ผู้จัดการสุดสัปดาห์ - เป็นพลเรือนไม่กี่คนที่ตอบโจทย์วลีฮิต “ได้ครับพี่ ดีครับนาย สบายครับผม เหมาะสมครับท่าน” ในยุค คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ได้อย่างแนบเนียนยิ่งกว่าพลทหารคนไหนๆเสียอีก
สำหรับ “ลุงกำนัน” สุเทพ เทือกสุบรรณ เลขาธิการมูลนิธิมวลมหาประชาชนเพื่อการปฏิรูปประเทศไทย ที่เคยรับบทนำเป็นแกนนำคณะกรรมการประชาชนเพื่อการเปลี่ยนแปลงประเทศไทยให้เป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์อันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข (กปปส.) ปูทางให้เกิดการรัฐประหาร 22 พฤษภาคม 2557
ที่สำคัญบทบาทของ “สุเทพ” ไม่ใช่เสแสร้งแกล้งทำชั่วครั้งชั่วคราวเสียด้วย แต่พร้อมจะเห็นดีเห็นงามในทุกเรื่อง ทุกประเด็น ที่ คสช.ทำหรือไม่ทำก็ตาม
และล่าสุด “อีกแล้วครับทั่น”เมื่อ “ลุงกำนัน” รับบท “โนราหน้าไฟ” ด้วยการประกาศสนับสนุนร่างรัฐธรรมนูญฉบับคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) ที่มี มีชัย ฤชุพันธุ์ เป็นประธาน ซึ่งกำลังเข้าสู่สมรภูมิประชามติ
สำหรับประเด็นเรื่องรับ-ไม่รับร่างรัฐธรรมนูญ “มวยหลัก” อย่าง “พรรคเพื่อไทย - พรรคประชาธิปัตย์” ที่ถือว่ามี “มวลชน” ผู้มีสิทธิออกเสียงประชามติกว่าค่อนประเทศอยู่ในมือ ประกาศชัดเจนเช่นกันว่า ไม่แฮปปี้กับเนื้อหาที่ออกมา ทาง “ค่ายสีแดง” โหวตโนแน่นอน ส่วน “ค่ายสีฟ้า” ก็ยังกั๊กตามสูตร ยังไม่บอกรับ-ไม่รับ แค่ไม่เห็นด้วยในหลายประเด็น
ส่วนบรรดา “ไม้ประดับ” พรรคการเมืองอื่นๆ ก็ออกลูกสนับสนุน ในอารมณ์ว่ายังไงก็ได้ขอให้มีการเลือกตั้งให้เร็วที่สุด ซึ่งในทางการเมืองไม่ให้ราคาค่างวดกับกลุ่มนี้เท่าไร เพราะไม่ได้มีแฟนคลับ-แม่ยก ที่ชี้เป็นชี้ตายผลการทำประชามติได้
ต่างจากกลุ่มมวลชน-กลุ่มการเมือง ที่เกาะกลุ่มรวมตัวกันแน่น โดยเฉพาะ “กลุ่มคนเสื้อแดง - นปช.” ที่แน่นอนเห็นพ้องไปในแนวทางเดียวกับ “ค่ายสีแดง” ในการโหวตโน พร้อมทำกิจกรรมขยายผลท้าทายอำนาจรัฐทหารอย่างต่อเนื่อง
ขณะที่ “กลุ่ม กปปส.เดิม” ที่ประกอบไปด้วย “สาวกแดนใต้ - แม่ยกค่ายสีฟ้า” เป็นหลัก และเคยสร้างปรากฏการณ์ “ชัตดาวน์ประเทศ” แต่วันนี้เหลืออยู่กี่มากน้อย ไม่สามารถคะเนได้ รวมทั้งไม่ชัด ไม่ชัวร์ด้วยว่า จุดยืนของกลุ่มนี้จะไปในแนวทาง “ลุงกำนัน” หรือหวนกลับไปอิงกับทางพรรคประชาธิปัตย์ ที่ “พี่มาร์ค” ต้องจำใจออกมาแถลงว่า หลายประเด็นของ “ร่างมีชัย” มีปัญหา และรับไม่ได้กับ “คำถามพ่วง” ที่ให้ ส.ว.มีเอี่ยวในการโหวตเลือกนายกรัฐมนตรีช่วงเปลี่ยนผ่าน
อย่างไรก็ตาม การออกโรงครั้งล่าสุดของ “ลุงกำนัน” ก็ไม่ต่างจากการแก้ผ้าอ้าซ่า ประกาศ “โหวตเยส” ท่ามกลางกระแส “โหวตโน” ที่ทั้งภาคประชาชน-ฝ่ายการเมืองต่างส่ายหัว
จริงๆก็ไม่ได้เหนือความคาดหมายที่คนอย่างเจ้าของสมญานาม “เทพเทือก” นักการเมืองเขี้ยวลากดิน ที่จับพลัดจับผลูมาเป็นแกนนำม็อบ จนพลิกภาพตัวเองจาก “หลังเท้า” เป็น “หน้ามือ” ก่อนปวารณาตัวเป็นกองหนุนของ “ขุนทหาร” มาตลอด 2 ปีกว่าในยุค คสช.ครองเมือง
เป็นลีลาของนักการเมืองที่ทำทุกอย่างเพื่อเกาะชายกางเกงผู้มีอำนาจ ถนัดนักกับบทสรรเสริญเยินยอ “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ภายใต้ร่มเงาของ “ป๋าป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ พี่ใหญ่แห่งอาณาจักร คสช.
เมื่อมีสมรภูมิสำคัญที่เกี่ยวกับ “ฐานเสียง - มวลชน” จึงเป็นโอกาสดีที่ “สุเทพ” ต้องออกมาฉวยไว้ สร้างราคาให้กับตัวเอง ด้วยการเคลมว่า สามารถคุมฐานเสียงภาคใต้ให้โหวตเยสโนโอเคได้ตามแต่ “บิ๊ก คสช.” ต้องการ แม้ว่าจะ “สวมคอนเวิร์ส” ไปคนละทางกับพรรคประชาธิปัตย์ที่เป็นเจ้าของฐานเสียงปักษ์ใต้ตัวจริงเสียงจริงก็ตาม
เพราะในใจลึกๆ “พี่เทพ” ของ “น้องมาร์ค” คงกะแทงเต็งแบบได้สองเด้ง เด้งหนึ่งเอาใจ “บิ๊ก คสช.” ชนิดเลียแผล่บๆ อีกเด้งก็กะเขี่ย “อภิสิทธิ์” ทิ้ง ถือโอกาสเปลี่ยนหัวหน้าพรรคให้รู้แล้วรู้รอด หลังจากแผนเดิมมีอันต้องพับไป เมื่อเด็กในคาถาอย่าง “หม่อมหมู” ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร ผู้ว่าฯกทม. โดน “เด็กมาร์ค” เตะตัดขา แฉยับโครงการทุจริตใน กทม. จนส่อแววขาแหย่เข้าคุก มากกว่าจะเติบใหญ่มาเป็นผู้นำพรรค ลุ้นชิงเก้าอี้นายกรัฐมนตรีได้
ชั่วโมงนี้ “อดีตแม่บ้าน ปชป.” ไม่ได้แคร์คนในพรรคที่ครั้งหนึ่งเคยบอกว่า รักหมดหัวใจ แต่ได้ขายวิญญาณให้กับ “พรรคสีเขียว” ไปแล้ว ยอมลดสถานะจากเดิมที่เคยสั่ง “แก๊งค์ 3 ป.” ให้ซ้ายหันขวาได้ มาเป็นคนคอยเอาอกเอาใจ ถูกสั่งเสียเอง เสียเชิงนักการเมืองลายคราม ที่ยอมต่อผู้มีอำนาจ
ขนาดระยะหลัง “แก๊งค์ 3 ป.” ตีตัวออกห่าง แค่ต่อสายฝากเด็กขึ้นตำแหน่งหลักในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) หรือกระทรวงมหาดไทย ก็โดนตัดสายโทรศัพท์-ตัดความสัมพันธ์แบบไม่ไยดี แต่ “ลุงกำนัน” ของมวลมหาประชาชน ก็ยังหน้าทนยอมพลีกายถวายตัว ไม่ร้องงอแงแต่ประการใด
ก็ไม่ผิดที่คนๆหนึ่งจะแสดงจุดยืนสนับสนุนร่างรัฐธรรมนูญ ถ้าผิดก็คงเป็นการสนับสนุนแบบไม่ลืมหูลืมตา เหมือนอาการอัลไซเมอร์รับประทานชั่วขณะ หลงลืมไปว่า “วาระ” เมื่อครั้งนำมวลมหาประชาชนขับไล่รัฐบาลก่อนคืออะไร
และคงจำไม่ได้ว่าเคยแผดเสียงออกไมโครโฟนกลางฝูงชนด้วยวาทกรรมสวยหรู “ปฏิรูปก่อนเลือกตั้ง”
ตลอด 2 ปีที่ผ่านมา หลังรัฐประหาร 22 พฤษภาคม 2557 “สุเทพ” ไม่เคยอิดออดบทบาท “กองหนุนขุนทหาร” เลย แม้ว่า “วาระปฏิรูป” ไม่ว่าจะกี่ด้านๆ ไม่เคยปรากฎเห็นเป็นรูปธรรม อย่าง “การปฏิรูปตำรวจ” ที่เคยเป็นไม้เบื่อไม้เมากับมวลมหาประชาชนในตลอดการชุมนุม แต่ในยุคที่อำนาจ คสช.ล้นฟ้า ไม่ใช่ว่าทำไม่ได้ แต่เลือกที่จะไม่แตะต้องมากกว่า โดยที่ “ลุงกำนัน” ก็ไม่เป็นเดือดเป็นร้อนแต่อย่างใด
จะว่าไปก็มีการปรับเปลี่ยนเพียงเล็กน้อย จากศูนย์รวมอำนาจของ “อาณาจักรโล่เงิน” ที่แต่เดิมฝ่ายการเมืองควบคุมผ่าน คณะกรรมการข้าราชการตำรวจ (ก.ตร.) ที่มีนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน ก็ถูกโยกไปอยู่ที่บ้านพักภายมูลนิธิ ป่ารอยต่อ 5 จังหวัด ใน ร.1 รอ. ของ “ป๋าป้อม” หรือบางครั้งก็ใช้ “บ้านโชคชัย 4” ที่เป็นฐานบัญชาการของ “วงษ์สุวรรณบราเทอร์ส”
หรืออย่างการปฏิรูป 11 ด้านที่ยัดไว้รัฐธรรมนูญชั่วคราว 2557 ก็ไม่เห็นมีตรงไหนกระดิกให้เห็นเป็นรูปธรรม ในทางกลับกันพฤติกรรมของ “ผู้มีอำนาจ” มองดูคล้ายจะเจริญรอยตามและมีพัฒนาการเกินหน้า “ระบอบทักษิณ” ด้วยซ้ำ โดยเฉพาะเรื่องผลประโยชน์ของพวกพ้องวงศ์วานเครือญาติ เอาแค่เฉพาะกรณีที่โยงกับ “บิ๊ก คสช.” ก็มีเรื่องให้ขุดให้คุ้ยไม่จบไม่สิ้น แต่ก็ถูกขมวดปมสั้นๆง่ายๆว่า “ใครๆก็ทำกัน” หรือ “ก็ผมมีอำนาจ”
หรือกระทั่งในร่างรัฐธรรมนูญฉบับ กรธ.เอง ที่คุยนักคุยหนาว่าเป็น “ฉบับปราบโกง” ก็เน้นไปที่การวางกับดักล็อก “นักการเมือง” มากกว่าที่จะเปิดช่องให้มีการปฏิรูปอย่างแท้จริง โดยเฉพาะวงการข้าราชการที่นอกจากไม่แตะต้องแล้ว ยังเพิ่มอำนาจให้ใกล้เคียงกับ “รัฐข้าราชการ” ไปทุกวัน
เหล่านี้ล้วนแล้วแต่เป็นวาระที่ “กำนันสุเทพ” เคยใช้ปลุกระดมมวลชน จนปูพรมแดงให้ทหารเข้ามายึดอำนาจมาจนทุกวันนี้ แต่เมื่อ “รัฐบาลทหาร” ไม่ได้ทำให้ข้อเรียกร้องของมวลมหาประชาชน กปปส.เมื่อ 2 ปีก่อนเป็นจริง หรือใกล้เคียงกับความจริง “แกนนำ กปปส.” กลับรับได้ทุกอย่าง แทบไม่มีข้อท้วงติงใดๆเลย แถมว่านอนสอนง่ายตามสูตร “ใช่ครับพี่ ดีครับผม เหมาะสมครับท่าน”
แบบนี้เรียกว่า “หักหลัง” มวลชนที่เคยหนุนหลังก็คงไม่เกินไปนัก
ยิ่งย้อนวีรกรรมของ “สุเทพ” หลังจากที่ คสช.เข้ายึดอำนาจแล้ว ก็ยิ่งเห็นตัวตนของ “ลุงคนดี” ที่ลอกคราบกลับมาเป็น “เทพเทือก” คนเก่า ในยามที่พี่น้องเกษตรกรชาวสวนยางเดือดร้อนกับราคาผลผลิตที่ตกต่ำ มีหลายรายตัดสินใจคิดสั้นฆ่าตัวตาย แต่ “ลุงกำนัน” กำลังรื่นเริงครื้นเครงอยู่กับมหกรรมมหรสพ “สมุย เฟสติวัล” ต่อเนื่องด้วยการเรี่ยไรรับบริจาคระดมทุนสร้าง วิทยาลัยอาชีวศึกษาภาวนาโพธิคุณ สถานศึกษาสายอาชีพบนเกาะสมุย ที่ถูกมองว่าเป็นการสร้างฐานอำนาจในพื้นที่ตัวเองเท่านั้น
การแอ่นอกออกมารับร่างรัฐธรรมนูญของ “สุเทพ” ก็เพียงเพื่อให้ “แก๊ง 3 ป.” แฮปปี้ต่อบทบาทของตัวเอง อีกแง่หนึ่งก็เป็นการโชว์ออฟเสนอตัวเป็น “ตัวช่วย” ในยามที่ คสช.เริ่มไปไม่เป็น - เอาไม่อยู่
ในขณะที่ “บิ๊ก คสช.” วางเป้าหมายให้ร่างรัฐธรรมนูญผ่านประชามติเพื่อนำประเทศเข้าสู่ “ช่วงเปลี่ยนผ่าน” ซึ่งตัวเองยังมีกลไกประคับประคองอำนาจต่อไปด้วย
แต่ผู้สันทัดกรณีทางการเมืองมองว่า หมากนี้ “เทพเทือก” อ่านเกมไปไกลถึงเมื่อรัฐธรรมนูญมีผลประกาศใช้ ต้องสร้างฐานอำนาจต่อรองเก้าอี้รัฐมนตรี หลังการเลือกตั้งครั้งหน้า โดยมีชื่อคู่ซี้อย่าง “บิ๊กเน” เนวิน ชิดชอบ แกนนำพรรคภูมิใจไทย อยู่ในแผนการด้วย
แน่นอนว่าจำนวน ส.ว. 250 เสียง ที่เรียกกันว่า “พรรคทหาร” กลายๆ เป็นปัจจัยสำคัญในการลงมติเลือกนายกรัฐมนตรีในช่วงเปลี่ยนผ่าน 5 ปี ที่เหลือเป็นโจทย์ที่บรรดา “นักเลือกตั้ง” ต้องคิดคำนวณว่า ต้องมี ส.ส.มาบวกเพิ่มได้สักเท่าไร ถึงจะมีอำนาจต่อรองกับ “พลังสีเขียว”
จริงอยู่ที่ผ่านมา “สุเทพ” มักจะถูกกันไปให้อยู่วงนอก แต่เมื่ออ่านเกมแล้ว คสช.ยังคงต้องมีมือไม้ในเรื่องฐานเสียงเอาไว้คอยขับเคลื่อนด้วย ลำพังจะใช้ “อำนาจ” อย่างเดียว โดยไม่มี “มวลชน” มาหนุนหลัง ก็อาจจะตกม้าตายเอาง่ายๆ คนคุ้นเคยอย่าง “สุเทพ - เนวิน” จึงเป็นตัวเลือกที่ดี
พลันที่ “สุเทพ” โผล่ออกมาหนุนร่างรัฐธรรมนูญ ในขณะที่ “บิ๊ก คสช.” ต่างโดนมรสุมกันคนละดอกสองดอก สะท้อนให้เห็นว่า เป็นจังหวะที่ “บิ๊กทหาร” เริ่มคุมเกมไม่อยู่ ต้องไปลากตัวช่วยเข้ามา แลกกับ “ดีลลับ - ดีลลึก” อยู่ในมือ-ติดในโพย ดีไม่ดีดีลอาจจะไปไกลจัดใคร “โควตารัฐมนตรี” กันไว้แล้วด้วยซ้ำ
จ๊อบที่อยู่ “บิ๊ก คสช.” ส่งตรงถึงมือ “สุเทพ” ก็ไม่ซับซ้อนซ่อนเงื่อน คงแค่ขอให้ “มวลชน กปปส.” เตรียมตัวโหวตตามสัญญาณที่จะส่งออกมาในช่วงโค้งสุดท้าย ที่สำคัญต้องไม่แสดงออกต่อต้านหรือสนับสนุนให้ “ขั้วตรงข้าม” อ้างไปเป็นแบบอย่าง
ชั่วโมงนี้ความเคลื่อนไหวของ “นักเลือกตั้ง” ที่กลายร่างมาแฝงตัวกับ “กลุ่มมวลชน” เริ่มวิ่งกันฝุ่นตลบ ปล่อยข่าวบลั๊ฟอีกฝั่งอย่างเมามัน เพื่อกีดกั้นไม่ให้เดินเข้าสู่อำนาจ หรือเข้ามาเฉี่ยว “รั้วสีเขียว” ที่เรืองอำนาจอยู่ ถนนสายการเมืองวิ่งเข้าหา “บ้านโชคชัย” แทบทุกสาย “ลุงกำนัน” ของมวลมหาประชาชนก็เป็นหนึ่งในนั้น
จุดหมายปลายทางของ “สุเทพ เทือกสุบรรณ” ก็คือเข้าสู่ขั้วอำนาจให้มากที่สุด แต่ทั้งหลายทั้งปวงก็ทำเพื่อตัวเอง ไม่ได้ทำเพื่อประชาชน หรืออยากจะเข้าไปขับเคลื่อนวาระปฏิรูปประเทศอะไรหรอก