หลังจากที่เราว่ากันที่ซีรีย์เรื่องยาว เกี่ยวกับการบินไทยไปแล้ว ก็กลับมาสู่เรื่องของการบ้านการเมืองต่อไป
ในเรื่องการเมืองก็คงไม่มีอะไร นอกจากการจับตามองร่างรัฐธรรมนูญฉบับสุดท้ายที่สภาปฏิรูปส่งต่อให้สภา สปช.ไปพิจารณาว่าจะลงมติรับหรือไม่รับ
และถ้ารับก็จะได้เอามาให้ประชาชนลงประชามติต่อ และไม่ใช่แค่ประชามติว่าด้วยเรื่องจะรับหรือไม่รับรัฐธรรมนูญเท่านั้น แต่จะรวมถึงประชามติว่าด้วย “คำถามเพิ่มเติม” ที่ สปช. และ สนช.จะถามประชาชนผ่านการประชามตินี้อีกด้วย
ซึ่งความชัดเจนก็จะต้องรอวันที่ 6 หรือวันอาทิตย์นี้ ที่จะเป็นวันนัดลงมติของ สนช.กันครับ ซึ่งเมื่อถึงตอนนั้นมีความชัดเจน เราคงได้ว่ากันเรื่องนี้ต่อไป
ต่อมาเรื่องสะเทือนขวัญของคนไทยทั้งประเทศ คือเหตุการณ์ก่อความรุนแรงที่ศาลท้าวมหาพรหม แยกราชประสงค์ ก็เข้าสู่การรุกฆาต ได้เห็นตัวคนร้ายและเครือข่ายที่ชัดเจนประมาณหนึ่งแล้ว ทั้งที่จับได้แล้ว และที่ออกหมายจับรอไว้ ซึ่งต้องชมเชยทางตำรวจ ทหาร ฝ่ายความมั่นคงว่า เก่งมากที่เหมือนจะทำท่างมเข็มในมหาสมุทรในช่วงแรก แต่ในที่สุดก็สืบสวนหาข่าวจนกระทั่งตามเจอได้ในที่สุด
น่าคิดว่า ที่หลายฝ่ายคาดเก็งกันว่า ผู้ก่อเหตุน่าจะหนีออกนอกประเทศไปตั้งแต่ก่อเหตุเสร็จแล้วก็ไม่จริง พวกเขายังกบดานอยู่ แม้แต่ผู้ที่คาดหมายว่าเป็นมือระเบิดเอง จะมาคิดหนีเอาก็ไม่ถึงวันสองวันนี้เอง
อันที่จริงแล้ว ที่เขาก่อเหตุใหญ่กันขนาดนั้นยังกล้าอยู่กันต่อ นี่เป็นเรื่องน่ากลัว
ทั้งน่ากลัวว่า มีแผนการหรือเป้าหมายขั้นที่สองที่สามต่อไปอีกไหม และทั้งน่ากลัวว่า หรือเขาจะกบดานกันเป็นที่พักพิงถาวร โดยไม่ต้องกลัวฝ่ายผู้รักษากฎหมายของทางไทยเลย
แม้ว่าทางการจะยังไม่ให้สรุปว่า เป็นเรื่องของชาวอุยกูร์หรือไม่ หรือผู้ก่อเหตุจะมีสัญชาติใด เพราะคนพวกนี้มีพาสปอร์ตปลอมกันเป็นปึกๆ ดังนั้นไอ้ที่ยึดได้ที่ตัวนั้นจะเป็นของจริงของปลอมก็ไม่รู้ได้
ส่วนเรื่องพูดภาษาตุรกีนั้นก็ไม่แปลก จะเหมาว่าเป็นชาวตุรกีไม่ได้ เพราะจริงๆ แล้ว ผู้คนที่มีเชื้อสาย “เติร์ก” นั้นกระจายกันอยู่ทั่วไปในเอเชียกลาง และทางยุโรป พูดภาษาในตระกูลเดียวกัน คือภาษาเติร์กกิช ที่มีความใกล้เคียงกัน ชาวอุยกูร์นั้นก็เป็นชาวเติร์กกลุ่มหนึ่ง ที่อาศัยอยู่ในซินเกียงที่อยู่บริเวณเทือกเขาอัลไต (ที่เคยเชื่อกันว่าเป็นที่มาของคนไทยนั่นแหละครับ)
ดังนั้นเรื่องการพิสูจน์เชื้อชาติสัญชาติก็คงต้องว่ากันไป ส่วนที่ว่า แรงจูงใจของการก่อเหตุคืออะไรนั้น ก็ยังยากที่จะสรุป แต่ก็มีน้ำหนักความเป็นไปได้ว่าเป็นการแก้แค้นและข่มขู่ที่ทางการไทยเคยส่งชาวอุยกูร์กลับไปให้รัฐบาลจีน ซึ่งในตอนนั้น ทั่วโลก รวมทั้งคนไทยบางส่วนที่คลั่งสิทธิมนุษยชนก็ออกมาประณามทางการไทย แต่ถ้าเรื่องมันกลายเป็นว่า การก่อความรุนแรงวางระเบิดแยกราชประสงค์ครั้งนี้ เกิดจากเหตุจูงใจดังกล่าวจริง ก็หมายความว่า ที่ทางการจีนระบุให้ทางการไทยส่งผู้อพยพที่ต้องการตัวกลับไปเพื่อดำเนินคดีก่อการร้ายนั้นก็เท่ากับเป็นเรื่องจริงที่มีมูลไป
หรือไม่ใช่อะไร อาจจะแค่แก๊งค้ามนุษย์รับพาคนข้ามแดนไปยังประเทศที่สาม ต้องการจะข่มขู่ไทยไม่ให้ส่งคนของพวกเขาที่ถูกจับได้กลับไปให้ทางการจีนอีก
แต่ไม่ว่าจะทางไหน หากเรื่องนี้เชื่อมโยงถึงกรณีผู้อพยพอุยกูร์ได้จริง ก็เท่ากับพิสูจน์ว่าการที่ทางการไทยเลือกส่งคนกลุ่มนี้ให้ทางการจีน และการจัดการของจีนที่กระทำต่อผู้ส่งตัวกลับเหมือนผู้ต้องหาหรือผู้ก่อการร้าย ที่ต้องมีการควบคุมตัวอย่างแน่นหนานั้นเป็นเรื่องที่ถูกต้อง
เหตุการณ์นี้ ส่งผลให้คนไทยเราตระหนักถึงความ “ไม่ปลอดภัย” อย่างแท้จริง จากชาวต่างชาติที่ปะปนอยู่กับเราโดยเราไม่รู้จักพวกเขาเท่าไรนัก
เพราะนี่ถือเป็นครั้งแรก ที่ประเทศไทย และคนไทยถูกปองร้ายจากผู้ก่อความรุนแรงจากต่างชาติ แม้ว่าเดิมนั้นประเทศไทยเคยมีเหตุการณ์พยายามวางระเบิดสถานทูตต่างชาติ หรือการก่อการร้ายเข้ายึดสถานทูต ยึดโรงพยาบาลบ้าง แต่ในครั้งก่อนหน้านั้น เป็นเพียงการต่อสู้กันของคู่ขัดแย้งกันเองของแต่ละชาติ หรือในชาติเดียวกัน เพียงแค่ประเทศไทยเป็นเวทีแบบจำยอม
ก่อนหน้านี้ยังไม่มีครั้งไหนที่ประเทศไทยเป็น “เป้า” จริงๆ จนกระทั่งเมื่อเกิดเหตุที่แยกราชประสงค์นี่แหละครับ
การจับกุมเครือข่ายผู้ก่อเหตุได้นี้ ทำให้เราได้รู้ว่า ยังมีชาวต่างชาติที่เราไม่รู้จักกบดานอยู่ในประเทศไทย ใต้จมูกเราอีกกลุ่มหนึ่ง นอกเหนือจากแรงงานต่างด้าวที่เรารู้จักกันแล้ว หรือชาวแอฟริกันที่เราอาจจะคุ้นหน้าคุ้นตา จากการที่มาเป็นนักฟุตบอลบ้าง มาทำการค้าธุรกิจเสื้อผ้า อัญมณี หรือมาสอนภาษาบ้าง
อย่างไรก็ตาม ชาวต่างชาติบางกลุ่มก็อาจจะเป็นกลุ่มอาชญากรรมได้เหมือนกัน เช่น แก๊งโจรกรรมชาวแขกขาว หรือแก๊งคนดำที่ต้มตุ๋นผ่านอินเทอร์เน็ต หรือแก๊งคอลเซ็นเตอร์ชาวจีน
คนต่างด้าวมิจฉาชีพเหล่านี้เข้ามาประเทศไทยได้อย่างง่ายดายสะดวก เพราะนโยบายเปิดรับชาวต่างชาติมาท่องเที่ยว ไม่ต้องมีวีซ่า หรือออกวีซ่าเมื่อมาถึง และคนไทยเราก็มักจะใจดีกับคนต่างชาติเสียเป็นส่วนใหญ่
เป็นจุดอ่อนสำคัญ ซึ่งเมื่อเรื่องการก่อเหตุรุนแรงย่านราชประสงค์นี้แดงขึ้นมา เราถึงได้ทราบว่า พวกเขามาฝังตัวกันอยู่นานนับเดือนนับปีแล้ว ถึงขนาดเรียกว่าตั้งโรงงานผลิตอาวุธและระเบิดขนาดย่อมๆ กันเลย ที่เขตหนองจอก ในกรุงเทพฯ นี่เอง!
และเราก็ยังไม่รู้ว่า ยังมีอะไรซ่อนอยู่ใต้พรมอีก อย่างชาวแอฟริกันผิวดำที่อยู่กันเยอะมากแถวรามคำแหงหรือถนนศรีนครินทร์ เขามาทำอะไรกันบ้าง มาประกอบสัมมาอาชีพกันทั้งหมดเลยหรือไม่
ต่อไปนี้ ทางตำรวจและฝ่ายความมั่นคง ควรจะต้องเอาธุระกับบรรดาคนต่างชาติที่มาอาศัยอยู่ในประเทศไทยกันให้มากขึ้น อย่างน้อยต้องรู้ว่าในท้องที่ของตนนั้น มีชาวต่างชาติสัญชาติใดอยู่บ้าง ยิ่งถ้าเยอะถึงขนาดรวมตัวกันเป็นชุมชนนี่ยิ่งต้องจับตา
และต้องมีข้อมูลด้วยว่า พวกเขามาทำอะไรกัน มีรายได้หรือไม่ มีการโอนหรือรับส่งเงินจากแหล่งทุนใด มีการติดต่อกับใครอย่างไรบ้าง
ไม่ใช่อย่างที่เกิดขึ้น ขนาดว่ามีเหตุวางระเบิดก่อความรุนแรงแล้วนะครับ สั่งให้ตำรวจท้องที่ไปสแกนทุกตารางนิ้ว แต่ปรากฏว่าท้องที่คือ สน.มีนบุรี-หนองจอก ไม่รู้เรื่อง ไม่มีรายงานว่ามีชาวต่างชาติเลยเล่นเอาโดนย้ายโรงพักล้างบางกันไป
หวังว่าต่อไปคงไม่มีเช่นนี้อีก และควรกำหนดเป็นนโยบายไปเลยว่า ทุกพื้นที่ของตำรวจ จะต้องมีฐานข้อมูลชาวต่างชาติที่จำเป็นเอาไว้ เพื่อจะได้ตรวจสอบหรือดำเนินการอะไรๆ ได้ทันท่วงที เพื่อไม่ให้ประเทศไทยกลายเป็นโรงแรมที่พำนักของอาชญากรหรือนักก่อความรุนแรง.
ในเรื่องการเมืองก็คงไม่มีอะไร นอกจากการจับตามองร่างรัฐธรรมนูญฉบับสุดท้ายที่สภาปฏิรูปส่งต่อให้สภา สปช.ไปพิจารณาว่าจะลงมติรับหรือไม่รับ
และถ้ารับก็จะได้เอามาให้ประชาชนลงประชามติต่อ และไม่ใช่แค่ประชามติว่าด้วยเรื่องจะรับหรือไม่รับรัฐธรรมนูญเท่านั้น แต่จะรวมถึงประชามติว่าด้วย “คำถามเพิ่มเติม” ที่ สปช. และ สนช.จะถามประชาชนผ่านการประชามตินี้อีกด้วย
ซึ่งความชัดเจนก็จะต้องรอวันที่ 6 หรือวันอาทิตย์นี้ ที่จะเป็นวันนัดลงมติของ สนช.กันครับ ซึ่งเมื่อถึงตอนนั้นมีความชัดเจน เราคงได้ว่ากันเรื่องนี้ต่อไป
ต่อมาเรื่องสะเทือนขวัญของคนไทยทั้งประเทศ คือเหตุการณ์ก่อความรุนแรงที่ศาลท้าวมหาพรหม แยกราชประสงค์ ก็เข้าสู่การรุกฆาต ได้เห็นตัวคนร้ายและเครือข่ายที่ชัดเจนประมาณหนึ่งแล้ว ทั้งที่จับได้แล้ว และที่ออกหมายจับรอไว้ ซึ่งต้องชมเชยทางตำรวจ ทหาร ฝ่ายความมั่นคงว่า เก่งมากที่เหมือนจะทำท่างมเข็มในมหาสมุทรในช่วงแรก แต่ในที่สุดก็สืบสวนหาข่าวจนกระทั่งตามเจอได้ในที่สุด
น่าคิดว่า ที่หลายฝ่ายคาดเก็งกันว่า ผู้ก่อเหตุน่าจะหนีออกนอกประเทศไปตั้งแต่ก่อเหตุเสร็จแล้วก็ไม่จริง พวกเขายังกบดานอยู่ แม้แต่ผู้ที่คาดหมายว่าเป็นมือระเบิดเอง จะมาคิดหนีเอาก็ไม่ถึงวันสองวันนี้เอง
อันที่จริงแล้ว ที่เขาก่อเหตุใหญ่กันขนาดนั้นยังกล้าอยู่กันต่อ นี่เป็นเรื่องน่ากลัว
ทั้งน่ากลัวว่า มีแผนการหรือเป้าหมายขั้นที่สองที่สามต่อไปอีกไหม และทั้งน่ากลัวว่า หรือเขาจะกบดานกันเป็นที่พักพิงถาวร โดยไม่ต้องกลัวฝ่ายผู้รักษากฎหมายของทางไทยเลย
แม้ว่าทางการจะยังไม่ให้สรุปว่า เป็นเรื่องของชาวอุยกูร์หรือไม่ หรือผู้ก่อเหตุจะมีสัญชาติใด เพราะคนพวกนี้มีพาสปอร์ตปลอมกันเป็นปึกๆ ดังนั้นไอ้ที่ยึดได้ที่ตัวนั้นจะเป็นของจริงของปลอมก็ไม่รู้ได้
ส่วนเรื่องพูดภาษาตุรกีนั้นก็ไม่แปลก จะเหมาว่าเป็นชาวตุรกีไม่ได้ เพราะจริงๆ แล้ว ผู้คนที่มีเชื้อสาย “เติร์ก” นั้นกระจายกันอยู่ทั่วไปในเอเชียกลาง และทางยุโรป พูดภาษาในตระกูลเดียวกัน คือภาษาเติร์กกิช ที่มีความใกล้เคียงกัน ชาวอุยกูร์นั้นก็เป็นชาวเติร์กกลุ่มหนึ่ง ที่อาศัยอยู่ในซินเกียงที่อยู่บริเวณเทือกเขาอัลไต (ที่เคยเชื่อกันว่าเป็นที่มาของคนไทยนั่นแหละครับ)
ดังนั้นเรื่องการพิสูจน์เชื้อชาติสัญชาติก็คงต้องว่ากันไป ส่วนที่ว่า แรงจูงใจของการก่อเหตุคืออะไรนั้น ก็ยังยากที่จะสรุป แต่ก็มีน้ำหนักความเป็นไปได้ว่าเป็นการแก้แค้นและข่มขู่ที่ทางการไทยเคยส่งชาวอุยกูร์กลับไปให้รัฐบาลจีน ซึ่งในตอนนั้น ทั่วโลก รวมทั้งคนไทยบางส่วนที่คลั่งสิทธิมนุษยชนก็ออกมาประณามทางการไทย แต่ถ้าเรื่องมันกลายเป็นว่า การก่อความรุนแรงวางระเบิดแยกราชประสงค์ครั้งนี้ เกิดจากเหตุจูงใจดังกล่าวจริง ก็หมายความว่า ที่ทางการจีนระบุให้ทางการไทยส่งผู้อพยพที่ต้องการตัวกลับไปเพื่อดำเนินคดีก่อการร้ายนั้นก็เท่ากับเป็นเรื่องจริงที่มีมูลไป
หรือไม่ใช่อะไร อาจจะแค่แก๊งค้ามนุษย์รับพาคนข้ามแดนไปยังประเทศที่สาม ต้องการจะข่มขู่ไทยไม่ให้ส่งคนของพวกเขาที่ถูกจับได้กลับไปให้ทางการจีนอีก
แต่ไม่ว่าจะทางไหน หากเรื่องนี้เชื่อมโยงถึงกรณีผู้อพยพอุยกูร์ได้จริง ก็เท่ากับพิสูจน์ว่าการที่ทางการไทยเลือกส่งคนกลุ่มนี้ให้ทางการจีน และการจัดการของจีนที่กระทำต่อผู้ส่งตัวกลับเหมือนผู้ต้องหาหรือผู้ก่อการร้าย ที่ต้องมีการควบคุมตัวอย่างแน่นหนานั้นเป็นเรื่องที่ถูกต้อง
เหตุการณ์นี้ ส่งผลให้คนไทยเราตระหนักถึงความ “ไม่ปลอดภัย” อย่างแท้จริง จากชาวต่างชาติที่ปะปนอยู่กับเราโดยเราไม่รู้จักพวกเขาเท่าไรนัก
เพราะนี่ถือเป็นครั้งแรก ที่ประเทศไทย และคนไทยถูกปองร้ายจากผู้ก่อความรุนแรงจากต่างชาติ แม้ว่าเดิมนั้นประเทศไทยเคยมีเหตุการณ์พยายามวางระเบิดสถานทูตต่างชาติ หรือการก่อการร้ายเข้ายึดสถานทูต ยึดโรงพยาบาลบ้าง แต่ในครั้งก่อนหน้านั้น เป็นเพียงการต่อสู้กันของคู่ขัดแย้งกันเองของแต่ละชาติ หรือในชาติเดียวกัน เพียงแค่ประเทศไทยเป็นเวทีแบบจำยอม
ก่อนหน้านี้ยังไม่มีครั้งไหนที่ประเทศไทยเป็น “เป้า” จริงๆ จนกระทั่งเมื่อเกิดเหตุที่แยกราชประสงค์นี่แหละครับ
การจับกุมเครือข่ายผู้ก่อเหตุได้นี้ ทำให้เราได้รู้ว่า ยังมีชาวต่างชาติที่เราไม่รู้จักกบดานอยู่ในประเทศไทย ใต้จมูกเราอีกกลุ่มหนึ่ง นอกเหนือจากแรงงานต่างด้าวที่เรารู้จักกันแล้ว หรือชาวแอฟริกันที่เราอาจจะคุ้นหน้าคุ้นตา จากการที่มาเป็นนักฟุตบอลบ้าง มาทำการค้าธุรกิจเสื้อผ้า อัญมณี หรือมาสอนภาษาบ้าง
อย่างไรก็ตาม ชาวต่างชาติบางกลุ่มก็อาจจะเป็นกลุ่มอาชญากรรมได้เหมือนกัน เช่น แก๊งโจรกรรมชาวแขกขาว หรือแก๊งคนดำที่ต้มตุ๋นผ่านอินเทอร์เน็ต หรือแก๊งคอลเซ็นเตอร์ชาวจีน
คนต่างด้าวมิจฉาชีพเหล่านี้เข้ามาประเทศไทยได้อย่างง่ายดายสะดวก เพราะนโยบายเปิดรับชาวต่างชาติมาท่องเที่ยว ไม่ต้องมีวีซ่า หรือออกวีซ่าเมื่อมาถึง และคนไทยเราก็มักจะใจดีกับคนต่างชาติเสียเป็นส่วนใหญ่
เป็นจุดอ่อนสำคัญ ซึ่งเมื่อเรื่องการก่อเหตุรุนแรงย่านราชประสงค์นี้แดงขึ้นมา เราถึงได้ทราบว่า พวกเขามาฝังตัวกันอยู่นานนับเดือนนับปีแล้ว ถึงขนาดเรียกว่าตั้งโรงงานผลิตอาวุธและระเบิดขนาดย่อมๆ กันเลย ที่เขตหนองจอก ในกรุงเทพฯ นี่เอง!
และเราก็ยังไม่รู้ว่า ยังมีอะไรซ่อนอยู่ใต้พรมอีก อย่างชาวแอฟริกันผิวดำที่อยู่กันเยอะมากแถวรามคำแหงหรือถนนศรีนครินทร์ เขามาทำอะไรกันบ้าง มาประกอบสัมมาอาชีพกันทั้งหมดเลยหรือไม่
ต่อไปนี้ ทางตำรวจและฝ่ายความมั่นคง ควรจะต้องเอาธุระกับบรรดาคนต่างชาติที่มาอาศัยอยู่ในประเทศไทยกันให้มากขึ้น อย่างน้อยต้องรู้ว่าในท้องที่ของตนนั้น มีชาวต่างชาติสัญชาติใดอยู่บ้าง ยิ่งถ้าเยอะถึงขนาดรวมตัวกันเป็นชุมชนนี่ยิ่งต้องจับตา
และต้องมีข้อมูลด้วยว่า พวกเขามาทำอะไรกัน มีรายได้หรือไม่ มีการโอนหรือรับส่งเงินจากแหล่งทุนใด มีการติดต่อกับใครอย่างไรบ้าง
ไม่ใช่อย่างที่เกิดขึ้น ขนาดว่ามีเหตุวางระเบิดก่อความรุนแรงแล้วนะครับ สั่งให้ตำรวจท้องที่ไปสแกนทุกตารางนิ้ว แต่ปรากฏว่าท้องที่คือ สน.มีนบุรี-หนองจอก ไม่รู้เรื่อง ไม่มีรายงานว่ามีชาวต่างชาติเลยเล่นเอาโดนย้ายโรงพักล้างบางกันไป
หวังว่าต่อไปคงไม่มีเช่นนี้อีก และควรกำหนดเป็นนโยบายไปเลยว่า ทุกพื้นที่ของตำรวจ จะต้องมีฐานข้อมูลชาวต่างชาติที่จำเป็นเอาไว้ เพื่อจะได้ตรวจสอบหรือดำเนินการอะไรๆ ได้ทันท่วงที เพื่อไม่ให้ประเทศไทยกลายเป็นโรงแรมที่พำนักของอาชญากรหรือนักก่อความรุนแรง.