ASTV ผู้จัดการสุดสัปดาห์ -ภายหลัง “กองกำลังบูรพา” รวบตัว “นายมิราลลี ยูซูฟู” ผู้ต้องสงสัยว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับเหตุวินาศกรรมบริเวณศาลพระพรหมเอราวัณ สี่แยกราชประสงค์เมื่อวันที่ 17 สิงหาคม 2558 ณ จุดตรวจความมั่นคงทหารและตำรวจ พื้นที่บ้านป่าไร่ ต.ป่าไร่ อ.อรัญประเทศ จ.สระแก้ว ซึ่งอยู่ห่างจากชายแดนไทยไทย-กัมพูชา 500 เมตร เมื่อวันที่ 31 สิงหาคม 2558 พร้อมกับศาลจังหวัดมีนบุรีอนุมัติหมายจับผู้ต้องหาชาวตุรกีออกมาเป็นระลอกๆ โดยล่าสุดเมื่อวันที่ 2 กันยายน 2558 คือ “นายเอ็มระห์ ดาวูโตกลู” สามีของ “น.ส.วรรณา สวนสัน” ซึ่งถูกออกหมายจับไปก่อนหน้านี้
ทำให้สังคมเริ่มจะโน้มเอียงแทบจะร้อยเปอร์เซ็นต์แล้วว่า เหตุระเบิดน่าจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับปมของ “ความไม่พอใจ” อันเป็นผลพวงจากการที่รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ตัดสินใจส่ง “ชาวอุยกูร์” ร่วม 100 คนที่หลบหนีเข้ามายังประเทศไทยกลับไปให้ประเทศจีนเมื่อวันที่ 8 กรกฎาคมปีเดียวกัน
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) เอ่ยปากยอมรับด้วยตัวเองว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องอุยกูร์
แต่คำถามสำคัญคือ นี่ใช่เป็น “ปมความขัดแย้งส่วนตัว” ไม่ใช่ “การก่อการร้ายข้ามชาติ” ดังที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติภายใต้การนำของ พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง และ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีชี้แจงหรือไม่
“มีหลายสาเหตุ ทุกสาเหตุมีความเป็นไปได้ทั้งสิ้น ต้องรอให้มีความชัดเจน ไม่อยากให้ด่วนสรุปหรือตัดประเด็นใดทิ้งไป แต่อย่างที่ผมย้ำมาตลอดดคือผมมีความมั่นใจว่า กรณีนี้ไม่เกี่ยวข้องกับการก่อการร้ายเด็ดขาด”พล.ต.อ.สมยศยืนยันและตอกย้ำแทบจะทุกครั้งที่ให้สัมภาษณ์
เพราะไม่ว่าจะมองมุมไหนก็ดูไม่ออกว่า ปมความแค้นส่วนตัวของขบวนการพาสปอร์ตปลอมอุยกูร์จะโมโหโกรธาถึงขั้นก่อวินาศกรรมที่ราชประสงค์
ที่สำคัญคือสังคมยังสงสัยถึงถ้อยกระทงความที่ พล.ต.ท.ประวุฒิ ถาวรศิริ โฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ประกาศชัดแจ้งสอดคล้องกับ “บิ๊กอ๊อด” ผู้เป็นลูกพี่ใหญ่ว่า ไม่ใช่เรื่องเกี่ยวกับการก่อการร้าย หากแต่เป็นความแค้นส่วนตัวซึ่งเกิดจากการที่เจ้าหน้าที่เคยทลายแก๊งปลอมพาสปอร์ตปลอมก่อนหน้านี้ จริงหรือ
“อาจเป็นกลุ่มที่อาจจะใกล้เคียงกับกลุ่มที่เราเคยควบคุมตัวไว้ และอาจเกิดความไม่พอใจที่เราดำเนินการกับพวกเขา ญาติพี่น้องเขา”
แน่นอนว่า ถามว่ามีความเป็นไปได้ที่จะเกี่ยวข้องกับขบวนการลักลอบหลบหนีเข้าเมืองของชาวอุยกูร์ เฉกเช่นเดียวกับ “ขบวนการค้าโรฮีนจา” ในพื้นที่ภาคใต้หรือไม่
ก็ต้องตอบว่า เป็นไปได้ เพราะเป็นที่แน่ชัดแล้วว่า มีชาวอุยกูร์ ตลอดรวมถึง “ชาวตุรกี” จำนวนไม่น้อยเดินทางเข้ามายังประเทศไทยอย่างผิดกฎหมายและมีกระบวนการทำมาหากินโดยความร่วมมือของเจ้าหน้าที่ฝ่ายไทยจริงๆ
จากการให้ข้อมูลของ “นายธนากร วีวรรณากร” ผู้ดูแล “พูลอนันต์อพาร์ตเมนต์” ซึ่งเป็นที่กบดานของผู้ต้องหาที่ถูกจับกุมเป็นคนแรกคือ “นายอาเดม การาดัค” หรือชื่อตามหนังสือเดินทางตุรกีที่พบในพื้นที่เกิดเหตุว่า “นายบิลา มูฮัมหมัด” ทำให้ได้ความจริงว่า หนองจอกคือพื้นที่ที่คนเหล่านี้ใช้เป็นที่อยู่อาศัย
“เจ้าของห้องมีเชื้อสายเป็นชาวตุรกี สร้างห้องพักกว่า 50 ห้อง ปัจจุบันเปิดให้บริการเพียง 30 ห้อง เมื่อมี 2557 มีชาวตุรกีเข้ามาพำนักแบบครอบครัวมากกว่า 20 คน ทั้งเด็กและผู้ใหญ่”นายธนากรเล่า
นอกจากนั้น การจับกุมชาวอุยกูร์กลุ่มใหญ่ทั้งชาย หญิงและเด็กกว่า 300 คนในป่านอกอำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา เมื่อต้นเดือนมีนาคม 2557 ก็เป็นหลักฐานสำคัญว่า ไทยเป็นประเทศสำคัญที่พวกเขาใช้ในการเดินทางต่อไปยังประเทศที่สาม
แต่สิ่งที่ต้องฉุกคิดก็คือ การก่อวินาศกรรมที่มีชนวนเหตุมาจากเรื่องนี้ เป็นเรื่อง “ผิดธรรมชาติ” หรือไม่สำหรับอาชญากรแก๊งปลอมพาสปอร์ตที่เดินทางเข้ามาในประเทศไทย พวกเขาจะ “มีความกล้าเพียงพอ” ที่จะล้างแค้นและดำเนินการตอบโต้ในลักษณะการวางระเบิดในประเทศไทยซึ่งพวกเขาใช้เป็นสถานที่ทำมาหากินเช่นนั้นเชียวหรือ
ที่สำคัญคือเป็นเรื่องที่ไม่ง่ายเลยสำหรับ “ความรู้” ในการประกอบระเบิด และ “การหาวัสดุ” เพื่อมาใช้ประกอบระเบิดในแผ่นดินที่ไม่ใช่บ้านเกิดเมืองนอนของตัวเอง
เว้นเสียแต่ว่าจะได้รับความช่วยเหลือของ “คนท้องถิ่น” ที่ต้องการอาศัยพวกเขาในการสร้างสถานการณ์ภายในประเทศ
เว้นเสียแต่ว่า จะได้รับความช่วยเหลือจาก “องค์การก่อการร้ายระดับโลก” หรือ “องค์กรสายลับของพี่เบิ้มมหาอำนาจโลก”
และก็เป็นไปได้ว่า ทั้งคนท้องถิ่นซึ่งเป็นกลุ่มผู้เสียผลประโยชน์ทางการเมืองจะร่วมมือกับพี่เบิ้มมหาอำนาจโลกจะประสานความร่วมมือในปฏิบัติการครั้งนี้ ส่วนคนตุรกีที่ถูกจับกุมได้และถูกออกหมายจับคือ “เหล่านักรบรับจ้าง” ซึ่งรับเงินรับทองมาดำเนินการ เพราะสอดรับกับความไม่พอใจที่รัฐบาลไทยส่งตัวชาวอุยกูร์ที่หลบหนีเข้าเมืองส่งคืนให้กับจีนอย่างพอดิบพอดี
ยิ่งเมื่อพื้นที่พำนักพักอาศัยของคนเหล่านี้อยู่ในพื้นที่ละแวกมีนบุรี หนองจอก ด้วยแล้ว ก็ยิ่งน่าสงสัยหนักเข้าไปอีก เพราะเป็นที่รับรู้กันว่า ย่านนั้นเป็นพื้นที่ของใคร และกลุ่มก๊วนไหนมีอิทธิพลที่ฝังรากลึกมากที่สุด
ประจักษ์พยานสำคัญที่สนับสนุนทฤษฎีนี้ เห็นจะหนีไม่พ้นการตรวจพบ “ฝักแค” หรือ “สายจุดชนวนระเบิดสีชมพู” เพราะมีข้อมูลชัดแจ้งว่า มักถูกใช้สร้างสถานการณ์ในจังหวัดภาคใต้อยู่บ่อยครั้ง ทั้งที่เจาะไอร้อง บันนังสตา ปัตตานี นราธิวาส แต่ที่ต้องขีดเส้นใต้เอาไว้เป็นพิเศษเช่นกันก็คือ ฝักแคชนิดและสีเดียวกันนี้ยังพบจากเหตุระเบิดสมานเมตตาแมนชั่น จังหวัดนนทบุรีเมื่อเดือนตุลาคมปี 2553 และมีผู้เสียชีวิต 4 ศพ รวมกระทั่งถึงเหตุระเบิดในบ้านเช่าซอยราษฎร์อุทิศ 25 ถนนราษฎร์อุทิศ เขตมีนบุรีซึ่งมีผู้เสียชีวิต 2 ศพเมื่อเดือนมีนาคม 2557
แต่สิ่งที่ปรากฏต่อสายตาของสาธารณชนคือ ผู้ใหญ่ในรัฐบาลและนายตำรวจที่เกี่ยวข้องให้สัมภาษณ์กันไปคนละทางสองทาง จนสังคมสับสนอลหม่านไปหมดว่า จริงๆ แล้ว มูลเหตุของการระเบิดที่สี่แยกราชประสงค์คืออะไรกันแน่
ทั้ง “เดอะแป๊ะ-พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา” รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ว่าที่ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติคนใหม่ มีความเห็นว่า “ยังไม่อยากบอกว่าสาเหตุอะไร มันยังมีหลายสาเหตุ ไม่อยากตัดประเด็นใดประเด็นหนึ่ง เดี๋ยวผิดพลาดไปมันลำบาก รวมทั้งยังไม่ได้ตัดประเด็นภายในประเทศและการเมือง ทุกเป็นยังอยู่ครบหมด”
ขณะที่ เดอะป้อม-พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคงและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ที่ออกอาการฉุนสื่อมวลชนเมื่อพยายามถามย้ำว่า ผู้ต้องสงสัยรายล่าสุดที่ถูกจับได้ที่สระแก้วเป็นชายอุยกูร์ หรือไม่
“จะมาถามทำไม สื่อถามแต่เรื่อยอุยกูร์ทั้งวัน ถามให้เกิดความขัดแย้งกับใครก็ไม่รู้ ซึ่งเรายังไม่รู้ว่าเหตุการณ์ดังกล่าวเกี่ยวข้องกับประเด็นใด ยืนยันว่า การดำเนินการกับอุยกูร์ที่ผ่านมา เราทำตามขั้นตอน ไม่ได้ทำให้เกิดความเสียหายใดๆ และฝ่ายความมั่นคงสามารถตอบคำถามได้ทุกขั้นตอน อีกทั้งหน่วยงานยูเอ็นเอชซีอาร์ก็รับทราบมาตลอด และประเทศอื่นๆ ก็รู้ ขอสื่ออย่าทำให้เรื่องนี้เป็นประเด็นมากนัก” พล.อ.ประวิตรกล่าวอย่างหัวเสีย
ทว่า ความหัวเสียของ พล.อ.ประวิตรมิได้สอดคล้องกับสภาพความเป็นจริงที่ปฏิบัติเลยแม้แต่น้อย เพราะปรากฏว่า เมื่อวันที่ 2 กันยายน 2558 ที่ผ่านมาพล.อ.ประวิตรพร้อมคณะได้เดินทางไปเยือนจีน แม้จะอ้างว่าเป็นไปตามคำเชิญของรัฐบาลจีนเพื่อกระชับความสัมพันธ์และความร่วมมือด้านความมั่นคงและด้านเศรษฐกิจก็ตาม
ยิ่งเมื่อตรวจรายชื่อคณะเดินทางด้วยแล้ว ก็ยิ่งเห็นว่า เป็นคณะใหญ่ไม่น้อย กล่าวคือมีทั้ง พล.อ.อุดมเดช สีตบุตร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหมและผู้บัญชาการทหารบก นายอุสิษฐ คุณากร เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ(สมช.) คนปัจจุบัน และ พล.อ.ทวีป เนตรนิยม ว่าที่เลขาธิการ สมช.คนใหม่
อยู่ๆ ทำไม พล.อ.ประวิตร ผู้บัญชาการทหารบกและเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติถึงต้องไปกระชับความสัมพันธ์ด้านความมั่นคงในห้วงเวลานี้ เพราะเป็นที่รับรู้กันอยู่แล้วว่า ความสัมพันธ์ไทยกับจีนนั้นดีเยี่ยมเพียงใด
แล้วถ้าเป็นเรื่องแค่แก๊งปลอมพาสปอร์ต พล.อ.ประวิตรและคณะจะถึงกับต้องเดินทางไปจีนเชียวหรือ
ขณะเดียวกัน เมื่อได้ฟังทำให้สัมภาษณ์ของ “นายดับเบิลยู แพทริก เมอร์ฟี” อุปทูต รักษาการแทนเอกอัครราชทูตสหรัฐอเมริกาประจำประเทศไทย ก็ยิ่งแปลกใจในท่าที เพราะเสมือนหนึ่งสหรัฐฯ ฟันธงและเชื่อโดยสนิทใจไปแล้วว่าเป็นเรื่องปมความแค้นส่วนตัว เป็นเรื่องภายในของไทย
“การสอบสวนขึ้นอยู่กับเจ้าหน้าที่ตำรวจของไทย ซึ่งสหรัฐฯ เองเคยเสนอให้ความร่วมมือ ความช่วยเหลือไปบ้างเหมือนกัน แต่ทุกสิ่งทุกอย่างเกี่ยวกับเรื่องคดีต้องเป็นเรื่องภายในของเจ้าหน้าที่ฝ่ายไทย โดยสหรัฐฯ ก็อยากจะทำตัวเป็นประโยชน์เหมือนกันในฐานะที่เป็นหุ้นส่วนกับประเทศไทย”นายเมอร์ฟี่กล่าว
น่าสงสัยหรือไม่ว่า ทำไมสหรัฐฯ ถึงไม่ต้องการเข้ามายุ่ง โดยโยนให้เป็นหน้าที่ของฝ่ายไทย ซึ่งฟันธงได้เลยว่า เป็นเรื่องที่ผิดปกติเป็นอย่างมาก
ที่น่าสนใจไปกว่านั้นก็คือ มีรายงานข่าวจากหน่วยงานความมั่นคงของไทยและชุดสืบสวนสอบของตำรวจด้วยว่า พบมีแกนนำชาวอุยกูร์ที่เคลื่อนไหวและบุกทำลายสถานกงสุลไทยในนครอิสตัลบูล ประเทศตุรกี เมื่อวันที่ 9 กรกฎาคม 2558 ที่ผ่านมา เนื่องจากไม่พอใจที่รัฐบาลไทยส่งตัวชาวอุยกูร์ 109 คนให้ทางการจีนเข้ามาเกี่ยวข้องกับการก่อเหตุลอบวางระเบิดบริเวณสี่แยกราชประสงค์และสะพานสาทรด้วย
ขณะเดียวกันก็เป็นที่รับรู้ว่าชาวอุยกูร์จำนวนหนึ่งได้รับการฝึกใช้อาวุธในตะวันออกกลางเพื่อปฏิบัติงานก่อการร้ายในจีนและต่างประเทศ
และก็เป็นที่รับรู้กันด้วยว่า ขบวนการอุยกูร์หัวรุนแรงมีอยู่จริง โดยมีเป้าประสงค์เพื่อแบ่งแยกมณฑลซินเจียงออกจากจีนเพื่อจัดตั้งเป็น “สาธารณรัฐเตอร์กีสถานตะวันออก” หรือที่รู้จักกันในชื่อ ขบวนการ ETIM
ดังเช่นที่ นายมัมนูน ฮุสเซน ประธานาธิบดีปากีสถาน ให้สัมภาษณ์ขณะเดินทางมาเยือนจีนอย่างเป็นทางการว่า กองทัพปากีสถานสามารถกำจัดขบวนการอิสลามเตอร์กีสถานตะวันออก(ETIM) ภายในประเทศได้สำเร็จ หรือหากยังมีสมาชิกของขบวนการดังกล่าวหลงเหลืออยู่บ้างก็มีจำนวนน้อย
ทั้งนี้ รัฐบาลจีนเชื่อว่า ETIM เนกลุ่มติดอาวุธชาวมุสลิมอุยกูร์ซึ่งหลบซ่อนตัวอยู่ตามแนวชายแดนปากีสถานและอัฟกานิสถาน ทั้งยังเป็นกลุ่มที่อยู่เบื้องหลังการก่อเหตุรุนแรงหลายครั้งในมณฑลซินเจียงของจีนในช่วงหลายปีที่ผ่านมา และชาวอุยกูร์จำนวนมากเดินทางไปยังตุรกิจเพื่อข้ามแดนไปเป็นแนวร่วมของกลุ่มติดอาวุธรัฐอิสลาม(ไอเอส) ต่อสู้ในสมรภูมิรบที่อิรักและซีเรีย
แต่ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม วันนี้เห็นชัดแล้วว่า รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ตกอยู่ในภาวะ “จับได้แล้วเอาไงต่อดี” เพราะจะยอมรับว่าเป็นการก่อการร้ายก็ไม่ได้ ยิ่งเป็นการก่อการร้ายที่เกิดจากความผิดพลาดในเชิงนโยบายในการส่งอุยกูร์ส่งคืนให้จีนจนทำให้ชาวตุรกีไม่พอใจถึงขนาดบุกสถานกงสุล และต้องปิดสถานทูตไทยในตุรกีด้วยแล้ว ยิ่งเป็นปัญหาที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออก ไม่รู้จะหาช่องออกไปทางไหนดี
ขณะเดียวกันด้วยเหตุดังกล่าวก็เปิดช่องให้รัฐบาลของประเทศที่ทั่วโลกรับรู้กันว่าถือหางการก่อความวุ่นวายของอุยกูร์ในประเทศจีนแถไถไม่ให้ความร่วมมือในการสืบสวนสอบสวนโดยไม่คำนึงถึงความสัมพันธ์อันดีระหว่างทั้งสองประเทศ
สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานเอาไว้อย่างน่าสนใจว่า การแถลงข่าวของตำรวจและเจ้าหน้าที่ระดับสูงของรัฐบาลไทยยังมีความขัดแย้งกันเองอยู่ ทั้งยังไม่อาจให้ข้อมูลที่ชัดเจนเกี่ยวกับผู้ที่ถูกออกหมายจับ รวมถึงไม่อาจระบุแรงจูงใจในการก่อเหตุได้
ขณะที่สำนักข่าวเอพีติดตามไปสัมภาษณ์เจ้าหน้าที่ของกระทรวงการต่างประเทศตุรกีรายหนึ่งและได้ข้อมูลที่น่าสนใจว่า รัฐบาลตุรกีจะยังไม่ดำเนินการสอบสวนหรือติดตามตัว น.ส.วรรณา สวนสัน หนึ่งในผู้ต้องสงสัยซึ่งขณะนี้พำนักอยู่ในตุรกีพร้อมกับสามีที่ถูกออกหมายจับเช่นกัน เพราะเรื่องดังกล่าวยังเป็นเพียงข้อสันนิษฐานของรัฐบาลไทย และกระทรวงการต่างประเทศตุรกีจะไม่ดำเนินการใดๆ กับเรื่องที่ยังเป็นเพียงข้อสันนิษฐานเท่านั้น
นี่คือปัญหาใหญ่ของรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เพราะวันนี้เห็นได้ชัดว่า ตกอยู่ในภาวะกลืนไม่เข้าคลายไม่ออกว่า “จับแล้วจะทำอย่างไรต่อไปดี” เนื่องจากตั้งโจทย์หรือมีธงเอาไว้ในหัวสมองแล้วว่า เป็นการล้างแค้นส่วนตัว ไม่ใช่การก่อการร้าย ทั้งๆ ที่ในความเป็นจริง ไม่มีหลักฐานข้อไหนที่ส่อไปในแนวทางที่ว่าเลยแม้แต่น้อย
เพราะถ้ายอมรับว่าชนวนของการก่อวินาศกรรมมาจากการส่งชาวอุยกูร์ให้รัฐบาลจีน นั่นย่อมหมายความเป็นความผิดพลาดของรัฐบาลในการดำเนินนโยบายด้านการต่างประเทศและความมั่นคง
แต่ก็คงเป็นเรื่องตลกสิ้นดีถ้าสุดท้ายแล้วเรื่องจบลงหรือปิดคดีตรงที่ “เป็นแค่แก๊งค้าพาสปอร์ต” ซึ่งก็ทำท่าว่าจะเป็นเช่นนั้นจริงๆ ไม่เช่นนั้นคงไม่มีคำสั่งเดินหน้ายกเครื่องงานตรวจคนเข้าเมืองและฐานข้อมูลทางด้านความมั่นคงกันอย่างขนาดใหญ่
พล.อ.ประยุทธ์และพล.อ.ประวิตรจะเอาเช่นนั้นจริงหรือ?