อาจารย์ ดร. อานนท์ ศักดิ์วรวิชญ์
สาขาวิชาวิทยาการประกันภัยและบริหารความเสี่ยง สาขาวิชาวิเคราะห์ธุรกิจและการวิจัย
คณะสถิติประยุกต์ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์
http://as.nida.ac.th/th/
สาขาวิชาวิทยาการประกันภัยและบริหารความเสี่ยง สาขาวิชาวิเคราะห์ธุรกิจและการวิจัย
คณะสถิติประยุกต์ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์
http://as.nida.ac.th/th/
ผมไปราชการที่กรุงปักกิ่งมาเมื่อสองสัปดาห์ก่อน จึงได้มีโอกาสไปชม พระราชวังต้องห้าม ที่เรียกว่า กู้กง อันใหญ่โตมโหฬารอลังการของจีน ได้เห็นฉากท้องพระโรงอันกว้างใหญ่ไพศาลที่บรรดาขุนนางข้าราชการต้องเข้าเฝ้าฮ่องเต้ ในฉากหนังเรื่อง จักรพรรดิโลกไม่ลืม (The last emperor) ซึ่งเล่าถึงชีวิตของสมเด็จพระจักรพรรดิ์พระองค์สุดท้ายแห่งราชวงศ์ชิงพระนามว่า ปูยี ได้ไปชมหอบูชาฟ้าเทียนถาน อันโด่งดังระบือไกล
สิ่งที่อดถ่ายรูปมาฝากให้ทุกคนได้เห็นกลับเป็นป้ายคำอธิบายประวัติสถานที่ต่างๆ ในพระราชวังหรือหอบูชาฟ้าดังกล่าว ซึ่งมีคำอธิบายละเอียดลออดีมาก ทำจากแผ่นทองเหลืองจารึกอย่างแข็งแรงสง่างาม ผมกลับมาสะดุดใจที่รอยขูดด้านล่างมุมขวาของป้ายดังกล่าวทุกป้าย เมื่อลองไปแกะอ่านดีๆ แม้จะโดนขูดขีดจนเลือนรางไปแล้วก็ตามยังพออ่านได้จากบางป้ายว่า “Made possible by XXXXXXXX XXXXXXX company” ชื่อ XXXXXXXX XXXXXXX ที่ผมละไว้นั้นเป็นชื่อบริษัทบัตรเครดิตชื่อดังของสหรัฐอเมริกา
เมื่อเห็นจึงเกิดความสงสัยว่าทำไมต้องไปขูดคำเหล่านี้ออกไป จริงๆ ก็พอเดาได้ว่าน่าจะเกิดความไม่พอใจอย่างรุนแรงในหมู่ชาวจีน จึงได้สอบถามคนท้องถิ่นในกรุงปักกิ่งทำให้ทราบได้ว่า เมื่อจีนเปิดม่านไม้ไผ่ใหม่ๆ ความไม่ไว้วางใจในชาวต่างชาติตะวันตกนั้นรุนแรงมาก เนื่องจากในประวัติศาสตร์ ก่อนที่จะเปลี่ยนแปลงการปกครองเป็นระบอบคอมมิวนิสต์นั้น คนจีนเป็นผู้ถูกกระทำโดยชาติตะวันตกมามาก โดยเฉพาะในช่วงสงครามฝิ่น สถานทูตชาติตะวันตกบางแห่งถึงกับขึ้นป้ายว่า “ห้ามสุนัขและคนจีนเข้า” ความหวาดระแวงและไม่ไว้วางใจชาวตะวันตกนี้มีอยู่ในจิตใจคนจีน เมื่อเปิดประเทศใหม่ๆ ให้ชาติตะวันตกเข้ามาเห็นมาทำธุระได้ ชาวตะวันตกทุกคนต้องไปพักที่โรงแรมเดียวเท่านั้น คือ Raffles Beijing Hotel เพื่อให้สะดวกและง่ายต่อการควบคุมดูแลเรื่องความมั่นคง (แต่ปัจจุบันไม่ได้เป็นเช่นนั้นแล้ว มีกระทั่ง Guest House แบบถนนข้าวสารของเรา) แต่ระเบียบบางอย่างยังคงอยู่ เช่น หากเดินทางเข้าเมืองด้วยพาสปอร์ตราชการ (ของไทย เล่มสีน้ำเงิน) จะต้อง Stamp โดยหน่วยราชการที่เราไปเยี่ยมชมหรือไปติดต่อ และรายงานไปยังราชการส่วนกลาง หากไม่มี Stamp ตราประทับดังกล่าวอาจจะมีปัญหากับการตรวจคนเข้าเมืองขาออกได้
เมื่อบริษัทเครดิตอเมริกันแห่งนี้เข้ามาในจีนด้วยความหวังจะเป็นผู้บุกเบิกรายแรก ด้วยความคาดหวังว่าจะเกิดความได้เปรียบในการแข่งขันจากการเข้าตลาดมาเป็นรายแรก (First mover advantage) ก็พยายามทำการตลาดโดยไปช่วยสร้างป้ายทองเหลืองอธิบายประวัติความเป็นมาของโบราณสถานสำคัญๆ ทั่วประเทศจีน และใช้ถ้อยคำเดียวกันกับที่เคยใช้เป็น สโลแกน ของยี่ห้อของตัวเองในสหรัฐอเมริกา โดยไม่ได้ศึกษาให้เข้าใจอย่างถ่องแท้ถึงวัฒนธรรมและประวัติศาสตร์รากเหง้าความคิดจิตใจของชาวจีนที่มีมายาวนานนับพันๆ ปีเสียก่อน คำโฆษณาว่า “Made possible by XXXXXXXX XXXXXXX company” สำหรับคนอเมริกันซึ่งนิยม American Hero ชอบความเป็นปัจเจกนิยม (Individualism) เน้นความสำเร็จ คำพูดทำนองนี้สนับสนุนให้ Ego ของอเมริกันชนเกิดความฮึกเหิม จึงเป็นคำพูดที่นิยม ติดปาก เข้ากันได้ดีกับความคิดจิตใจของคนอเมริกัน
แต่การนำคำพูดดังกล่าวมาใช้ในประเทศจีน กลับทำให้ชาวจีนเกิดความไม่พอใจอย่างรุนแรง แล้วพากันตั้งคำถามว่า โบราณสถานเหล่านี้มีอายุร่วมเจ็ดร้อย แปดร้อยปี สร้างมาโดยบรรพชนชาวจีน ไม่ได้เป็นของที่สร้างให้เป็นไปได้โดย XXXXXXXX XXXXXXX company เสียหน่อย ประกอบกับความรู้สึกหวาดระแวงชาติตะวันตกที่มีมาแต่เดิมทำให้ชาวจีนพากันไม่พอใจ บอกเล่ากันปากต่อปาก สุดท้ายบริษัทบัตรเครดิตอเมริกันแห่งนี้ก็ยังไม่สามารถเข้าตลาดจีนได้จนทุกวันนี้เพราะยี่ห้อ (Brand) เน่าไปแล้วสนิทในสายตาคนจีนทั้งยังมีบริษัทอื่นๆ เกิดขึ้นมาครองตลาดไปแล้วมากมาย นี่เป็นบทเรียนสำคัญยิ่งสำหรับการทำธุรกิจระหว่างประเทศซึ่งต้องคำนึงถึงความแตกต่างทางสังคมวัฒนธรรมประเพณีอันละเอียดอ่อน และต้องปรับตัว ปรับเปลี่ยนให้เข้ากันกับวัฒนธรรมนั้นๆ ได้
จีนนั้นถือว่าตนเป็นชาติเก่าแก่มีความเป็นมาอันยาวนาน เป็นชาติใหญ่ มีประชากรเยอะที่สุดในโลก สมัยก่อนจีนมีความเชื่อด้วยซ้ำไปว่าปักกิ่งเป็นศูนย์กลางของโลก ประเพณีอย่างหนึ่งคือการถวายบรรณาการให้แก่ฮ่องเต้ของจีนที่เรียกว่า จิ้มก้อง นั้นมีมาตั้งแต่โบราณ พ่อค้าวาณิช ผู้ครองเมือง กษัตริย์ประเทศต่างๆ ต่างก็พากันไปจิ้มก้องถวายเครื่องราชบรรณาการที่กรุงปักกิ่งกันทั้งสิ้น การไปจิ้มก้องดังกล่าวจะทำให้ได้รับความสะดวกในการติดต่อราชการต่างๆ ทั้งยังพระราชทานสิ่งของต่างๆ ตอบแทนกลับมาด้วย และให้ความคุ้มครองด้วยซ้ำไป อย่างไรก็ตามการไปจิ้มก้องดังกล่าวทำให้จีนนับว่าบรรดาประเทศที่ไปจิ้มก้องเป็นเมืองประเทศราช แต่ไม่ได้เข้ามายุ่งเกี่ยวในด้านการปกครองหรือมาแสวงหาผลประโยชน์แต่อย่างใด ปล่อยให้ปกครองเป็นอิสระ ไทยเราเองไปจิ้มก้องฮ่องเต้จีนมาตั้งแต่สมัยพ่อขุนรามคำแหงมหาราชที่กรุงสุโขทัย มายกเลิกไปในสมัยรัชกาลที่ 4 นี่เอง
อันที่จริงก็อยากจะสะท้อนให้เห็นว่าจีนนั้นยังถือเรื่องการให้เกียรติ การรักษาหน้า เป็นเรื่องสำคัญมากที่สุด ผู้ที่ไปแบบนบนอบอ่อนน้อม มีโอกาสได้มิตรภาพและผลประโยชน์มากกว่าการไปหาด้วยอีโก้