xs
xsm
sm
md
lg

ผู้จัดการสุดสัปดาห์

x

ยุบตำรวจสอบสวน “จันทร์”ตายฟรี “จักรทิพย์”เสียว! ลูกน้องบ้าเลือด

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

พ.ต.ท.จันทร์ ชัยสวัสดิ์
ผู้จัดการสุดสัปดาห์ - “...วิทยุออกข่าวกระจาย เจ้านายจะมาตรวจเยี่ยม พวกเราๆ ต้องเตรียม เจ้านายตรวจเยี่ยมเตรียมรับนาย เจ้านายมีนโยบาย เรื่องใดๆ เตรียมไว้นะท่าน เตรียมที่เตรียมคนเตรียมงาน ต้องเตรียมงานให้พร้อมนะท่าน ในเรื่องอาหารหวานคาวก็ต้องเอาที่ถูกใจท่าน ถ้าท่านเกาที่กระเป๋า เราต้องเอาเงินใส่ให้ท่าน ถ้าท่านกระแอมกระไอ เราต้องไปหาเด็กให้ท่าน เปิดห้องให้อยู่กับเด็ก เอ๊กอีเอ็กเอ๊ก 2 ขั้นนะท่าน ถ้าท่านสั่งการเรื่องใดต้องตอบไปได้เลยครับท่าน ลูกน้องต้องช่วยกันรับ ครับท่านครับได้เลยครับท่าน ๆๆ ...ถึงตอนที่นายจะกลับ ขอฝากนะครับ ฝากคุณนายท่าน.....”

บทเพลงขำๆขื่นๆที่ พ.ต.ท.จันทร์ ชัยสวัสดิ์ พนักงานสอบสวนผู้ชำนาญการพิเศษ สน.เทียนทะเล หรืออีกตำแหน่งคือเลขาธิการสหพันธ์พนักงานสอบสวนแห่งชาติ ที่ลาโลกด้วยการแขวนคอตายและพบศพเมื่อตอนเช้าวันที่ 12 ก.พ.ที่ผ่านมายังคงสะทกสะท้อนความรู้สึกของสังคมไทยที่สื่อออกมาให้เห็นถึงระบบเจ้าขุนมูลนาย ไม่ว่ายุคใดสมัยใดตำรวจชั้นผู้น้อยมักเป็นที่รองรับอารมณ์ รวมทั่งกิเลสตัณหาของบรรดาผู้บังคับบัญชา “น้ำเน่า” บางคน

ระบบ “ลูกน้องเลี้ยงเจ้านาย” ยังคงอยู่คู่กับสังคมสีกากีอย่างไม่จบสิ้นแต่ขณะเดียวกัน “เจ้านาย” ส่วนใหญ่ก็หนีไม่พ้น “บ่วงกรรม” ต้องคอยรองรับความต้องการของผู้มีอำนาจ กลายเป็นวงจรอุบาทว์คู่กับระบบข้าราชการไทยจนแยกกันๆไม่ออก

โดยเฉพาะอย่างยิ่งในแวดวงตำรวจหรือ “สำนักงานตำรวจแห่งชาติ” (สตช.) ซึ่งถือเป็นฐานอำนาจสามารถให้คุณให้โทษกับใครก็ได้ จะถูกจับไม่ถูกจับ รอดคุกหรือติดคุกตำรวจไทยเสกเป่าให้ได้ทุกเรื่องดังนั้นผู้มีอำนาจในทุกยุคทุกสมัยไม่ว่าจะเป็นรัฐบาลจากการเลือกตั้ง หรือรัฐบาลที่มาจากการยึดอำนาจต่างพึ่งพาอาศัยบริการจากเหลี่ยมเชิงของตำรวจไทยทั้งสิ้น

หลังวันที่ 22 พ.ค.57 มีคำสั่งคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) มายัง สตช.อย่างมากมาย ทั้งแต่งตั้งโยกย้ายและเปลี่ยนแปลงระบบการบริหาร มีการวิพากษ์วิจารณ์ถึงกฎระเบียบบางอย่างที่ร่างขึ้นเพื่อ “กลุ่มคนใกล้ชิดสายอำนาจ” เพียงไม่กี่คน แต่ยอมให้ระบบโดยรวมเสียหายทั้งหมด เช่น กฎสำนักงานคณะกรรมการข้าราชการตำรวจ (ก.ตร.) ว่าด้วยการครองตำแหน่งที่ยังเถียงกันไม่เสร็จ

แต่ที่ร้อนแรงเป็นประเด็น “แตกหัก” ก็คือ คำสั่ง คสช.ที่ 6/2559 และ 7/2559 ให้อำนาจผู้บังคับบัญชาในการสั่งคดี และยุบตำแหน่ง “พนักงานสอบสวน” ทั้งหมด เป็นการถอยหลังไปกว่า 20 ปีกลับไปใช้ “ระบบเก่า” ทั้งหมดคือตำรวจไทยจะทำหน้าที่ “จับเอง-สอบเอง” แบบเบ็ดเสร็จเด็ดขาดต่างจากเดิมที่พัฒนาพนักงานสอบสวนเป็นสายผู้เชี่ยวชาญเฉพาะ และมีอิสระต่อการครอบงำ

คำสั่ง “หักดิบ” ดังกล่าวจึงเสมือนเป็นการตัดอนาคต “ดับความหวัง” ของพนักงานสอบสวนจำนวนไม่น้อยที่อยู่ในสายงานนี้ เพราะธรรมชาติของพนักงานสวบสวนเกือบ 100 เปอร์เซ็นต์จบการศึกษามาจากรั้วมหาวิทยาลัย คณะนิติศาสตร์ หรือเป็นนักกฎหมายโดยตรง จะมีที่จบมาจากโรงเรียนนายร้อยตำรวจ บ้างแต่ไม่มากนักคาดว่าไม่น่าเกิน 20 เปอร์เซ็นต์ ดังนั้นแม้จะได้รับการปลุกปลอบจากผู้บังคับบัญชาว่า ยังสามารถหาความเจริญก้าวหน้าได้ อีกทั้งเงินประจำตำแหน่ง 20,800 บาทที่ถูกตัดไป ก็จะพยายามต่อรองดึงกลับมาให้แต่ดูเหมือนว่าคำรับรอง หรือคำปลอบประโลมกลับไม่มีใครฟัง

มีเพียงพนักงานสอบสวนระดับหนุ่มๆที่ยังมีไฟ และปรารถณา “ปลดล็อก” ตัวเองจากสายสอบสวนให้ไปเป็นตำรวจเต็มตัว เป็นตำรวจถือปืนออกไล่จับเหล่ามิจฉาชีพ เป็นสายตรวจ-สายสืบมีผลงานด้านปราบปรามให้เป็นที่ประจักษ์จึงพอกล่าวได้ว่าตำรวจสายสอบสวนมิใช่แต่จะคิดต่อต้านกันทั้งหมด ยังมีอีกกลุ่มที่ต้องการแยกตัวออกมา แน่นอนว่านอกจากเป็นตำรวจหนุ่มแล้วยังเป็น นรต.ที่เจ้าตัวคิดว่า “หลงผิด” ที่เลือกเป็นพนักงานสอบสวนเนื่องจาก “หน้างาน” มีความรับผิดชอบสูง อีกทั้งสภาพความเป็นจริงต่างจากตำรวจในอุดมคติคือตำรวจต้องถือปืน ตำรวจต้องปราบปรามเหล่าร้าย

มากมายหลายเหตุผลแต่ล้วนเป็นประโยชน์ของตำรวจเองทั้งสิ้น ทั้งที่ก่อนการยึดอำนาจ 22 พ.ค.2557 มีเสียงเรียกร้องให้ปฏิรูปตำรวจไทยเป็นอันดับแรก และมีการเสนอให้พนักงานสอบสวน ย้ายไปสังกัดกระทรวงยุติธรรม เพื่อป้องกันไม่ให้ตำรวจมีอำนาจมากจนเกินไปแต่ความเป็นจริงที่เกิดขึ้นในรัฐบาลยุค “คืนความสุข” สำนักงานตำรวจแห่งชาติ กลับกลายเป็นเครื่องมือฝ่ายอำนาจ มีการแทรกแซงอย่างหนักจนอาจจะหนักกว่าสมัยรัฐบาลพลเรือน

ย้อนกลับหลังการยึดอำนาจไม่นานนักชื่อของ สหพันธ์พนักงานสอบสวนแห่งประเทศไทย ภายใต้การนำของ พ.ต.อ.ภรภัทร เพ็ชรพยาบาล พนักงานสอบสวนผู้ทรงคุณวุฒิ สภ.บางปู จ.สมุทรปราการ เป็นประธานฯ พ.ต.ท.จันทร์ ชัยสวัสดิ์ พนักงานสอบสวนผู้ชำนาญการพิเศษ สน.เทียนทะเล เป็นเลขาธิการฯ มีสมาชิกทั่วประเทศ 3,000 คนมีข่าวคราวเป็นระยะๆ

ผลงานที่เห็นเป็นรูปธรรมครั้งสุดท้ายเมื่อวันที่ 20 ต.ค.2558 โดย พ.ต.อ.ภรภัทร ในฐานะประธานสหพันธ์พนักงานสอบสวนฯได้นำชื่อสมาชิก 1,438 คนยืนหนังสือต่อ นายอมร วาณิชวิวัฒน์ โฆษกคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) ขอให้แยกพนักงานสอบสวน และสถาบันนิติเวชวิทยา ออกจาก สตช. หลังจากนั้นก็เกิดปัญหาเรื่องการแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการระดับ “รอง ผบก. - สารวัตร” ในเรื่องกฎ-กติกาต่างๆซึ่งถูกต่อต้านอย่างหนักโดยมองเห็นว่ามีการเอื้อประโยชน์ให้กับคนใกล้ชิดผู้มีอำนาจ ร่างกฎ “ชักบันไดหนี” ชิงความได้เปรียบตำรวจที่ไม่มีเส้นสาย

เรื่องอลวนในรั้วสีกากีเกี่ยวกับกติกาเอารัดเอาเปรียบเพื่อน หรือที่เย้ยกันว่าเป็นกฎ “ชักบันไดหนี” ยังไม่จบวันที่ 5 ก.พ.2559 พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้า คสช.ออกคำสั่งที่ 6/2559 เป็นเกราะคุ้มกันตัวเองและสมัครพรรคพวกว่า “ให้บรรดาการคัดเลือก หรือการแต่งตั้งข้าราชการตามพระราชบัญญัติตำรวจแห่งชาติ 2557 ประกาศ คสช. คำสั่ง คสช.หรือคำสั่งหัวหน้า คสช.ที่เกี่ยวข้อง ที่ได้ดำเนินการตั้งแต่วันที่ 22 พ.ค.2557 จนถึงวันที่คำสั่งนี้มีผลใช้บังคับเป็นไปโดยชอบด้วยกฎหมาย”

หมายความว่าทุกคำสั่งของ พล.อ.ประยุทธ์ หรือ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะประธาน ก.ตร.ที่เคยออกคำสั่งหรือกระทำการใดๆตั้งแต่วันยึดอำนาจจนถึงปัจจุบัน เป็นคำสั่งที่ชอบโดยกฎหมาย ไม่สามารถฟ้องร้องได้

วันเดียวกันยังมีคำสั่งที่ 7/2559 สรุปโดยย่อว่าให้ยกเลิก “แท่งสอบสวน” หรือพนักงานสอบสวนทั้งหมดโดยให้เหตุผลว่าเพื่อประสิทธิภาพในการบริหารงานแผ่นดินและกระบวนการยุติธรรมสมควรปรับปรุงกำหนดตำแหน่งข้าราชการตำรวจที่มีอำนาจหน้าที่ในการสอบสวนเสียใหม่ ให้สอดคล้องโครงสร้างและระบบบังคับบัญชาของ สตช. ฯลฯ

คำสั่งทั้งสองฉบับนี้เองสร้างความตื่นตะลึงให้กับตำรวจสายสอบสวนเป็นอย่างยิ่งเพราะในสภาพปัจจุบันตำรวจทุกสายงานได้รับความบีบคั้นจากสังคม และผู้มีอำนาจอยู่แล้วแต่ในสายสอบสวนยังมีเรื่องราวต่างๆอีกมากมายอันเป็นแรงกดดันจากฝ่ายคู่กรณี จากผู้บังคับบัญชาหรือการประดิษฐ์คิดค้นมาตรการต่างๆมาล็อกคอพนักงานสอบสวนจึงเห็นได้ว่าในระยะหลังมักมีตำรวจสายสอบสวนกระทำอัตนิวิบาตกรรมให้เห็นอยู่เนืองๆ เช่นกรณี ร.ต.อ.ทวี หมื่นรักษ์ พงส.สน.ทุ่งสองห้อง เจ้าของคดีจำนำรถเก๋ง 204 คันซึ่งมีกระแสข่าวระบุว่าทนถูกเจ้านายบางคนกดดันไม่ไหวจึงยิงตัวตายประท้วง

เมื่อหน้าที่การงานแบบเก่าๆยังสลัดการแทรกแซงจากผู้บังคับบัญชาไม่พ้น ข้อเรียกร้องให้ พงส.แยกตัวออกจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กลับไม่มีท่าทีตอบรับจากผู้มีอำนาจแถมยังมีคำสั่งขย่ม ถอยหลังไปอีกกว่า 2 ทศวรรษ จึงไม่ต้องสงสัยเลยว่า พ.ต.ท.จันทร์นายตำรวจคนหนึ่งที่เป็นแกนนำในการขอให้พนักงานสอบสวนแยกตัวไปอยู่กระทรวงยุติธรรม จะอดรนทนต่อไปได้ วันที่ 8 ก.พ.2559 พ.ต.ท.จันทร์ ในฐานะเลขาการสหพันธ์พนักงานสอบสวนแห่งชาติ ทำหนังสือถึง พล.อ.ประยุทธ์ คัดค้านคำสั่งที่ 7/2559 โดยระบุว่าเป็นการ “ทำลายขวัญ กำลังใจ -ปิดกั้นอนาคต” ของพนักงานสอบสวน และแน่นอนว่าย่อมส่งผลต่อประชาชนผู้บริสุทธิ์อย่างแน่นอน

วันที่ 10 ก.พ.2559 มีคำสั่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนกรณี พ.ต.อ.ภรภัทร ให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนหาว่านายกรัฐมนตรี ใช้มาตรา 44 สกัดกั้นการเจริญเติบโตของพนักงานสอบสวน และในเนื้อหาบางตอนระบุว่าพล.อ.ประยุทธ์ รับฟังแต่คนใก้ลตัวแต่ไม่ยอมฟังเหตุผลจากพนักงานสอบสวนส่วนใหญ่ยังผลให้ พ.ต.อ.ภรภัทร ต้องลดบทบาทไม่กล้าให้สัมภาษณ์สื่อ เพียงแต่กล่าวกับ “ทีมงานข่าวอาชญากรร MGR” สั้นๆว่าไม่สามารถพูดอะไรได้อีกต่อไป เพราะคำสั่ง คสช.คือกฎหมายและอยู่ในช่วงถูกตั้งคณะกรรมการสอบสวนแต่การต่อสู้คงดำเนินต่อไปในลักษณะอื่น พร้อมกับให้ไปสอบถามรายละเอียดต่างๆที่เลขาธิการสหพันธ์พนักงานสอบสวนฯ

วันที่ 12 ก.พ.2559 พ.ต.ท.จันทร์ ถูกพบเป็นศพผูกคอตายเสียชีวิตอยู่ประตูหลังบ้านพัก และทันทีที่ข่าวแพร่สะพัดออกไปมีผู้สนใจจนเกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวางโดยผู้ใก้ลชิด หรือเพื่อนฝูง พ.ต.ท.จันทร์ ไม่เชื่อว่าจะเป็นการฆ่าตัวตาย เช่น นายคฤนาถ คะชะนา หัวหน้ากลุ่มงานสืบสวนคดีอาญา 4 สำนักการสอบสวนและนิติการ กรมการปกครอง ในฐานประธานสหพันธ์ปลัดอำเภอแห่งประเทศไทย ซึ่งเคยร่วมงานกับ พ.ต.ท.จันทร์ ระบุว่าคนตายมีใจเด็ดเดี่ยว มั่นคง ใจสู้และร่างเริงสนุกสนานติดต่อกันครั้งสุดท้ายคือวันที่ 8 ก.พ.ระหว่างเดินทางไปยื่นหนังสือถึงนายกฯ

นายวัชระ เพชรทอง อดีต ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ เป็นเพื่อนอีกคนที่ออกตัวแรงยืนยันว่าเป็นการ “ฆาตกรรมอำพราง” อย่างแน่นอน เช่นเดียวกับ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียาเวส อดีต ผบ.ตร.ตั้งข้อสังเกตสิ่งผิดชาติ 6 ข้อคือ 1.สภาพศพไม่เหมือนกับการผูกคอทั่วไป 2.แขนทั้ง 2 มีรอยแดงคล้ายถูกความร้อนแรงสูงเฉียบพลัน แต่เมื่อมีการเคลื่อนย้ายศพจึงทำให้หนังหลุด 3.กุญแจรถ - โทรศัพท์ส่วนตัวคนตายหายไป 4.จักรยานยนต์ของผู้ตายจอดอยู่บริเวณปากซอย แต่เสียบกุญแจทิ้งไว้ 5.คนตายหายตัวไป 2 วันไม่มีใครติดต่อได้จนพบเป็นศพ และ 6.ผู้บังคับบัญชาเร่งสรุปว่าฆ่าตัวตาย

อย่างไรก็ตามแพทย์นิติเวชฯรพ.ศิริราช แถลงการณ์ชันสูตรศพในเวลาต่อมาว่าบาดแผลเป็นรอยปริ ที่เห็นบริเวณแขน และหน้าอกศพคนตายเกิดจากการเสียชีวิตมานาน 8-10 ชม.โดยทั่วไปย่อมเกิดขึ้นได้ จากการตรวจอวัยวะภายในไม่มีรอยถูกทำร้ายหรือกระทบ

ขณะที่ นางอารมณ์ ชัยสวัสดิ์ อาจารย์ระดับ 7 โรงเรียนวัดหนัง ให้การว่าเห็นสามีครั้งสุดท้ายเมื่อวันที่ 10 ก.พ.เวลา 06.30 น.โดยเป็นคนลงมาเปิดประตูส่งตนกับบุตรสาวไปทำงานตามปกติ กระทั้งเวลา 20 น.วันเดียวกันกลับมาจากทำงานพบรถสามีจอดอยู่หน้าบ้านแต่ไม่เห็นตัวซึ่งเป็นเรื่องปกติของคนเป็นตำรวจที่กลับบ้านไม่เป็นเวลาจึงไม่สนใจ ต่อมาวันที่ 11 ก.พ.ตำรวจสน.เทียนทะเล โทรฯเข้ามือถือคนตายแต่ไม่มีใครรับสายจึงสอบถามมาที่บ้านนางอารมณ์ เข้าใจว่าสามีอาจจะไปออกกำลังกายกระทั่งเช้าวันที่ 12 ก.พ.ได้ยินเสียงลูกสาวโวยวายว่าก็พบศพพ.ต.ท.จันทร์ แขวนคออยู่กับลูกกรงเหล็กประตูหลังบ้านดังกล่าว

แม้ว่าจนถึงขณะนี้การตายของ พ.ต.ท.จันทร์ อดีตแกนนำพนักงานสอบสวน คนสำคัญวงการสีกากี มีแนวโน้มปิดคดีเป็นการฆ่าตัวตายก็ตาม แต่สิ่งที่ยังคงเป็น “ตะกอน” ค้างคาหัวใจตำรวจสายสอบสวนที่ไม่เห็นดีเห็นงามกับคำสั่งที่ 7/2559 ผนวกกับความตายของอดีตเลขาธิการสหพันธ์พนักงานสอบสวนแห่งชาติ กลายเป็นความหวาดระแวงไม่ไว้วางใจผู้บังคับบัญชา หรือผู้มีอำนาจอีกต่อไปฃ
พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ
จะด้วยเหตุบังเอิญหรือมีสิ่งบอกเหตุใดไม่ทราบ วันอาทิตย์ที่ 14 ก.พ.2559 หลังการเสียชีวิตของพ.ต.ท.จันทร์ เพียง 2 วันกองบังคับการตำรวจสันติบาล 3 มีคำสั่งด่วนถึงผู้รับผิดชอบเน้นย้ำกรณีตำรวจนอกหน่วยพกพาอาวุธปืนเข้ามาใน สตช. สืบเนื่องจากกรณีมีตำรวจ (พนักงานสอบสวน) ผูกคอตายจนอาจมีผลต่อการรักษาความปลอดภัยใน สตช. จึงขอให้เจ้าหน้าที่ตำรวจ กก.3 บก.ส.3 ทำการตรวจค้นโดยละเอียด

ห้ามตำรวจทั้งในและนอกเครื่องแบบ พกปืนเข้า สตช.โดยเฉพาะหน้าสำนักงาน ผบ.ตร.ให้เป็น “พื้นที่สีแดง” เข้มงวดกวดขันอย่างเด็ดขาด

หากเกิดความบกพร่องจะถูกลงโทษตั้งคณะกรรมการสอบสวน ขอให้ปฏิบัติและตรวจค้นอย่างละเอียดและสังเกตบุคคลแปลกหน้าและตำรวจนอกหน่วยเป็นกรณีพิเศษ

....ในที่สุดแล้วความหวาดระแวงได้เกิดขึ้นกับ สตช. แม้ต่อมาจะมีบรรดา “บิ๊กตำรวจ” ออกมาปฏิเสธ และยืนยันว่าเป็นมาตรการปกติแต่จากคำสั่งเข้มงวดกันเป็นพิเศษ รวมทั้งเน้นไปยัง “คนแปลกหน้า - ตำรวจนอกหน่วย” เป็นพิเศษ “การข่าว” ของสันติบาลได้กลิ่นอะไรมา

ไม่น่าเชื่อว่าพล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผบ.ตร.คนที่ 11 เพิ่งมีอายุงานไม่ถึง 4 เดือนเต็มจะต้องได้รับการอารักขากันขนาดนี้.


กำลังโหลดความคิดเห็น