อดีต รมว.ทรัพย์ ร้องศาล ปค. รื้อคดีคลองด่านวินิจฉัยใหม่-ระงับจ่ายค่าโง่ หลังถูกตั้ง กก.สอบรับผิดทางละเมิด ชี้ทั้งอนุญาโตฯ-ศาล ปค. ควรยึดสำนวนในคดีอาญาที่ คพ.ชนะคดีเป็นหลัก ยกคำพิพากษาศาลฎีกาคดีค่าโง่ทางด่วนวางแนวปฏิบัติชัด หากมีทุจริตเกี่ยวกับการทำสัญญาว่าจ้าง ถือว่าสัญญาไม่ชอบด้วย กม. ไม่มีผลผูกพันราชการ-ศาลที่ต้องบังคับตามคำชี้ขาด ขู่ฟ้องคนจ่ายเงิน-ตั้ง กก.สอบ
วันนี้ (15 มี.ค.) นายประพัฒน์ ปัญญาชาติรักษ์ อดีต รมว.ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) พร้อมด้วยนายอภิชัย ชวเจริญพันธ์ อดีตอธิบดีกรมควบคุมมลพิษ (คพ.) และกรรมการชุดบริหารสัญญาโครงการก่อสร้างบ่อบำบัดน้ำเสียคลองด่าน รวม 7 ราย เข้ายื่นคำร้องต่อศาลปกครองสูงสุดเพื่อขอให้พิจารณาคดีใหม่ในคดีที่ศาลปกครองกลาง และศาลปกครองสูงสุดเคยพิจารณาบังคับตามคำชี้ขาดของคณะอนุญาโตตุลาการให้รัฐต้องจ่ายชดใช้ค่าเสียหายในโครงการบ่อบำบัดน้ำเสียคลองด่านให้กับกิจการร่วมค้าประมาณ 1 หมื่นล้านบาท รวมทั้งขอให้ศาลมีคำสั่งงดการบังคับคดีดังกล่าวไว้จนกว่าคดีจะถึงที่สุดเพื่อระงับการจ่ายเงินให้กับฝ่ายกิจการร่วมค้า ซึ่ง ที่ผ่านมามีการจ่ายไปแล้ว 4 พันล้านบาท ในวันที่ 21 พ.ย. 2558 และมีการกำหนดจ่ายต่อไปอีก 2 งวด งวดละ 3 พันล้านบาท ภายในวันที่ 21 พ.ค.นี้ และงวดสุดท้ายในวันที่ 21 พ.ย.ที่จะถึงนี้
นายประพัฒน์กล่าวว่า เหตุที่มายื่นคำร้องเนื่องจากเห็นว่าการพิจารณาคดีที่ผ่านมาคณะอนุญาโตตุลาการศาลปกครองกลางและศาลปกครองสูงสุดไม่ได้ยึดถือข้อเท็จจริงตามคำพิพากษาในคดีอาญาของศาลแขวงดุสิตที่เคยพิพากษาให้กรมควบคุมมลพิษ (คพ.) เป็นฝ่ายชนะคดีอาญาในคดีฉ้อโกงเกี่ยวกับการซื้อขายที่ดินจำนวน 1,900 ไร่ และคดีฉ้อโกงสัญญาว่าจ้างเกี่ยวกับการปกปิดข้อเท็จจริงเรื่องบริษัทผู้เชี่ยวชาญคือบริษัท นอร์ทเวส วอเตอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด ได้ถอนตัวและบอกเลิกหนังสือมอบอำนาจก่อนการลงนามระหว่าง คพ.และกลุ่มกิจการร่วมค้าในปี 2540 ซึ่งตามหลักกฎหมายแล้วจะต้องยึดถือข้อเท็จจริงตามที่รับฟังได้ในคดีอาญาเป็นหลัก
นอกจากนี้ยังมีหลักฐานใหม่คือคำพิพากษาของศาลอาญา ฉบับวันที่ 17 ธ.ค. 2558 พิพากษาจำคุกนายปกิต กิระวานิช อดีตอธิบดี คพ. นายศิริธัญญ์ไพโรจน์บริบูรณ์ รองอธิบดี คพ. และนางยุวรี อินนา อดีตผู้อำนวยการในคพ.คนละ 20 ปี กรณีการทำสัญญาจ้างระหว่าง คพ.และกลุ่มกิจการร่วมค้าไม่ชอบด้วยกฎหมายตั้งแต่ต้น เพราะมีการลงนามในสัญญาว่าจ้างโดยไม่มีบริษัท นอร์ทเวสต์ฯ อีกทั้งเคยมีคำพิพากษาศาลฎีกาในคดีของการทางพิเศษแห่งประเทศไทยหรือคดีค่าโง่ทางด่วน ที่พิพากษาไว้เป็นบรรทัดฐานว่า หากมีกรณีทุจริตเกี่ยวกับการทำสัญญาว่าจ้าง สัญญาดังกล่าวถือว่าเป็นสัญญาที่เกิดจากการกระทำโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน จึงไม่มีผลผูกพันทางราชการและศาลต้องไม่บังคับตามคำชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการ ตนและพวกอีก 7 คนจึงขอให้ศาลปกครองพิจารณาคดีดังกล่าวใหม่
“ขณะนี้พวกผมกำลังถูกตั้งคณะกรรมการสอบความรับผิดทางละเมิดจากกรณีดังกล่าวทั้งที่พวกผมเป็นคนที่ตรวจพบการทุจริตและสั่งระงับโครงการดังกล่าว แต่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมกลับมาดำเนินการกับพวกผมเหมือนว่าพวกผมทำผิด ทั้งที่คนผิดก็มีคำพิพากษาของศาลอาญาอยู่แล้วว่าเป็นคนในกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมทำผิด 3 คน ดังนั้นเรื่องนี้จึงทำให้พวกผมเดือดร้อนเสียหายเข้าลักษณะเป็นผู้มีสิทธิที่จะยื่นคำร้องต่อศาลปกครอง จึงได้มายื่นขอให้ศาลพิจารณาคดีใหม่ รวมทั้งก็เตรียมที่จะฟ้องร้องบุคคลที่เกี่ยวข้องกับการจ่ายเงินงวดแรกและคนที่ตั้งกรรมการสอบทางละเมิดต่อไปด้วย เพราะหากยังไม่มีการหยุดดำเนินการ เท่ากับว่ากำลังช่วยให้คนที่ทำการทุจริตจากกรณีนี้พ้นผิดแล้วกลับมากล่าวหาว่าเป็นความผิดพวกผมแทน”