ผู้จัดการสุดสัปดาห์ -ช่วงนี้เรื่อง “ดวงบ้าน-ดวงเมือง” กลับมาเป็น Talk of the town อีกครั้ง
ก็เป็นไปตามที่ “นักโหราศาสตร์” ทั่วฟ้าเมืองไทยต่างออกมาทำนายทักทายราวกับอ่านตำราเดียวกันว่า หลังวันที่ 6 มีนาคม 2559 “ดาวมฤตยู” หรือ “ดาวแห่งความตาย” จะย้ายราศีเข้า “ราศีเมษ” หรือ “ราศีดวงเมือง” แถมเป็นการเปลี่ยนราศีที่ใช้เวลายาวนานถึง 7 ปี ซึ่งตามคำทำนายส่วนใหญ่ก็ออกไปแนวที่ว่า “ดวงเมือง” จะเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่
ไม่เพียงเท่านั้นครั้งนี้ยังถือเป็นการเปลี่ยนราศีครั้งแรกในรอบ 84 ปี ที่ “ดาวแห่งความตาย” ย้ายมาทับดวงเมือง นับนิ้วกลับไปก็ตรงกับปี พ.ศ.2475 ที่มีการเปลี่ยนแปลงการปกครองพอดิบพอดี หลายฝ่ายจึงพุ่งเป้าว่าจะวุ่นวายในแง่ของการเมืองครั้งใหญ่เหมือนในอดีต
ประจวบเหมาะกับเมื่อช่วงเช้าวันที่ 9 มีนาคม ก็ได้เกิดปรากฏการณ์ “สุริยุปราคา” หรือ “สุริยคราส” ที่สามารถชมได้ในหลายประเทศ รวมไปถึง “เมืองไทย” ด้วย
แม้จะเป็นปรากฏการณ์ธรรมชาติที่อธิบายได้ในทาง “วิทยาศาสตร์” แต่ตามตำรา “โหราศาสตร์” และความเชื่อโบราณ ก็ตีความเงามืดที่บดบังดวงอาทิตย์ เปรียบเป็น “พระราหู” ที่แสดงอิทธิฤทธิ์คล้ายจะกลืนกินพระอาทิตย์เอาไว้ในปาก
ทั้งปรากฏการณ์ “ดาวมฤตยู” เคลื่อน และปรากฏการณ์ “ราหูอมพระอาทิตย์” จึงถูกผนวกเข้าด้วยกันเป็นปรากฏการณ์ “ราหูอมดวงเมือง”
“ดาวมฤตยู” หอบมรสุมกระหน่ำไทย
“กูรูด้านโหราศาสตร์” ทั้งที่ขึ้นชื่อเป็นโหร หรือหมอดูชื่อดัง ต่างฟันธงไปในทิศทางเดียวกันโดยไม่ได้นัดหมายว่า จากนี้ไปประเทศไทยจะเกิดความวุ่นวาย ทั้งเรื่องการเมือง เศรษฐกิจ สังคม ตลอดจน การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ และ 7 ปีนับจากนี้ไปจะเกิดเรื่องยุ่งเหยิงไม่รู้จบสิ้น
เอาแค่ตอนนี้ปัญหาต่างๆก็ประดังประเดมาไม่หยุดหย่อน ทั้ง ปัญหาด้านเศรษฐกิจ ที่ตกต่ำดิ่งเหว ไม่มีทีท่าจะโงหัวขึ้น โพลหลายสำนักยังสะท้อนความเดือดร้อนแสนสาหัสของประชาชนทุกหย่อมหญ้า ทั้งการค้าขายที่ฝืดเคือง พืชผลไม่ได้ราคา ปากท้องชีวิตความเป็นอยู่ย่ำแย่ ทั้งยังต้องเจอกับ “วิกฤตภัยแล้ง” ที่ทำท่าจะหนักหนาสาหัสกว่าในปีที่ผ่านๆมา
ในขณะที่ ปัญหาด้านสังคม ความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน ปัญหายาเสพติด-ผู้มีอิทธิพล ยังไม่ได้รับการแก้ไขเท่าที่ควร ที่สำคัญยังมีความแตกแยกทางความคิดของประชาชนในแทบทุกเรื่อง แม้กระทั่งสถาบันที่พึ่งอย่าง “ศาสนจักร” ก็ยังเกิดความเห็นที่แตกต่าง โดยเฉพาะในเรื่องการสถาปนา “สมเด็จพระสังฆราชองค์ใหม่” ที่มีทั้งฝ่ายต่อต้าน-สนับสนุน จนกลายเป็น “ศึกผ้าเหลือง” ซึ่งเปรียบได้ดั่ง “ระเบิดเวลา” รอวันประทุอยู่ในตอนนี้
หนักหนาที่สุดเห็นจะไม่พ้น ปัญหาด้านการเมือง ที่นอกเหนือจากความเห็นต่างแล้ว ยังต้องจับตาดูไปที่ร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ที่ร่างโดยทีมงานกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) ที่มี มีชัย ฤชุพันธุ์ เป็นประธาน แม้ขณะนี้ยังอยู่ในระหว่างการปรับแก้ และยังไม่เสร็จสมบูรณ์ ก็มีข้อวิพากษ์วิจารณ์ในทางลบ ต่อเนื่องไปถึงการรณรงค์ต่อต้านไม่รับร่างรัฐธรรมนูญที่เริ่มมีให้เห็นประปราย ก่อนที่จะถึงการลงคะแนนประชามติ ช่วงปลายเดือนกรกฎาคม หรือต้นเดือนสิงหาคม 2559 และด้วยปมปัญหาในตัวร่างรัฐธรรมนูญเอง ทำให้เชื่อได้ว่า ไม่ว่าจะผ่านหรือไม่ผ่านการทำประชามติ ก็จะมีความวุ่นวายๆตามมาอย่างแน่นอน
ต่างๆ เหล่านี้ ช่างสอดคล้องกับคำทำนายตามปรากฏการณ์ “ราหูอมดวงเมือง” เสียยิ่งกระไร
“ราหูอมเมือง” หรือจะสู้ “ราหมูครองเมือง”
อย่างไรก็ตาม “ผู้จัดการสุดสัปดาห์” ก็เคยวิเคราะห์สถานการณ์ประเทศตลอดปี 2559 ตามท้องเรื่อง “ปี 2559 เมืองไทยโดนของ ราหมูอมเมือง” ในฉบับเบิกฤกษ์-เปิดหัวเข้าสู่ปี 2559 มาแล้ว นอกเหนือจากคาดการณ์เรื่องวุ่นๆที่อาจจะเกิดขึ้นตลอดปีแล้ว เนื่องจากความแรงของ “ดาวราหู” ในปีนี้ตามคำทำนายแล้ว
ยังให้น้ำหนักไปถึงความทรงอิทธิพลของ “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ซึ่งสวมหมวกประธานคณะที่ปรึกษาคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) อยู่ด้วย ที่แพร่ขุมข่ายอำนาจจนยิ่งใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ ก้าวข้าม “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้า คสช. ในแง่ของอำนาจไปแล้วด้วยซ้ำ โดยเฉพาะหลังเข้าสู่ศักราชก็เลือกเฟดตัวเองออกจากสปอตไลต์ เปิดทางให้ “พี่ป้อม” บรรเลงอย่างเมามัน
และยิ่งใหญ่ขนาดที่หลายคนนำ “บิ๊กป้อม” ไปเปรียบมวยกับ “ป๋าเปรม” พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ แม้เจ้าตัว “บิ๊กป้อม” เองจะปฏิเสธไม่ขึ้น “วัดรอยเท้า” นายทหารรุ่นพี่ แต่ปัจจัยหลายๆอย่างกลับสะท้อนบารมีที่เบ่งบานของ “ป๋าป้อม” มากขึ้นตามลำดับ
ตั้งแต่การ “จัดแถวอำนาจ” วางตัว “คีย์แมน” ในตำแหน่งสำคัญต่างๆ โดยเฉพาะขุมข่ายด้านความมั่นคงที่ล้วนแล้วแต่ถูกปะหน้าผากด้วยยี่ห้อ “เด็กป้อม” มากกว่า “เด็กตู่” เห็นชัดๆ ก็ "บิ๊กหมู" พล.อ.ธีรชัย นาควานิช น้องเลิฟจากค่ายบูรพาพยัคฆ์ กับเก้าอี้ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) คนปัจจุบัน ที่ปาดหน้า "บิ๊กติ๊ก" พล.อ.ปรีชา จันทร์โอชา น้องชาย “บิ๊กตู่” ขึ้นหัวแถวกองทัพบก
เมื่อ “บิ๊กหมู” เกษียณอายุราชการในเดือนกันยายนปีนี้ บรรดาแคนดิเดตที่ต่อคิวรอเป็น ผบ.ทบ. ก็ยังเป็น 2 น้องเลิฟของ “บิ๊กป้อม” อย่าง “บิ๊กแกละ” พล.อ.พิสิทธิ์ สิทธิสาร เสนาธิการทหารบก และ “บิ๊กเจี๊ยบ” พล.อ.เฉลิมชัย สิทธิสาท ผู้ช่วย.ผบ.ทบ. แถมยังมี “บิ๊กเข้” พล.อ.เทพพงศ์ ทิพยจันทร์ แม่ทัพภาคที่ 1 ซอยเท้าสแตนด์บายอยู่ห่างๆ
เรียกว่าวางงานยาวให้ “เด็กป้อม” ต่อคิวรอเข้าฮอส ผบ.ทบ.เป็นแถว
อีกด้านที่ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) ยิ่งหมูตู้ เมื่อปีกลายดัน "บิ๊กแป๊ะ" พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ซึ่งอาวุโสน้อยสุดในบรรดารอง ผบ.ตร.ทั้งหมด แซงคนอื่นๆขึ้นมานั่ง ผบ.ตร.ได้ก็ด้วยบารมี “พี่ใหญ่” แถมกว่าจะเกษียณก็ปี 2563 ถ้าไม่ทะเล่อทะล่าพลาดพลั้งก็อยู่กันแบบยาวไปๆ ส่วน “บิ๊กปู” พล.ต.อ.ศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล รอง ผบ.ตร. ที่เร่งฝีเท้าหวัง “ส้มหล่น” ขอแทรกคิวขึ้นเบอร์หนึ่งสีกากี ก็เด็กในคอนโทรล “ป๋าป้อม” เช่นกัน
ที่วางเกมเหนือชั้นสุดๆ คงเป็นคิวของ “บิ๊กกุ้ย” พล.ต.อ.วัชรพล ประสารราชกิจ ที่สละทุกตำแหน่งไปนั่งแช่บนเก้าอี้ประธานกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ยาว 9 ปีเต็ม ด้วยความสัมพันธ์กับ “บ้านวงษ์สุวรรณ” ทั้ง “บิ๊กป้อม” และ “บิ๊กป๊อด”พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ อดีต ผบ.ตร. ทำให้ถูกมองว่า “หน่วยปราบโกง” แห่งนี้จะเป็นอีกหนึ่งขุมอำนาจของ “พี่ใหญ่” ที่ซ่อนรูปอยู่
การวางขุมข่ายอำนาจยังไม่จบแค่นั้น ล่าสุด “บิ๊กป้อม” ถึงกลับออกมา “จุดพลุ” ข้อเสนอให้ กรธ.บรรจุในร่างรัฐธรรมนูญ กำหนดที่มาของ สมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) มาจากการ “สรรหา” ทั้งหมด ในช่วง “เปลี่ยนผ่าน” หรืออย่างน้อย 5 ปีหลังการประกาศใช้รัฐธรรมนูญฉบับใหม่ แม้จะมีเสียงคัดค้านระงมว่าเป็นการ “ต่อท่ออำนาจ” สอดรับกับเรื่อง “แผนยุทธศาสตร์” ที่วางไว้ล่วงหน้า 20 ปี แต่ “พี่ใหญ่ คสช.” ก็ยังยืนยันจุดยืนหนักแน่น รวมทั้งไม่ปฏิเสธด้วยว่า สมาชิก คสช.อาจจำแลงกายมาเป็น “ส.ว.สรรหา” ในช่วงเปลี่ยนผ่านอีกด้วย
เป็นสัญญาณชัดเจนจาก “แป๊ะตัวจริง” ที่แม้แต่ “บิ๊กตู่” ผู้มีอำนาจสูงสุดยังต้องพยักหน้าหงึ่กๆบอกว่า “ได้ครับพี่” ขณะที่ กรธ.ก็คงไม่หือไม่อือ
นี่สิ “ราหมูครองเมือง” ของจริง
“ปราบมาเฟีย” จัดระเบียบอำนาจใหม่
ยังไม่จบแค่นั้น ภารกิจจัดแถว-วางงานในระบบใกล้เสร็จสมบูรณ์แล้ว “บิ๊กป้อม” ก็เปิดเกมแรงต่อเนื่อง ด้วยการคิกออฟ “นโยบายปราบมาเฟีย” สั่งหน่วยความมั่นคง “ทหาร - ตำรวจ - ฝ่ายปกครอง” ระดมกวาดล้างผู้อยู่ในข่ายผู้มีอิทธิพลทั่วประเทศอย่างเข้มข้น ตั้งแต่เมื่อต้นเดือนมีนาคมที่ผ่านมา
ขีดเส้น 2 เดือนต้องจบ!!
การที่ “พี่ใหญ่ คสช.” เพิ่งตื่นมาเอาเรื่องกับ “มาเฟีย” ทั้งที่อยู่ในอำนาจมากว่า 2 ปี ก็หนีไม่พ้นที่จะถูกมองว่าเป็นการ “ปูทาง” เพื่อการลงประชามติที่จะมีขึ้นในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า เสมือนการล็อกคอผู้มีอิทธิพลท้องถิ่น ตลอดจนนักการเมืองระดับประเทศ ให้อยู่ในแถว รอสัญญาณซ้ายหัน-ขวาหันจาก คสช. ใครออกนอกแถวเป็นต้องโดนหวด
แต่ถ้าคิดแค่นี้ดูจะประเมินคนระดับ “บิ๊กบราเทอร์สบูรพาพยัคฆ์” ต่ำเกินไปหน่อย
มองให้ลึกกว่านั้น คงต้องบอกว่านี่เป็นการ “ปูพรม” จัดระเบียบขุมข่ายอำนาจที่ยังอิงแอบกับ “ขั้วอำนาจเก่า” อย่างเต็มรูปแบบ เพราะว่ากันว่าตั้งแต่ คสช.เข้ามายึดอำนาจเมื่อ 22 พฤษภาคม 2557 ถนนทุกสายก็พุ่งตรงเข้า “บ้านโชคชัย-มูลนิธิป่ารอยต่อฯ” อยู่แล้ว ใครที่เข้าไม่ถึงก็อดไปต่อ กิจการด้านมืด-ด้านสว่างมีอันต้องหยุดชะงักกันเป็นแถวๆ
แต่การที่ต้องตีปี๊บ “นโยบายปราบมาเฟีย” ให้กระหึ่มขึ้นอีก ปฏิเสธไม่ได้ว่ามี “วาระซ่อนเร้น” ในการสลาย “ขั้วอำนาจเก่า” ที่ยังกระด้างกระเดื่องไม่ยอมขึ้นต่อ คสช. โดยเฉพาะบรรดา “นักเลือกตั้ง” ที่รอวันกลับมาผงาดหาก คสช.พลาดพลั้ง เพื่อไม่ให้ถึงวันนั้น “พี่ใหญ่ คสช.” จึงแก้เกมด้วยการสลาย “กองแช่ง” เสียก่อน แล้วดึงเข้ามาอยู่ในสาระบบของตัวเอง
นโยบายปราบมาเฟียรอบนี้ ไม่ต่างจากสมัยที่ ทักษิณ ชินวัตร เข้าสู่อำนาจใหม่ เมื่อมีการประกาศ “สงครามยาเสพติด” ใช้ยาแรงกวาดล้างอย่างหนัก ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตนับพันราย นอกเหนือจากทำให้มาเฟีย นักเลงหัวไม้น้อยใหญ่ สวามิภักดิ์ต่อ “ระบอบทักษิณ” แล้ว ก็ยังเป็นนโยบายที่ได้ใจประชาชนอีกด้วย
ที่ผ่านมารัฐบาลแทบทุกยุค เมื่อเข้าสู่อำนาจก็ดำเนินการกวาดล้างผู้มีอิทธิพลกันอยู่ตลอด แต่ทำได้มากน้อยแค่ไหนก็ขึ้นอยู่กับความเอาจริงเอาจัง หากไม่เลือกปฏิบัติ ก็ไม่ใช่เรื่องยาก พื้นที่ไหนใครคุม ใครกร่างอย่างไร มีหรือจะไม่รู้กัน
แน่นอนว่าในช่วง “คิกออฟ” การจับกุม-ตรวจค้นพุ่งไปที่ “ปลาซิว - ปลาสร้อย” หรือ “นักเลงปลายแถว” เป็นส่วนใหญ่ เพื่อเป็นการ “ส่งสาร” กดดันไปถึง “มาเฟียตัวจริง” หรือบรรดา “บ้านใหญ่” ตามหัวเมืองต่างๆว่า “ยุคนี้ใครคุม” และหากรู้งานก็ต้องหาช่องวิ่งเข้าให้ถูกทาง
ตลอดจนข่าวปล่อย-ข่าวลือถึงการสังคายนา “ระบบธนบัตร” ใหม่ทั้งหมด โดยการเปลี่ยนรูปแบบ-สีของธนบัตรในระบบ เพื่อขจัด “เงินนอกระบบ” ทำให้ “แบงก์เก่า” กลายเป็น “เศษกระดาษ” ซึ่งในวงการรู้ดีว่า หากทำสำเร็จจะหนักกว่าการขู่จะอายัดธุรกรรมทางการเงินเสียอีก
เช่นเดียวกับการปล่อยชื่อ “เซเลบมาเฟีย” ทั้งนักการเมือง-คนมีสีออกมาแบบตั้งใจ ก่อนจะมาปฏิเสธในภายหลัง ก็เป็นการแจ้งเตือนกลายๆว่า เป็นผู้ที่อยู่ในข่ายถูกล็อคเป้า-หมายหัว ใครอยากเคลียร์ยังไงก็ต้องวิ่งให้ถูกทางเช่นกัน โดยเฉพาะบรรดา “นักเลือกตั้ง - ฝ่ายการเมือง” ที่ถนัดการเอาตัวรอด ย่อมเลือกพิง “ฝ่ายอำนาจ” รักษาตัวไว้ดีกว่า
นโยบายปราบมาเฟียงวดนี้ จึงเป็นทั้งจัดแถว “ผู้มีอิทธิพล” และการตรึงสถานการณ์ด้านความมั่นคงให้นิ่งที่สุดในช่วงเปลี่ยนผ่าน
พร้อมๆไปกับการประกาศ “ขั้วอำนาจใหม่” อย่างเป็นทางการ
ศึกใหญ่ “อำมาตย์เก่า - อำมาตย์ใหม่”
แน่นอนว่าการวาง “เกมอำนาจ” ตั้งแต่งตัวบุคคลในองค์กรต่างๆ การกำหนดกลไก “ต่ออำนาจ” ในร่างรัฐธรรมนูญ ตลอดจนการปราบปรามผู้มีอิทธิพล ถือเป็นการรุกคืบของ “ขั้วอำนาจใหม่” ที่มี “บิ๊กป้อม” แสดงตัวเป็นผู้กุมบังเหียน ย่อมส่งผลให้ “ขั้วอำนาจเก่า” สูญเสียประโยชน์
“ขั้วอำนาจเก่า” ในที่นี้คงหนีไม่พ้น “ระบอบทักษิณ” ที่ยิ่ง คสช.ทอดโรดแมปยาวออกไปมากแค่ไหน ก็ยิ่งออกอาการ “ฝ่อ” มากขึ้นเท่านั้น เพราะไม่มีปัจจัยที่จะไปต่อรองคัดง้างกับ “ขั้วอำนาจใหม่” ได้แม้แต่น้อย เครือข่ายข้าราชการก็ถูกสลายจนเกือบหมดแผง กระทั่งคนในครอบครัวก็ต่างถูกคดีความขึงพืดไว้ทั่วหน้า
แผน “โลกล้อมประเทศ” ที่ถูกงัดขึ้นมาใช้อีกครั้งในระยะหลังๆ ก็ยากที่จะบั่นทอนเสถียรภาพของ “รัฐบาล คสช.” ได้ ด้วยอารมณ์คนไทยที่แม้จะ “เบื่อทหาร” แต่ก็ “เกลียดทักษิณ” มากกว่า
ยิ่งหากมีการวางเกมลากยาวอำนาจจะ 5 ปี หรือ 20 ปีสำเร็จ ขี้คร้าน “ฝรั่งหัวแดง” ที่เคยอี๋อ๋อกับ “ทักษิณ” ก็อาจจะลืมไปว่าเคยตั้งแง่รังเกียจ “เผด็จการทหาร” ก็เป็นได้
โอกาสที่ “ระบอบทักษิณ” จะพลิกเกมได้ ก็อยู่ที่สนามเลือกตั้ง แต่จะถึงวันนั้นหรือไม่ทุกอย่างก็อยู่ในมือ คสช. ซึ่งต้อง “เมคชัวร์” ที่สุด ในการวางกลไกในร่างรัฐธรรมนูญ ทั้งการได้มาซึ่ง ส.ส.และ ส.ว. กลบจุดอ่อนรัฐประหาร 2549 และรัฐธรรมนูญ 2550 ให้รัดกุมที่สุด
ประเมิน ณ วินาที คงต้องบอก “ระบอบทักษิณ” แทบจะปิดตายโอกาสกลับมาผงาดอีกครั้ง อย่างมากที่ทำได้ อาจจะขอเกาะเกี่ยว “ขั้วอำนาจใหม่” ไปได้บ้าง แต่จะลืมตาอ้าปากใหญ่คับประเทศแบบในอดีต คงต้องบอกว่า ยาก!!
ที่น่าสนใจคงเป็น “สงครามตัวแทน” กรณีที่ทาง สตช.โดย “บิ๊กแป๊ะ - บิ๊กปู” ไล่เบี้ยเอาเรื่อง พล.ร.อ.พะจุณณ์ ตามประทีป สมาชิกสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ (สปท.) กรณี “ไลน์หลุด” กล่าวหา “พลเอกนอกราชการ” มีเอี่ยวในการซื้อขายตำแหน่งตำรวจ ซึ่งถูกตีความไปถึงตัว “บิ๊กป้อม” ในฐานะกำกับดูแล สตช. และพาดพิงไปถึงคนในบ้าน “วงษ์สุวรรณ” ด้วย
ในช่วงแรก “ฝ่ายตำรวจ” รุกไล่ฮึดฮัดจะเอาเรื่องกันให้ตายไปข้าง พอ “ทีมพะจุณณ์” ตั้งป้อมสู้ มีสวนอาวุธกลับบ้าง ช่วงหลังจึงลดดีกรีความกระเหี้ยนกระหือรือลง แต่เมื่อเป็นเรื่องใหญ่โตไปแล้ว ก็เบรกไม่อยู่ต้องว่าไปตามกระบวนการ
อย่าลืมว่า “พะจุณณ์” พะยี่ห้อ “บ้านสี่เสาเทเวศน์” ในฐานะอดีตหัวหน้าสำนักงานมูลนิธิรัฐบุรุษ และนายทหารคนสนิทของ “ป๋าเปรม” พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ แม้หลังๆอาจจะห่างเหินไปบ้างตามหน้าที่การงาน
แต่สุดท้ายภาพของ “ป๋าเปรม” ก็กลับตระหง่านเป็น “แบ็ก” ให้ “พะจุณณ์” อีกครั้ง หลังมีการเปิดเผยว่า ประธานองคมนตรีโทรศัพท์มาไถ่ถามเรื่องคดีด้วยความเป็นห่วง เจอดอกนี้ไปก็คงสะดุ้งกับทั้ง คสช.และ สตช.
แผน “ตีวัวกระทบคราด” ไว้ แม้จะสำเร็จ แต่ก็มี “สะอึก” ไปเหมือนกัน
วันนี้ต้องยอมรับบารมี-อิทธิพล “บิ๊กป้อม” เบ่งบานคับประเทศก็จริง แต่การเดินเกมแรงชนิด “เบ่งกล้าม - สยายปีก” โดยไม่ไว้หน้าใครเลยก็สุ่มเสี่ยงไม่ใช่น้อย หากไม่รัดกุมก็อาจจะโดน “เจาะยาง - เตะตัดขา” ได้ทุกเมื่อ
ตามประสา “เก่าไป-ใหม่มา” เมื่อมีคนคิดตั้งตัวเป็น “อำมาตย์ใหม่” ขึ้นมา “อำมาตย์เก่า” ก็อาจต้องหมดความหมายไป
แต่ต้องถามว่า “คนเก่า” เขาจะยอมง่ายๆไหม??.


