ผู้จัดการสุดสัปดาห์ - “จิ้งจอกสยาม”เลสเตอร์ ซิตี้ พลิกผันจากทีมลุ้นตกชั้นผงาดขึ้นคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีก อังกฤษ ฤดูกาล 2015-2016 ชนิดเหนือความคาดหมายและสร้างประวัติศาสตร์หน้าใหม่ที่ไม่ต่างอะไรจาก “เทพนิยาย” เลยก็ว่าได้
การเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญของเลสเตอร์ ซิตี้ และการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในประวัติศาสตร์สโมสรฟุตบอลดังในคราวนี้ มีที่มาจากหนุ่มใหญ่ผู้หลงใหลกีฬาลูกหนังนามว่า “วิชัย ศรีวัฒนประภา” และลูกชายหัวแก้วหัวแหวน “อัยยวัฒน์ ศรีวัฒนประภา” ที่อยู่เบื้องหลังความสำเร็จของเลสเตอร์ ซิตี้
และแน่นอนว่า ณ วินาทีนี้ ใครๆ ย่อมต้องการรู้จัก “ตัวตน” ของบุคคลที่สามารถปลุกปั้นอาณาจักรคิงเพาเวอร์ ให้เติบใหญ่ และลูกสามารถนำพาเลส เตอร์ ซิตี้ ให้มีวันนี้
“ผมยึดหลักว่าทำธุรกิจอะไรแล้วถ้าไม่มีกำไร อย่าทำเลยดีกว่า”
นี่คือหลักการในการดำเนินธุรกิจที่ วิชัย ยึดมั่นเสมอมา โดยเคล็ดลับความสำเร็จของเขานั้น เกาะเกี่ยวอยู่กับการสร้างคอนเนกชันกับผู้มีอำนาจอย่างชนิดที่เรียกว่าทั่วทุกสารทิศ จนได้ชื่อว่า “King of Connection Power” ไม่ใช่แค่คอนเนกชันการเมือง แต่รวมถึงคอนเนกชันทางธุรกิจและคอนเนกชันทางสังคม ขณะที่ลูกชาย-อัยยวัฒน์ก็เจริญรอยตามเป็นลูกไม้หล่นไม่ไกลต้น
กระทั่งวันนี้ ชื่อชั้นของวิชัยไม่ใช่เพียงแค่เจ้าของอาณาจักรธุรกิจดิวตี้ฟรี คิง เพาเวอร์ และกิจการอื่น ที่มีมูลค่าทรัพย์สินกว่า 8.3 หมื่นล้านบาท ตามรายงานการจัดอันดับมหาเศรษฐีไทยในปี 2558 ของนิตยสารฟอร์บส์ ไทยแลนด์ แต่เขาโด่งดังไปไกลถึงอังกฤษ ในฐานะเจ้าของทีมฟุตบอลเลสเตอร์ ซิตี้ ที่ไต่เต้าขึ้นแท่นอันดับหนึ่งในพรีเมียร์ลีก และเป็นเจ้าของสนาม คิง เพาเวอร์ บิลลิ่ง แบร์ โปโล พาร์ค ด้วย
ย้อนหลังไปเพียงยี่สิบกว่าปีวิชัย ซึ่งใช้นามสกุลเดิมว่า “รักศรีอักษร” อาศัยคอนเนกชันกับการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) เปิดกิจการร้านดิวตี้ฟรีกลางกรุงย่านเพลินจิตในปี 2532 และบุกเบิกเปิดร้านดิวตี้ฟรีที่เขมร จีน และมาเก๊า จนถึงช่วงรัฐบาลบรรหาร ศิลปอาชา ปี 2538 จึงได้สัมปทานกิจการดิวตี้ฟรีในสนามบินดอนเมือง โดย นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ขณะนั้น สามารถจัดสรรผลประโยชน์อย่างลงตัวกับกองทัพอากาศ
แต่จุดที่ถือเป็นหัวเลี้ยวหัวต่อสำคัญที่ทำให้ วิชัย ผงาดขึ้นราวเสือติดปีก คือ ช่วงปี 2549 สนามบินสุวรรณภูมิ เปิดให้บริการอย่างเป็นทางการ ภายใต้การบริหารจัดการของรัฐบาลทักษิณ ชินวัตร ทำให้คิง เพาเวอร์ของวิชัย เป็นบริษัทเดียวที่ได้บริหารพื้นที่ภายในอาคารผู้โดยสารสนามบินสุวรรณภูมิทุกซอกทุกมุม ตั้งแต่พื้นที่ตั้งร้านค้าปลอดภาษี กิฟต์ช็อป ร้านอาหาร ไปจนถึงป้ายโฆษณา และเป็นช่วงเวลาเดียวกันกับที่ วิชัย เช่าที่ดินสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ ปลุกปั้น “คิง เพาเวอร์ คอมเพล็กซ์” ที่ซอยรางน้ำ ย่าน อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ กรุงเทพฯ
กล่าวกันว่า ความสัมพันธ์ของวิชัยกับ นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี แนบแน่น ถึงกับยอมให้นายเนวิน ชิดชอบ ในช่วงที่ยอมทำงานถวายหัวให้นายทักษิณ ใช้เป็นออฟฟิศแฟกซ์แถลงการณ์ให้นายทักษิณ ในช่วงหลังถูกทหารยึดอำนาจ เมื่อวันที่ 19 กันยายน 2549 และหลังรัฐประหารคราวนั้น วิชัยหาได้สะเทือนไม่ เพราะเขาเร่งสร้างคอนเนกชันกับบิ๊ก คมช.อย่าง พล.อ.สนธิ บุญรัตกลิน หัวหน้า คมช. ขณะนั้น จนแน่นแฟ้นในเวลาอันรวดเร็ว
วิชัยไม่ใช่เพียงแค่สนิทสนมกับนักการเมืองอย่างนายทักษิณ ชินวัตร หรืออดีตบิ๊กนายทหารอย่าง พล.อ.สนธิ เท่านั้น เขายอมรับว่ารู้จักนักการเมืองที่โด่งดังหลายคน รวมทั้งนายเนวิน ชิดชอบ ผู้อยู่เบื้องหลังเหตุการณ์ที่เป็นจุดเปลี่ยนทางการเมือง รวมทั้งการจัดตั้งรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ กระทั่ง วิชัย กลายเป็นหนึ่งในนายทุนพรรคภูมิใจไทยที่มีนายเนวิน เป็นเจ้าของ
นิตยสารรายเดือน positioning ตีพิมพ์เรื่อง “วิชัย รักศรีอักษร King of Connection Power” เผยแพร่ เมื่อเดือนพฤษภาคม 2552 ว่า ความสัมพันธ์ที่ Give and Take ระหว่าง “วิชัย” และ “เนวิน” สามารถสร้างอำนาจต่อรองกับรัฐบาล “อภิสิทธิ์” ผลักดันจนสามารถเปลี่ยนนโยบายการใช้สนามบินแห่งชาติ มาเป็น Single Airport เมื่อเดือนมีนาคม 2552จากเดิมที่เปิดใช้งานทั้งสนามบินดอนเมือง สำหรับเที่ยวบินบางเส้นทางในประเทศของการบินไทย และสนามบินสุวรรณภูมิ โดยกลุ่มเนวิน ได้โควตาคุมกระทรวงคมนาคม และส่งนายโสภณ ซารัมย์ เพื่อนสนิทของนายเนวิน มาเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม คุมกิจการสนามบินของประเทศ
เมื่อตัวเลขผู้โดยสารในประเทศสนามบินดอนเมืองเพิ่มขึ้นถึงเดือน 1 แสนคน ย่อมไม่เป็นผลดีต่อธุรกิจดิวตี้ฟรี กระทรวงคมนาคมจึงมีคำสั่งให้สายการบินย้ายไปสนามบินสุวรรณภูมิเพียงแห่งเดียว แม้สหภาพแรงงานของการบินไทยจะออกมาประท้วง และคณะรัฐมนตรีนายอภิสิทธิ์พยายามดึงเรื่องไว้ 2 อาทิตย์ แต่ก็ไม่สามารถต้านทานสายสัมพันธ์อันแนบแน่นระหว่างวิชัยและเนวิน ที่จับขั้วกับนายสุเทพ เทือกสุบรรณ เลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ ในเวลานั้นได้
มาถึงในยุคคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) ที่มี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นหัวหน้า คสช.และนายกรัฐมนตรี สำนักข่าวออนไลน์ไทยพับลิก้า รายงานว่า เจ้าของอาณาจักรคิง เพาเวอร์ ก็มีพี่ใหญ่ “บิ๊กป้อม” แห่งบูรพาพยัคม์ - พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ให้ความเมตตา ไม่นับคนรู้จักมักคุ้นคอกีฬาขี่ม้าโปโลด้วยกันอย่าง พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ซึ่งเคยร่วมงานกับวิชัยในฐานะอดีตเลขาธิการสมาคมขี่ม้าโปโลแห่งประเทศไทย หรือเพื่อนระดับอธิบดีในกระทรวงการคลัง เช่น นายประสงค์ พูนธเนศ อดีตอธิบดีกรมศุลกากร ประธานบอร์ดการท่าอากาศยานแห่งประเทศไทย (ทอท.) ซึ่งเป็นเพื่อนร่วมรุ่นวปอ. 52 กับ พล.อ.ปรีชา จันทร์โอชา น้องชายสุดเลิฟของพล.อ.ประยุทธ์ นั่นเอง
นอกจากนี้ วิชัย ยงโดดเด่นในวงสังคมชั้นสูงของอังกฤษ และปรากฏข่าวคราวอยู่เนืองๆ ด้วยกิจกรรมแข่งม้า อันเป็นกิจกรรมที่ชนชั้นนำระดับราชวงศ์อังกฤษเสด็จร่วมงานด้วยเสมอๆ ยกตัวอย่างเช่น การแข่งขัน “จักกราวาตี้-คิง เพาเวอร์” เมื่อปี2055 ซึ่งเจ้าฟ้าชายชาร์ลส มกุฎราชกุมารแห่งอังกฤษ และเจ้าชายวิลเลี่ยมทรงรวมแข่งในนามทีมคิง เพาเวอร์ด้วย
และไม่เฉพาะคอนเนกชันกับผู้มีอำนาจทางการเมืองหรือแวดวงสังคมชั้นสูง แต่ความสัมพันธ์อันดีกับซัปพลายเออร์และบริษัททัวร์ที่นำลูกค้ามาให้ก็สำคัญไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน ประสบการณ์อันยาวนานในธุรกิจดิวตี้ฟรี ทำให้ วิชัย สั่งสมความสัมพันธ์กับซัปพลายเออร์สินค้าแบรนด์เนมทั่วโลก จนเขากล้าพูดได้ว่าเขามีอำนาจการต่อรองสูงกับซัปพลายเออร์ทั้งหลายจากศักยภาพในการทำธุรกิจของเขา
วันนี้ วิชัยก้าวไปอีกขั้นกับการนำพาสโมสรเลสเตอร์ ซีตี้ ขึ้นแท่นแชมป์พรีเมียร์ลีก อังกฤษ แม้ว่าตอนที่ทุ่มเงินลงทุนซื้อเลสเตอร์ฯ วิชัย จะยืนยันว่าต่อชาวโลกว่าเพราะใจรักกีฬาจริง ๆ ไม่ได้อยากให้เป็นการค้าหรือธุรกิจ แต่ “อัยยวัฒน์ ศรีวัฒนประภา” ลูกชายของเขาเผยเบื้องลึกเบื้องหลังที่แท้จริงโดยมุ่งมั่นชัดเจนจะใช้เลสเตอร์ ซิตี้ ต่อยอดธุรกิจ คิง เพาเวอร์ ควบโปรโมทท่องเที่ยวไทยผ่านช่องทางพรีเมียร์ลีกทั่วโลก พร้อมอัดฉีดงบลงทุนหานักเตะ ขยายสนามฟุตบอลคิง เพาเวอร์ สเตเดี้ยม เพิ่มเป็น 4.2 หมื่นที่นั่ง เป็นการตอกย้ำหลักคิดใน การทำธุรกิจของ วิชัย ไม่มีวันเปลี่ยนว่า “ผมยึดหลักว่าทำธุรกิจอะไรแล้วถ้าไม่มีกำไร อย่าทำเลยดีกว่า”
วิชัยซึ่งลุ่มหลงในการกีฬาจากขี่ม้าโปโล กีฬาของชนชั้นสูง ที่เอื้อประโยชน์สำหรับการสร้างคอนเนกชันกับบรรดาอีลิทในสังคมทั้งเมืองไทยและอังกฤษ แต่ขี่ม้าโปโลมีข้อจำกัดอยู่ในวงแคบเขาจึงหันมาสู่ฟุตบอลซึ่งได้รับความนิยมทั่วโลก ส่วนเหตุผลที่วิชัยเลือกเลสเตอร์ ซิตี้ เพราะเป็นทีมเล็กใช้ทุนต่ำกว่าการซื้อทีมใหญ่และทีมนี้มีความพร้อมที่สุด
วิชัยมองว่า การสร้างทีมเล็กหรือใหญ่ไม่ใช่ปัญหาขึ้นอยู่กับคุณภาพพัฒนาการของนักเตะและวิธีการบริหารจัดการให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด นั่นทำให้การเจรจาระหว่างวิชัย กับ มิลาน แมนดาริช เจ้าของและประธานสโมสร ใช้เวลาไม่เกิน 2 เดือน ก็ตกลงซื้อหุ้นเกิน 51%และตั้งเป้าหมายร่วมกันว่าจะยกระดับเลสเตอร์ ซิตี้ จากแชมเปี้ยนชิพขึ้นไปอยู่พรีเมียร์ลีกให้ได้
ในวันที่วิชัยได้รับแต่งตั้งให้เป็นประธานสโมสรเลสเตอร์ ซิตี้ แทน มิลาน แมนดาริช เจ้าของทีมคนเก่า เขาประกาศชัดเจนว่า “เหตุผลหลักสำหรับการเข้ามาลงทุนกับ เลสเตอร์ ซิตี้ ไม่ได้เพียงเพราะความรักของผมในเกมฟุตบอล แต่ยังปรารถนาที่จะพลิกฟื้นให้ทีมกลับพรีเมียร์ลีก เลสเตอร์ ซิตี้ เคยมีประวัติโลดแล่นในพรีเมียร์ลีกและก็ถึงเวลาสำหรับการที่จะสร้างบทใหม่แล้ว ...เลสเตอร์ เป็นสโมสรที่น่าภูมิใจ และเป็นมรดกที่สมบูรณ์ ขณะนี้เรามีกลยุทธ์ที่ชัดเจนสำหรับสโมสรและก็รากฐานสำหรับความสำเร็จในอนาคตที่มีการเตรียมเอาไว้”
ในวันที่มองเห็นชัยชนะอยู่เบื้องหน้า อัยยวัฒน์ ให้สัมภาษณ์ “ฐานเศรษฐกิจ” เมื่อเดือนมิถุนายน2558 ว่า การนำเลสเตอร์ ซิตี้ ขึ้นชั้นพรีเมียร์ลีกได้จะมีส่วนสำคัญต่อการสร้างมูลค่าของทีมและส่งผลดีในการต่อยอดธุรกิจของ คิง เพาเวอร์ หากให้ประเมินมูลค่าของทีมเลสเตอร์ ซิตี้ น่าจะเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัว จากที่คิง เพาเวอร์ ซื้อกิจการมาเมื่อปี 2553 ด้วยงบลงทุนไม่ต่ำกว่า 100ล้านปอนด์หรือราวกว่า 5 พันล้านบาท คาดว่ามูลค่าน่าจะเพิ่มขึ้นเป็นราว 1หมื่นล้านบาท จากขนาดของสนามฟุตบอลคิง เพาเวอร์ สเตเดี้ยม 3.2 หมื่นที่นั่ง กับแฟนบอลขนาดนี้ รวมถึงสปอนเซอร์ที่มีมูลค่าก็เกิน 5 พันล้านบาทไปแล้ว
การรักษาชั้นพรีเมียร์ลีกของทีมเลสเตอร์ ซิตี้ ยังจะช่วยต่อยอดธุรกิจดิวตี้ฟรีของคิง เพาเวอร์ ให้เป็นที่รู้จักมากขึ้นผ่านการถ่ายทอดทางทีวีไปทั่วโลก เป็นการประชาสัมพันธ์แบรนด์คิง เพาเวอร์ และการท่องเที่ยวไทยให้ติดตลาดโลกและส่งผลต่อการตัดสินใจซื้อสินค้าของคิง เพาเวอร์ รวมไปถึงการเพิ่มยอดขายและการขยายไลน์สินค้าภายใต้แบรนด์เลสเตอร์ ซิตี้ ผ่านช้อปขายสินค้าทั้งในสนามฟุตบอล ดิวตี้ฟรี แท็กฟรี ของคิง เพาเวอร์ ทั้งดาวน์ทาวน์ สนามบินสุวรรณภูมิ และบริเวณรถไฟฟ้าบีทีเอส สยาม รองรับกลุ่มแฟนคลับทั้งไทยและต่างชาติ
ปัจจุบัน รายได้หลักของสโมสร มาจากสปอนเซอร์ และมูลค่าของตัวนักเตะ รวมถึงค่าลิขสิทธิ์ในการถ่ายทอดสดทางโทรทัศน์ ซึ่งพรีเมียร์ลีก จะมีการเปิดประมูลใหม่ จากเดิมที่ให้อยู่ที่ 65 ล้านปอนด์ (3,445ล้านบาท) เพิ่มมาเป็นเกือบ 100 ล้านปอนด์ (5,300ล้านบาท) ส่วนการขายสินค้าที่ระลึก คาดว่าต้องใช้เวลาอีก 4-5ปีเมื่อทีมอยู่ในพรีเมียร์ลีก แฟนคลับจะมากขึ้นเรื่อยๆ สำหรับรายได้ของสโมสร เลสเตอร์ ซิตี้ ณ วันนี้ที่อยู่ในพรีเมียร์ลีก อยู่ที่ 120 ล้านปอนด์ หรือราว 6,360ล้านบาท เพิ่มจากก่อนหน้านี้ที่อยู่ในลีกแชมเปี้ยนชิพ มีรายได้อยู่ที่ราว 10ล้านปอนด์หรือราว 530 ล้านบาท
นี่เป็นอีกความสำเร็จของ วิชัย รักศรีอักษร King of Connection Power
ล้อมกรอบ 1
ชำแหละธุรกิจ “คิง เพาวเวอร์”
1.บริษัท คิง เพาเวอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล
-ห้างสรรพสินค้าดิวตี้ฟรี “คิง เพาเวอร์ คอมเพล็กซ์ ซอยรางน้ำ
-ป้ายโฆษณาในอาคารผู้โดยสารสนามบินในกรุงเทพฯ และภูเก็ต
2.บริษัท คิง เพาเวอร์ ดิวตี้ ฟรี
บริหารร้านค้าดิวตี้ฟรีที่สนามบินกรุงเทพฯ เชียงใหม่ ภูเก็ต
3.บริษัท คิง เพาเวอร์ แท็กซ์ ฟรี
เป็นอีกหนึ่งบริษัทที่บริหารร้านค้าดิวตี้ฟรีที่สนามบินกรุงเทพฯ เชียงใหม่ ภูเก็ต และหาดใหญ่
4.บริษัท คิง เพาเวอร์ สุวรรณภูมิ
ระบุธุรกิจกว้างๆ ไว้ว่า บริหารกิจการเชิงพาณิชย์ทั้งหมดในสนามบินสุวรรณภูมิ
5.บริษัท คิง เพาเวอร์ เอนเตอร์เทนเม้นท์
บริหารทุกร้านอาหารในสนามบินสุวรรณภูมิ เช่น ซิตี้ การ์เด้นท์ไลท์ บาร์ รวมไปถึงภัตตาคารรามายานะและโรงละครอักษรา ที่คิงเพาเวอร์ ซอยรางน้ำ
6.บริษัท คิง เพาเวอร์ โฮเทล เมนเนจเมนท์
บริหารโรงแรม พูลแมน กรุงเทพ คิง เพาเวอร์ (ซอยรางน้ำ)
เส้นทางชีวิต “วิชัย ศรีรัตนประภา
เกิด : 5 มิถุนายน 2501
การศึกษา :
- มัธยมศึกษาตอนปลาย สหรัฐอเมริกา
- ศิลปศาสตรบัณฑิต (รัฐประศาสนศาสตร์)มหาวิทยาลัยรามคำแหง
- ปริญญาดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ คณะบริหารธุรกิจ มหาวิทยาลัย แปซิฟิค เวสเทิร์น, สหรัฐอเมริกา
- ปริญญาดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยเคนซิงตัน, สหรัฐอเมริกา
ธุรกิจ :ตั้งแต่ปี 2523เริ่มบริหารงานในธุรกิจของครอบครัว เริ่มจากกรรมการผู้จัดการ บริษัทศรีอักษร ปี2532 เริ่มธุรกิจดิวตี้ฟรี ตั้งแต่ปี2540 - ปัจจุบันดำรงตำแหน่งประธานทุกบริษัทในเครือ
ครอบครัว : ภรรยา “เอมอร (บุญขันธ์) รักศรีอักษร
มีบุตร -ธิดาทั้งหมด 4 คน ดังนี้
1. นางสาววรมาศ รักศรีอักษร
2. นายอภิเชษฐ์ รักศรีอักษร
3. นางสาวอรุณรุ่ง รักศรีอักษร
4. นายอัยยวัฒน์ รักศรีอักษร