ASTV ผู้จัดการสุดสัปดาห์ - “RATCHAPRASONG CONSPIRACY” ภาค 3 แล้ว เรื่องราวยังไม่จบ ภาค 4 กำลังเร่งมือถ่ายทำ นี่ไทยต้องรับสภาพความเลวร้ายที่ตามมาจากผลพวงการกลัดกระดุมเม็ดแรกผิด เพราะรัฐบาลทหารดันอยากเอาใจบิ๊กเบิ้มแห่งโลกตะวันออก ส่งผู้หลบหนีเข้าเมืองชาวอุยกูร์ให้กับจีน ไปอีกหลายภาค อย่างนั้น ใช่หรือไม่??
ใช่หรือไม่? ที่เวลานี้ประเทศไทย ตกอยู่ในสภาพกลายเป็นสนามรบของสงครามที่ไม่มีการประกาศระหว่างจีน - สหรัฐฯ โดยมีชาวอูย์กรู ซึ่งมีขบวนการแบ่งแยกดินแดนและเครือข่ายก่อการร้ายหนุนเนื่องอยู่เบื้องหลัง เป็นตัวละครสำคัญ ซึ่งดันมาเลือกเอาไทยเป็นเส้นทางผ่าน
ขอโทษ .... อะไรจะโค ตะ ระ มหาซวย ขนาดนั้น รึว่าความซวยนี้ไม่ได้มาโดยเหตุบังเอิญแต่เป็นเพราะความทะเล่อทะล่าไม่รู้เรื่องของ “พี่ใหญ่” ของเราเองกันแน่?
“เราเตือนแล้วเตือนอีกว่าอย่าทำอย่างนั้น อย่าส่งเขากลับไปให้จีน เพราะที่เห็นเป็นพวกลักลอบเข้าเมืองนี่เป็นแค่ยอดภูเขาน้ำแข็ง” สายของพี่เบิ้มที่กำลังทำสงครามใต้ดินกับกลุ่มไอเอสอยู่ในเวลานี้ส่งสัญญาณแรงชัดบอกล่วงหน้า แบบว่าเราเตือนคุณแล้วนะ
“ถ้าเชื่อเราสักนิด ก็คงไม่เกิดเรื่องลุกลามขนาดนี้ ก็พอรู้ๆ กันอยู่ว่าพวกเขามีเครือข่ายหนุนอยู่ข้างหลัง”
“เราบอกแล้วทางฝ่ายความมั่นคงก็บอก ทางต่างประเทศก็บอก แต่ระดับปฏิบัติงานก็บอกเรากลับมาว่า ทหารเขาไม่ฟังเลย จะให้ทำยังไงได้”
บทสนทนาในแวดวงข่าวกอสซิปของบรรดาหน่วยข่าวกรองบ้างไม่กรองบ้างต่างกระซิบกระซาบกัน ตั้งแต่คราวที่รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ตัดสินใจส่งผู้หลบหนีเข้าเมืองชาวอุยกูย์ 108 คน กลับไปสู่อ้อมอกประเทศจีน เมื่อวันที่ 8 กรกฎาคม 2558 ท่ามกลางเสียงอุทานและเอามือทาบอกของบรรดานักสังเกตการณ์ระหว่างประเทศว่า “โอ้ มายก๊อด....ทำงั้นได้ไง รู้กันบ้างไหมว่าอะไรจะเกิดขึ้นตามมา”
ถ้าไม่ส่งกลับแล้วจะทำอย่างไรได้ ก็พี่เบิ้มเขาขอมา เราก็อยากจะเอาใจเขาหน่อย จุดยืนอยากเอาใจจีนเหลือประมาณนี้ฝังจมลึกอย่างฉับพลันทันทีชนิดขุดไม่ออกนับแต่วินาทีที่รัฐบาลทหารไทยเจอตัวแทนพี่เบิ้มแห่งโลกตะวันตกมาเท้าสะเอวจิกด่าถึงหัวบันไดหน้าบ้าน ประมาณนั้น
เรื่องนี้ ความจริงไม่จำเป็นแต่น้อยที่ไทยต้องเอามือไปซุกหีบ มันมีวิธีอยู่ ใครๆ เขาก็ทำกัน หน่วยงานอย่างสหประชาชาติ หรือยูเอ็น นั่นไง โยนปัญหานี้ไปให้ยูเอ็นตั้งแต่ต้นก็หมดเรื่อง เพราะยูเอ็นถนัดนักในการจัดการกับผู้ลี้ภัย ไม่งั้นคงไม่มีสํานักงานข้าหลวงใหญ่ผู้ลี้ภัยสหประชาชาติ (ยูเอ็นเอชซีอาร์) ที่ทำงานด้านนี้มากว่า 60 ปี และมีสาขาอยู่ทั่วโลกนับร้อยแห่ง เอาไว้เพื่อรับมือกับปัญหานี้โดยเฉพาะ
แต่เป็นเพราะว่า หน่วยงานความมั่นคง หน่วยงานต่างประเทศ ของไทย อาจจะเหม็นขี้หน้ายูเอ็นเอชซีอาร์ เป็นทุนเดิมที่ชอบจุ้นจ้านใช้อำนาจคุ้มครองผู้ลี้ภัยโน่นนี่นั่นแบบเยอะไปหรือเปล่า จึงพากันกีดกันยูเอ็นออกไปนอกวง และจัดการโชว์ฝีมือ แสดงน้ำใจอันล้นเหลือต่อประเทศจีนโดยส่งชาวอุยกูร์ไป จิ้มก้องจีนเป็นเครื่องบรรณาการในศตวรรษที่ 21 จนเป็นเรื่องเป็นราวให้ชวนสงสัยไม่สิ้นกันเสียทีจนถึงตอนนี้ว่า เหตุบึ้มราชประสงค์ มีขบวนการของชาวอุยกูร์อยู่เบื้องหลังเพราะแค้นฝังหุ่นจากเหตุรัฐบาลไทยส่งพรรคพวกของเขาให้จีนไปจัดการนับตั้งแต่ก้าวแรกที่รับตัวโดยเอาถุงครอบหัวขึ้นเครื่องนั่นเลย ใช่หรือไม่ ?
ข้อสงสัยนี้ จะรับก็ไม่ได้เพราะจะเกิดผลเสียหายต่อประเทศชาติ และที่สำคัญคือจะเกิดผลต่อการ “เสียหน้า” ของบรรดาผู้ตัดสินใจส่งชาวอุยกูร์ไปจิ้มก้อง แต่จะปฏิเสธไปก็ไม่เนียน เพราะผู้ต้องหาที่จับกุมมาก็โยงกับขบวนการลักลอบเข้าเมืองของชาวอุยกูร์ใกล้เข้าไปทุกที ดังนั้น การที่จะบอกว่าไม่ใช่ๆ อย่างสิ้นเชิง ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันก็ไม่ได้ เป็นเหตุให้เป็นที่หนักอกหนักใจว่าจับมาแล้วเอาไงต่อดีช้ามาหลายคืนหลายวันแล้วนั่นแหละ
อันที่จริงหากอยากเล่นกับของร้อน ก็น่าศึกษาประวัติศาสตร์สักนิดหนึ่ง รู้ก็รู้กันอยู่ว่ารัฐบาลจีนกับชาวอุยกูร์นั้นเป็นไม้เบื่อไม้เมากันมาข้ามศตวรรษแล้ว ด้วยนโยบาย “เปลี่ยนให้เป็นฮั่น” ที่รัฐบาลจีนต้องการกลืนชาติพันธุ์อุยกูร์ให้หลงเหลือแต่เพียงชื่อและต้องการให้มีแต่เพียง “ต้าฮั่น” เท่านั้นที่ยิ่งใหญ่เหนือแผ่นดินจีน
ขณะที่ชาวอุยกูร์ซึ่งผูกพันกับแผ่นดินบริเวณลุ่มน้ำทาริม หรือมณฑลซินเจียงในปัจจุบัน ต่างซึมซับการปลูกฝังจากรุ่นสู่รุ่นว่า “นี่คือแผ่นดินของพวกเรา เขตแดนของพวกเรา” หาใช่ของชนชาวฮั่นแต่อย่างใดไม่ และในระยะหลังช่วง 70 กว่าปีที่ผ่านมา ชาวมุสลิมอุยกูร์บางส่วนก็ริเริ่มก่อขบวนการแบ่งแยกดินแดนและประกาศจัดตั้งสาธารณรัฐ “เตอร์กิสถานตะวันออก” ขึ้นมา เคลื่อนไหวก่อความไม่สงบทั้งในและนอกมณฑลซินเจียง และกลายเป็นหนามทิ่มแทงใจรัฐบาลจีนจนบัดนี้
หากรัฐบาลทหารไทย ตระหนักสักนิดว่า กลุ่มเคลื่อนไหวแบ่งแยกดินแดนในซินเจียง ที่มีหัวหอกคือกลุ่มอิสลามเตอร์กีสถานตะวันออก (East Turkistan Independence Movement - ETIM) ซึ่งทั้งจีน สหรัฐฯ และสหประชาชาติ ขึ้นบัญชีดำ ETIM เป็นลัทธิก่อการร้าย ก็ย่อมจะระมัดระวังในการจัดการกับชาวอุยกูร์ที่ลักลอบเข้าเมืองผิดกฎหมายไม่ให้เป็นชนวนเหตุที่จะนำมาซึ่งความไม่สงบบนผืนแผ่นดินไทยในภายภาคหน้า อย่าลืมว่าชาวอุยกูร์ ไม่ใช่ชาวโรฮีนจา ที่ใครๆ ก็ไม่รัก และไม่มีขบวนการก่อการร้ายหนุนหลัง ที่คิดจะรีดไถหรือผลักไสไล่ส่งยังไงก็ได้
อีกประการหนึ่งที่ต้องไม่ลืมก็คือ การตอบโต้ของพวกอุยกูร์นั้นเป็นประเภทยิ่งปราบเหมือนยิ่งยุ ตัวอย่างก็เห็นมาแล้ว ยิ่งผู้นำจีนระดมกำลังคุมเข้ม พวกก็ก่อความไม่สงบรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ อย่างที่ พาน จื้อผิง ผู้เชี่ยวชาญด้านลัทธิก่อการร้ายที่สถาบันการศึกษาสังคมศาสตร์ซินเจียง ให้ความเห็นว่า “กลุ่มก่อการร้ายได้ใช้ทุกวิถีทางที่จะแผ่ขยายความตื่นตระหนกในสังคม...ทั่วประเทศจีน”
และอย่างที่เห็นกันแล้วว่าทันทีที่รัฐบาลทหารไทยส่งชาวอุยกูร์ให้รัฐบาลจีน พวกพ้องของเขาก็ประท้วงบุกทุบทำลายข้าวของที่สถานกงสุลไทยที่อิสตันบูล ประเทศตุรกี เพราะชาวเติร์กที่นั่นไม่พอใจการกระทำของรัฐบาลไทย
“RATCHAPRASONG CONSPIRACY” ที่เดินมาถึงภาค 4 แล้ว และกำลังเริ่มภาค 5 ถามว่า พอเกิดปัญหาขึ้นมาและพัวพันไปถึงขบวนการของชาวอุยกูร์ รัฐบาลจีน ยื่นมือเข้ามาช่วยเหลืออะไรบ้าง สหรัฐฯ ซึ่งอวดโอ่ตัวเองว่าเป็นตำรวจโลก เข้ามาช่วยเหลืออะไรบ้าง ก็ต้องบอกว่า มหามิตร มหาอำนาจทั้งสองฟากฝั่งต่างเงียบเป็นเป่าสาก คำร้องขอของตำรวจไทยที่ขอให้ตำรวจสากลช่วยติดตามจับกุมผู้ต้องสงสัยได้รับการตอบสนองราวกับการโยนหินลงมหาสมุทรที่ไม่มีแม้แต่คลื่นกระทบฝั่ง
นี่เป็นค่าตอบแทน เป็นราคาที่ต้องจ่ายของไทยสำหรับการเป็นมหามิตรที่ดีของจีน ส่วนมหามิตรสหรัฐอเมริกา ที่ไม่ชอบใจนักกับท่าทีอี๋อ๋อจีนจนออกหน้าของรัฐบาลไทยก็คงได้แต่อมยิ้มและคงอยากจะบอกว่า “เราเตือนคุณแล้ว”
อย่างไรก็ตาม เรื่องที่เกิดขึ้น คงไม่ทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับจีนกลายเป็นรักขม แต่กระนั้นสำหรับสหรัฐฯ คงแอบสะใจอยู่ลึกๆ เรื่องนี้ ว่างๆ นักยุทธศาสตร์ของไทย น่าจะเชิญอาจารย์สมเกียรติ โอสถสภา อดีตอาจารย์คณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ที่ยังติดตามเกมการเมืองระหว่างประเทศของสองมหาอำนาจ ไปช่วย “ปรับทัศนคติ” ของฝ่ายทหารและฝ่ายความมั่นคงบ้าง จะได้เท่าทันสงครามโลกยุคใหม่
ตัวอย่างเล็กๆ ที่อาจารย์สมเกียรติ เคยวิเคราะห์เอาไว้เมื่อวันที่ 11 กรกฎาคม 2558 หลังจากรัฐบาลไทยส่งชาวอุยกูร์ให้จีนนั้น น่าสนใจไม่น้อย ในหัวข้อ “ตุรกี อุยกูร์ ไทย อาเซียน ในสถานการณ์สงครามสหรัฐ -จีน” ที่อาจารย์สมเกียรติ โฟสต์ผ่านเฟซบุ๊ค มีความตอนหนึ่งว่า “นักยุทธศาสตร์นั้นจะชอบอ่านประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม ชาติพันธุ์ ศาสนา อเมริกาสร้างยุทธศาสตร์จากเรื่องราวเหล่านี้ จึงเอาเติร์กมาชนกับจีน ถ้าอุยกูร์สิบล้านคน ติดอาวุธเมื่อใด จีนป่วน เพราะในจีนมีชนเผ่ามากมาย ที่รัฐบาลกลางมีเงินดูแลไม่เพียงพอ จนต้องใช้สำรองเงินตรามาใช้จ่าย ต้องการให้จีนแตกว่างั้นเถอะ จะได้ลดอำนาจลง
“การรีบประกาศสนับสนุนอุยกูร์ก็เพื่อดึงแฟนคลับของตุรกีย่านนี้ เช่น บังกลาเทศ ปากีสถาน อุซเบกิสถาน อัฟกานิสถาน เติร์กเมนิสถาน และชาวเติร์กทั่วโลกสิบล้านมาอัดจีน ที่ซินเกียงมีอุยกูร์ราวสิบล้านคน อิสตันบูล เป็นฐานสนับสนุนการสร้างรัฐใหม่ของชาวอุยกูร์มาเกือบ 70 ปีแล้ว มีชาวอุยกูร์อยู่สักสองหมื่น พวกที่อพยพไปราวเจ็ดพัน ที่เหลือเกิดในตุรกี สมัยก่อนพวกอพยพไปทางอัฟกานิสถาน จีนถูกทำร้าย ทำลายผลประโยชน์ในตุรกีมานานแล้ว เผาร้านคนจีนเป็นปกติ
“การที่อเมริการีบประกาศโจมตีพร้อม UNHCR รัฐบาลตุรกี ตอนนี้มีอียูด้วย ก็เพื่อดึงมุสลิมสายอื่นๆ มาอัดจีนด้วย เรียกว่ากะจะโจมตีผลประโยชน์จีนทั่วโลก และดึงกำลังมุสลิมทั่วโลกมาเล่นงานจีน แก้เกมไม่ได้เจอศึกหนักแน่ ...
“งานนี้อเมริกาตั้งใจโยนขี้ให้ไทยเต็มๆ เลวมาก ท่านสุภาพบุรุษแห่งถนนวิทยุ
“ทำแบบนี้ อเมริกาและยุโรปต้องการให้มุสลิมลดความเกลียดชังพวกตนลง ให้ความขัดแย้งระหว่างผิวขาวกับมุสลิม กลายเป็นความขัดแย้งระหว่างผิวขาว บวกมุสลิม ชนกับจีน ลึกซึ้งนะครับ....”
ดังนั้น จงอย่าแปลกใจที่ “RATCHAPRASONG CONSPIRACY” มหามิตรจีนก็เงียบ มหามิตรอเมริกาก็เงียบ ปล่อยให้ตำรวจไทยมั่วปมอุยกูร์โยงเหตุการณ์บึ้ม สลับฉากกับการออกมาวางระเบิดส่วยตำรวจตรวจคนเข้าเมือง (ตม.) ของ “บิ๊กอ๊อด” พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ผบ.ตร. นายตำรวจใหญ่ใกล้วันเกษียน ที่แฉ ตม. ปล่อยให้ผู้ต้องสงสัยเข้าออกนอกราชอาณาจักรไทยยังกะเดินเข้าออกห้างสรรพสินค้าเพราะเห็นแก่ค่าอามิสสินจ้าง
เรื่องราวเหตุการณ์ร้ายแรงยังสับสน ปมขัดแย้งแม้จะเริ่มกระจ่างแต่ดูเหมือนยังมีคนอยากทำให้คลุมเครือต่อไป แรงจูงใจที่อยู่เบื้องหลังยังมืดมน จอมบงการยังไม่เปิดเผยโฉมหน้า .... ดังที่ พล.ต.อ.สมยศกล่าวเอาไว้ราวกับแผ่นเสียงตกร่องว่า “มันไม่ใช่ก่อการร้ายข้ามชาติ มันเป็นเหตุก่อความรุนแรง แต่ไม่เชื่อมโยงก่อการร้ายข้ามชาติ การก่อการร้ายข้ามชาติจะต้องมีประเด็นหรือเงื่อนไขที่บอกว่าเป็นการก่อการร้ายข้ามชาติ จะต้องมีองค์กรและกระบวนการ”
ขณะที่สำนักข่าวบีบีซีรายงานว่า หนึ่งในผู้ร่วมขบวนการซึ่งเป็นผู้ต้องสงสัยคนสำคัญในเหตุระเบิดแยกราชประสงค์เมื่อเดือนสิงหาคมที่ผ่านมาเป็น “คนจีน” โดยเจ้าหน้าที่ของทั้งจีนและไทยต่างรายงานตรงกันว่า นายไมไรลี ยูซุฟู เกิดที่มณฑลซินเจียง ดินแดนที่มีชนกลุ่มน้อยชาวมุมลิมอุยกูร์อาศัยอยู่ เจ้าหน้าที่ของจีนให้สัมภาษณ์หนังสือพิมพ์เดอะโกลบอล ไทมส์ว่า เหตุระเบิดที่เกิดขึ้นอาจเป็นฝีมือของกลุ่มแบ่งแยกดินแดนในซินเจียง ซึ่งจนถึงขณะนี้ก็ยังไม่มีกลุ่มใดออกประกาศความรับผิดชอบ แต่ทางตำรวจไทยบอกว่า นายยูซุฟูอยู่ในกลุ่มขบวนการที่รับผิดชอบเหตุระเบิด หนังสือพิมพ์เดอะโกลบอลไทมส์รายงานอีกว่า นายยูซุฟูเป็นคนของกลุ่มขบวนการอีสต์ เติร์กสถาน อิสลาอิก กลุ่มแบ่งแยกดินแดนที่ปฏิบัติการอยู่ในมณฑลซินเจียงทางตะวันตกของจีน
ดังนั้น โปรดติดตาม “RATCHAPRASONG CONSPIRACY” ภาค 5 ตอนต่อไปด้วยใจระทึก