โดย : อ้อมแขน มโนธรรม
----------------------------------------------------------------------------------------
เมื่อกล่าวถึงคำว่า “ตำรวจ” ในสายตาของประชาชนส่วนหนึ่ง ซึ่งจะเป็นประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศหรือไม่ อันนี้เราไม่อาจทราบได้ ประชาชนเหล่านี้มองตำรวจด้วยความรู้สึกถึงการใช้อำนาจบาตรใหญ่ ใช้กฎหมายเป็นเครื่องมือข่มเหงรังแกประชาชน ตั้งด่านรีดไถโดยละเมิดข้อกฎหมาย ยัดข้อหาให้แก่ผู้บริสุทธิ์โดยไม่มีความผิด ซ้อมผู้ต้องหาให้รับสารภาพ และอื่นๆ อีกสารพัด
อย่างไรก็ตาม แต่ก็มิได้หมายความว่า ตำรวจทั้งประเทศไทยจะเป็นคนเลวเสียไปทั้งหมด ตำรวจที่ดี และมีคุณธรรมยังคงมีอีกมาก ซึ่งในจุดนี้เราต้องชื่นชม แต่เนื่องจากความชั่วของตำรวจมักจะปรากฏเป็นข่าวตามหน้าหนังสือพิมพ์มากกว่าความดี จึงส่งผลให้ความชั่วของภาพรวมตำรวจไทยโดดเด่นเป็นสง่ามากกว่าความดี
จึงทำให้ภาพรวมของตำรวจไทย ไม่แม้กระทั่งในสายตาของประชาชนคนไทยด้วยกันเอง ในสายตาของชาวต่างชาติก็ขึ้นชื่อได้ว่าโด่งดังในเรื่องความไม่ชอบมาพากลเช่นกัน
ความชั่วของตำรวจถึงขนานที่ว่า ในโลกสังคมออนไลน์มีการตั้งแฟนเพจคนเกลียดตำรวจขึ้นมา ซึ่งถือเป็นกลุ่มวิชาชีพแรก และวิชาชีพเดียวในโลกที่เกิดขึ้นในประเทศไทยกระมัง ที่มีการตั้งแฟนเพจรวมพลคนเกลียดตำรวจกันแบบจริงๆ จังๆ
จนกระทั่งล่าสุด กระแสวิพากษ์วิจารณ์ความชั่วจากการทำงานของตำรวจได้ปรากฏโดดเด่นเป็นสง่าขึ้นมาอีกครั้ง จากเหตุการณ์ที่ถือว่าเป็น “ทอล์ก ออฟ เดอะทาวน์” ในเวลานี้ก็คือ เหตุการณ์ที่ผู้ยิ่งใหญ่ด้วยอำนาจเงินขับรถชนคนตาย
เหตุการณ์แรก ทายาทเจ้าของกระทิงแดงขับรถชนตำรวจเสียชีวิต จนสังคมตั้งข้อกังขาว่า เหตุใดคดีตั้งแต่ปี 2555 จนปัจจุบันปี 2559 ผ่านมาถึง 4 ปีเต็ม จึงยังไม่ได้ฟ้องต่อศาล ปล่อยจนบางข้อหาขาดอายุความ จนอัยการต้องออกมาโวยวายถึงการทำงานของตำรวจ
ต่อด้วยเหตุการณ์ที่สอง คือ นายเจนภพ วีรพร ขับรถพุ่งชนที่กั้นทางด่วน จากนั้นพุ่งมาด้วยความเร็วที่ดาดว่าราวๆ 250 กม./ชม. พุ่งชนท้ายรถฟอร์ดเข้าอย่างจัง ส่งผลให้นักศึกษาถูกไฟคลอกเสียชีวิตทันที 2 ศพ จนสังคมออกมาตั้งข้อสงสัยถึงการทำงานของเจ้าหน้าที่ตำรวจเช่นเดียวกัน
และล่าสุด สดๆ ร้อนๆ กับเหตุการณ์ตำรวจไล่กระทืบนักศึกษาบาดเจ็บ จำนวน 5 ราย เป็นต้น
หรือแม้กระทั่งเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในพื้นที่ อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา ที่โด่งดังไปทั้งประเทศ ก็คือ กรณีผู้ต้องหาคดียาเสพติดผูกคอตายคาเซฟเฮาส์ตำรวจ
ซึ่งมีประเด็นอันเป็นที่น่าสงสัยว่า ตำรวจมีอำนาจตามกฎหมายเช่าเซฟเฮาส์เพื่อควบคุมตัวผู้ต้องหาหรือไม่ หรือเกิดเหตุการณ์อะไรขึ้นในเซฟเฮาส์จนทำให้ผู้ต้องหาถึงขนาดผูกคอตาย ณ ปัจจุบันนี้ก็ยังคงเป็นที่น่าสงสัย
ย้อนกลับมาที่ท่าทีการปฏิรูปตำรวจของ “คสช.” ซึ่งในขณะนี้ยังไม่เห็นวี่แววแห่งความเป็นไปได้เลยแม้แต่น้อย ยังคงนิ่งเฉยคล้ายกับยังพะว้าพะวงกับอะไรบางอย่าง เหมือนกับกลัวว่าหากเร่งดำเนินการปฏิรูปตำรวจอย่างจริงจัง จะไปเหยียบหางใครเขาเข้า
ทั้งๆ ที่ท่านมีอาวุธหนักที่ทรงประสิทธิภาพกว่ารัฐบาลยุคก่อนๆ ที่เคยมีมาคือ “มาตรา 44” แต่กลับนำไปใช้เพียงแค่การควบคุมราคาลอตเตอร์รี่ไม่ให้เกิน 80 บาทเท่านั้น
ที่สำคัญ “กำนันสุเทพ” ที่ครั้งหนึ่งเคยนำมวลชน กปปส.ขึ้นเวทีประกาศกร้าวว่า ประเทศ
จะต้องปฏิรูป! จะต้องปฎิรูป! จะต้องปฏิรูป!
ปฏิรูปก่อนเลือกตั้ง! ปฏิรูปก่อนเลือกตั้ง! ปฏิรูปก่อนเลือกตั้ง!
แต่ตอนนี้ “กำนันสุเทพ” ที่เคยประกาศกร้าวในตอนนั้นหายไปไหน รบกวนมวลชนที่สนับสนุนตอนนั้นไปเรียกมาหน่อยได้หรือไม่!
เป็นที่แน่นอนว่า “องค์กรตำรวจ” นั้นเป็นองค์กรหนึ่งที่มีปัญหา หลายๆ ฝ่ายเห็นสมควรที่จะต้องเร่งปฏิรูปอย่างด่วนที่สุด แต่ประเด็นคำถามที่สำคัญที่สุดที่คงจะมีอยู่ในใจของประชาชนคนไทยทั้งประเทศ คือ
เมื่อไรเราจะเริ่มปฏิรูปตำรวจกันอย่างจริงจังเสียที?
และเราจะปฏิรูปตำรวจกันสำเร็จเมื่อไร?
หากเราลองมองย้อนกลับไปยังพิจารณาประวัติศาสตร์ของโลก หรือแม้กระทั่งของประเทศไทยเอง เรามักจะเห็นปรากฏการณ์อยู่อย่างหนึ่ง กล่าวคือ เมื่อเหตุการณ์ใดเหตุการณ์หนึ่ง หรือวิกฤตการณ์ใดวิกฤตการณ์หนึ่งเกิดขึ้น และดำเนินไปถึงจุดที่เลวร้ายที่สุดจนเกินกว่าที่คนในสังคมจะรับได้ ก็จะเกิดการเปลี่ยนแปลงกลับไปในทิศทางที่ดีขึ้นจากพลังมหาศาลจากประชาชนในสังคมนั้นๆ เอง จนกระทั่งกลับสู่สภาวะที่ประชาชนในสังคมนั้นยอมรับได้
ยกตัวอย่างเช่น เหตุการณ์ “วิกฤตการณ์ต้มยำกุ้ง” ที่กระทบภาคธุรกิจธนาคาร เนื่องจากการปล่อยสินเชื่ออย่างไม่ระมัดระวัง ขาดวินัยทางการเงิน และการคลังที่ดี เกิดเป็นหนี้สูญจำนวนมาก จนกระทบต่อสภาพเศรษฐกิจเป็นวงกว้าง นักธุรกิจผูกคอตาย
แต่จากเหตุการณ์ในวันนั้นสังคมไทยเราก็ผ่านมันมาได้ และได้รับบทเรียนที่เจ็บปวด จนทำให้ปัจจุบันนี้ประเทศไทยเป็นประเทศที่มีระบบการเงินการธนาคารที่เข้มแข็งเป็นอย่างมาก
หรือแม้กระทั่งการเข้ามาดำรงตำแหน่งของนายกรัฐมนตรีหญิงคนแรกของเมืองไทย “น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” การเข้าสู่อำนาจของเธอถือได้ว่าเป็นสิ่งที่น่าประหลาดใจมากแล้ว แต่ยังตามมาด้วยนโยบายที่น่าตกใจมากยิ่งกว่า เช่น ปริญญาตรีเงินเดือน 15,000 บาท บ้านหลังแรก รถคันแรก และจำนำข้าวที่สร้างความเสียหายให้แก่ประเทศหลายแสนล้านบาท แต่แค่นั้นยังไม่ทำให้ถึงจุดที่เลวร้ายอย่างที่สุด
ซึ่งจุดที่เลวร้ายที่สุดอยู่ตรงที่เธอดันทุรังใช้เผด็จการรัฐสภาดันร่าง “พ.ร.บ.นิรโทษกรรม” ให้แก่ “นายทักษิณ ชินวัตร” เปรียบเป็นชนวนสำคัญที่ประชาชนนับ 10 ล้านคนลุกฮือมาไล่รัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ อย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
จากปรากฏการณ์ที่ยกมาดังกล่าว สะท้อนถึงการ “ปฏิรูปตำรวจ” อย่างไร กล่าวคือ มันสะท้อนให้เห็นว่า การปฏิรูปตำรวจจะเกิดขึ้นได้อย่างจริงจัง และจะประสบความสำเร็จได้ จะต้องรอให้ถึงจุดที่มันชั่วกันแบบสุดๆ ชั่วกันแบบถึงพริกถึงขิง ชั่วกันแบบถึงจุดแตกหักที่ประชาชนหมดความอดทน เท่านั้นแหละ การปฏิรูปตำรวจก็จะเกิดขึ้นได้จริง
แต่ดูเหมือนวันนี้ ตอนนี้ ยังไม่ชั่วถึงขนาดก็เป็นได้?!?!