ผ่าประเด็นร้อน
“จากการสืบสวนจนถึงขนาดนี้ยังเชื่อว่ามีผู้ร่วมขบวนการอีก อาจถึง 10 คน แต่ก็เป็นเรื่องการสืบสวน จะชัดหรือแน่นอน ต้องรอผลการสอบสวนอีกที ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ยังคาดหวังอะไรไม่ได้ หากผู้ต้องหาไม่ยอมให้การ ให้ถ้อยคำก็เป็นเรื่องที่ยากลำบาก เบื้องต้นสามารถคลี่คลายในเรื่องที่ประชาชนทั้งประเทศรอคอยอยู่ว่าตำรวจไทย รัฐบาลไทยจะดำเนินการคลี่คลายคดีนี้ได้หรือไม่ วันนี้แม้จะเหนื่อยแค่ไหน แต่โล่งอกขึ้นว่าเราสามารถทำได้”
“จากการตรวจสอบพบว่า ผู้ต้องหาคนนี้มีพาสปอร์ตหลายเล่ม หลายชาติ ร้อยเล่มก็ร้อยชื่อ แต่เป็นของปลอม จุดเริ่มต้นคือชายคนนี้ทำผิดกฎหมาย สิ่งที่เขาทำผิดกฎหมายคือใช้พาสปอร์ตปลอม นั่นคือจุดเริ่มต้น อย่างไรก็ตาม เมื่อพบว่าพาสปอร์ตปลอมต้องใช้เวลาเพื่อยืนยันพิสูจน์ทราบตัวบุคคลที่แน่นอน ตัวชายคนนี้ถือของปลอม จากการตรวจสอบพบว่าเข้ามาอยู่ในประเทศไทยนานพอสมควร ทางการสืบสวนเราทราบว่าเขาเป็นใคร เมื่อเราไปค้นเจอพาสปอร์ตเขาก็รับว่าพาสปอร์ตปลอม อย่างไรก็ตาม ต้องประสานไปยังประเทศที่เกี่ยวข้องเพื่อตรวจสอบยืนยัน หากเขาอ้างว่าตัวเองเป็นชาติอะไร เราก็ต้องประสานงานไปยังสถานทูตชาตินั้นๆ”
“แต่ไม่น่าจะเป็นการก่อการร้ายข้ามชาติ เป็นเหตุผลการเจ็บแค้นส่วนตัว เจ็บแค้นแทนพรรคพวกเพื่อนฝูง ไม่ใช่การก่อการร้ายข้ามชาติ”
เมื่อถามว่า พูดเช่นนี้โยงถึงอุยกูร์ ผบ.ตร.กล่าวว่า ไม่น่าจะเกี่ยวข้อง สรุปว่าเขาโกรธแค้น และเจ็บใจแทนเพื่อนเขาดีกว่า หมายถึงพรรคพวกพี่น้องเพื่อนฝูงของเขา อย่าให้ลงลึกกว่านี้เลย แต่ไม่ใช่ขบวนการก่อการร้ายข้ามชาติ
ด้าน พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ หัวหน้าทีมสืบสวนคุมคดีเปิดเผยว่า “ได้เตรียมล่ามภาษาต่างประเทศมาช่วยสื่อสารกับผู้ต้องหารายนี้แล้ว หนึ่งในนั้นคือ ล่ามภาษาตุรกี เบื้องต้นต้องสันนิษฐานชาติที่มีความเป็นไปได้ ใกล้เคียงก่อนเพื่อยืนยันตัวบุคคลคนนี้”
“ผู้ต้องหารายนี้มีส่วนเกี่ยวข้องกับเหตุระเบิดอยู่แล้ว ส่วนจะเป็นผู้ประกอบระเบิดหรือไม่ ผมไม่ทราบ แต่เชื่อมโยงแน่ เกี่ยวข้องแน่ วันนี้ไม่ใช่การจับกุมตามหมายจับ”
ถามว่า การสืบสวนขณะนี้โยงถึงการก่อการร้ายสากล หรือไม่ รอง ผบ.ตร.กล่าวว่า “สืบสวนประเด็นเหล่านี้ด้วย ขอเวลาทำงานสักนิด อย่าเพิ่งด่วนสรุป”
ถามว่าแนวโน้มเป็นระเบิดพลีชีพได้หรือไม่ พล.ต.อ.จักรทิพย์กล่าวว่า “เรื่องนี้ยังไม่เคยเกิดในประเทศไทย เรากำลังดูว่าชิ้นส่วนบางชิ้นที่เราได้มาจะนำไปสู่ตรงนั้นได้หรือเปล่า ถ้าเป็นระเบิดเราดูครอบคลุมทุกประเด็นทุกประเภทว่าเขาจะทำระเบิดแบบไหน ส่วนรายละเอียดว่าจะนำไปสู่การประกอบระเบิดพลีชีพหรือไม่ ต้องรอผลการตรวจสอบจากกองพิสูจน์หลักฐานเสียก่อน อย่างไรก็ตาม ชิ้นส่วนระเบิดของกลางที่พบยังแยกส่วนกันอยู่ยังไม่มีการประกอบ ทั้งนี้ การพบชิ้นส่วนประกอบจำนวนมากก็พออนุมานได้ว่า ของเยอะผิดปกติ อาจเตรียมก่อเหตุอีก”
คำพูดข้างต้นของ พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ทำให้ทราบว่า “ผู้ต้องสงสัย” ที่ถูกจับกุมได้ในครั้งนี้มีความเกี่ยวข้องกับเหตุระเบิดที่ราชประสงค์ และท่าเรือสาทร เมื่อวันที่ 17 และ 18 สิงหาคมที่ผ่านมา ทำเป็นขบวนการ “มากกว่า 10 คน” และยืนยันว่า “ไม่ใช่ก่อการร้ายข้ามชาติ” ไม่เกี่ยวข้องกับกลุ่มเชื้อชาติ “อุยกูร์” แต่มีสาเหตุจูงใจมาจาก “ความเจ็บแค้นแทนเพื่อน” ที่ถูกจับกุมไปก่อนหน้านี้
ขณะที่คำพูดของรองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ที่ควบคุมดูแลคดีดังกล่าว คือ พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา กลับพูดไปอีกทาง ระบุว่าไม่ได้ตัดทิ้งเรื่องการ “ก่อการร้ายข้ามชาติ” การก่อเหตุน่าจะมีคนไทยร่วมด้วย การสอบสวนได้ “เตรียมล่ามภาษาตุรกี” เอาไว้ด้วย และจากหลักฐานชิ้นส่วนระเบิดที่พบกำลังตรวจสอบดูว่ากำลังเตรียมก่อเหตุแบบ “ระเบิดพลีชีพ” หรือไม่ และก่อเหตุที่ผ่านมาถือว่ารุนแรงแบบที่ไม่เคยเกิดขึ้นในประเทศไทยมาก่อน และย้ำว่าผู้ต้องสงสัยที่ถูกจับกุมได้ที่อพาร์ตเมนต์แห่งหนึ่งที่หนองจอก ไม่ใช่บุคคลคนเดียวกับภาพวงจรปิดชายที่ถูกออกหมายจับไปก่อนหน้านี้
แน่นอนว่า เมื่อฟังคำพูดของผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง สังเกตเห็นชัดเจนว่า พยายามหลีกเลี่ยงและปฏิเสธอย่างชัดเจนว่าการก่อเหตุที่ราชประสงค์ และที่สะพานสาทร “ไม่ใช่ก่อการร้ายข้ามชาติ” รวมทั้งไม่เกี่ยวกับชนชาติอุยกูร์
แน่นอนว่า นี่เป็นอาการที่แสดงให้เห็นว่าเป็นเรื่องละเอียดอ่อน เกี่ยวพันกับ “ภายนอก” นั่นคือถ้าเป็นก่อการร้ายข้ามชาติก็ต้องทำให้ “มหาอำนาจ” เข้ามาข้องเกี่ยว ซึ่งมีหลายแบบทั้งที่เป็นแบบต้องการแชร์ข้อมูลและแบบ “แทรกแซง” แบบหวังดีประสงค์ร้าย และหากเป็น “อุยกูร์” ก็ต้องเชื่อมโยงพูดถึงตุรกีและจีน อย่างเลี่ยงไม่ได้ และนี่อาจเป็นเหตุผลที่ไม่ใช่แค่ พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง เท่านั้นที่ปัดไม่ให้พูดถึงเรื่องดังกล่าวตั้งแต่เริ่มต้น เพราะไม่ว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ และ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ ฝ่ายความมั่นคง ก็พูดไม่ต่างกัน
อย่างไรก็ดี เมื่อพิจารณาจากรูปการณ์ของคดีที่ผูัต้องสงสัยที่เพิ่งถูกจับกุมได้ เมื่อวันที่ 29 สิงหาคม ที่อพาร์ทเมนท์ที่หนองจอก พร้อมอุปกรณ์ประกอบระเบิดครบชุด รวมทั้งพาสปอร์ตปลอมของตุรกีหลายเล่ม บอกตรงๆว่า ล้วนส่อไปในทาง “ก่อการร้ายข้ามชาติ” ที่นาทีนี้ต้องเทน้ำหนักไปทาง “อุยกูร์” มากกว่าเรื่องอื่น ดังนั้นถ้าพูดถึงอุยกูร์ ก็ต้องโยงไปถึงความขัดแย้งภายในจีน ที่โยงไปถึงตุรกี และล่าสุดก็โยงมาที่ไทยด้วย!
สำหรับชนชาติอุยกูร์ เป็นชนกลุ่มน้อยมุสลิมในจีน ที่กำลังต่อสู้เพื่อแยกตัวเป็นเอกราช ส่วนใหญ่มีเชื้อสายเดียวกันประเทศในเอเซียกลาง โดยเฉพาะในประเทศตุรกี เมื่อไม่นานมานี้เคยมีข่าวชนชาติดังกล่าวหลบหนีเข้าเมืองในไทยจนถูกจับกุม และมีจำนวนกว่าคนถูกส่งกลับประเทศจีนจนถูกนานาชาติตำหนิอย่างรุนแรง รวมไปถึงถูกชาวตุรกีจำนวนหนึ่งประท้วงไทยอย่างรุนแรง มีการบุกเข้าทำลายสถานทูตไทยในกรุงอังการา รวมไปถึงมีการออกแถลงการณ์ประนามไทย จากประธานาธิบดีตุรกีมาแล้ว ขณะเดียวกันเวลานี้ก็ยังมีชาวอุยกูร์ ถูกควบคุมตัวในฐานะผู้อพยพเข้าเมืองผิดกฎหมายอีกจำนวนหนึ่ง
หากย้อนกลับไปเมื่อตอนเกิดเหตุตอนแรกๆ ทางการจีนเคยตำหนิสื่อไทยบางสื่อที่ชี้ว่าอาจเชื่อมโยงกับปัญหาชนชาติอุยกูร์
อย่างไรก็ดี เมื่อพิจารณาจากผู้ต้องสงสัยที่มีแนวโน้มเป็นชาวตุรกี และคำพูดของ พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ผู้ควบคุมคดีระบุว่า กำลังสอบสวนดูว่าจะมีการก่อเหตุ “ระเบิดพลีชีพ” หรือไม่ และการก่อเหตุที่ราชประสงค์ ก็รุนแรงไม่เคยเกิดขึ้นในไทยมาก่อน ล้วนเข้าข่ายก่อการร้ายข้ามชาติ ดังนั้นคำพูดของ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ว่า สาเหตุมาจาก “ความเจ็บแค้นแทนเพื่อน” ฟังดูแล้วมันยังไม่สมเหตุสมผลนัก
ดังนั้น หากให้สรุปก็ต้องบอกว่า คดีนี้เป็นเรื่องละเอียดอ่อน ที่ทางการไทยผวาไม่ต้องการให้พูดถึงเรื่องก่อการร้าย และชนชาติ “อุยกูร์” เพราะทั้งสองเรื่องไม่ว่าจะเป็น “เรื่องเดียวกัน” หรือว่า “เป็นคนละเรื่องเดียวกัน” มันย่อมกระทบต่อไทยทั้งสิ้นทั้ง ในเรื่องการก่อเหตุที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน และ “ความไม่ปลอดภัย” มีผลต่อเศรษฐกิจ แต่ขณะเดียวกัน หากมีความพยายามบิดเบือนหรือปิดบังให้ไปอีกทาง นั่นก็ยิ่งน่าห่วงไม่แพ้กัน เพราะชาวบ้านไม่ได้รู้ความจริง!