายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ที่ผ่านมา ได้หารือกับผู้เกี่ยวข้อง 2-3 รอบแล้ว และหารืออีกครั้งเมื่อวันที่ 10 พ.ค.ที่ผ่านมา โดยขอไม่เปิดเผยรายละเอียด เพราะอาจกระทบหลายอย่าง ในการหารือมี 4-5 ประเด็น ที่ยังไม่ชัดเจน และรัฐบาลยังไม่เห็นเอกสารหลายชิ้น จึงต้องให้ชัดเจนก่อนแล้วจึงกลับมาหารือกันใหม่