ผู้จัดการสุดสัปดาห์ - รัฐบาล คสช. เข้ามาทำงานใหญ่ “ปลดหนี้ให้ครู” อย่างต่อเนื่อง โดยมีการนำเรื่องนี้เข้าเป็นวาระเพื่อทราบเมื่อปลายเดือน มกราคมที่ผ่านมา เป็นมติ ครม.ที่ให้ “ธนาคารออมสิน” ปล่อยสินเชื่อใหม่ให้ข้าราชการครู เพื่อนำไปใช้หนี้เดิม หรือ รีไฟแนนซ์หนี้ก้อนเดิม ที่มีอยู่กับออมสิน
นอกจากนี้มติครม.ล่าสุดเมื่อวันที่ 9 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ก็ได้อนุมัติ “โครงการลดภาระหนี้ข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา” ตามที่กระทรวงการคลังเสนอมา โดยธนาคารออมสินจะปล่อยวงเงินสินเชื่อใหม่ให้ข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา คาดว่าจะช่วยแก้ปัญหาหนี้สินให้ครูและบุคลากรทางการศึกษาได้ 283,000 ราย ลดภาระหนี้ได้เฉลี่ยรายละ 300,000 - 600,000 บาท ทำให้ลดภาระการผ่อนชำระหนี้เดิมลง เหลือเดือนละ 2,000 - 4,000 บาท หรือบางรายก็สามารถชำระหนี้ปิดบัญชีได้
ขณะเดียวกัน ผู้ที่กู้เงินจะได้รับประโยชน์จากอัตราดอกเบี้ยที่ลดลงจากเดิมปีละ 5.85 - 6.70% เหลือปีละ 4% ทำให้ผู้กู้ไม่ต้องผ่อนชำระหนี้วงเงินสินเชื่อใหม่ตลอดอายุสัญญา รวมทั้งบรรดาครูและบุคลากรทางการศึกษาทั้งหมด จะได้มีขวัญกำลังใจในการทำงาน ช่วยให้เกิดการพัฒนาวิชาชีพครูในภาพรวมและคุณภาพการศึกษาของประเทศ
“ผู้กู้สามารถขอสินเชื่อใหม่ได้ทั้ง 2 วงเงิน ได้แก่ วงเงินกู้ใช้เงิน ช.พ.ค.ค้ำประกัน โดยกำหนดอัตราคอดเบี้ยเงินกู้แบบลดต้นลดดอก 4 % ต่อปี ผู้กู้มีอายุเป็นสมาชิก ช.พ.ค. 50 ขึ้นไป ระยะเวลากู้ 20 ปี และวงเงินกู้บำเหน็จตกทอดค้ำประกัน อัตราคอดเบี้ยเงินกู้แบบลดต้นลดดอก 5% ต่อปี ผู้กู้มีสิทธิรับเงินบำนาญ ระยะเวลากู้ 20 ปี”
ทั้งนี้ ธนาคารออมสินจะปล่อยสินเชื่อใหม่ให้ข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา ที่สมัครใจเข้าร่วมโครงการ โดยใช้เงินทายาทจะได้รับในอนาคตเมื่อผู้กู้เสียชีวิต เพื่อใช้ค้ำประกัน ทั้งเงินฌาปนกิจสงเคราะห์ครอบครัว (ช.พ.ค.) หรือเงินบำเหน็จตกทอด นำค้ำประกันเพื่อขอเงินสินเชื่อใหม่ ในการช่วยลดภาระหนี้ หรือปิดบัญชีหนี้ที่มีอยู่ในปัจจุบัน ซึ่งธนาคารจะคิดดอกเบี้ยต่ำกว่าปกติให้ ขณะเดียวกันผู้กู้ก็ไม่ต้องผ่อนชำระหนี้ในวงเงินสินเชื่อใหม่ตลอดอายุสัญญา
ขณะที่ นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีหลายคน ให้ข้อสังเกตประกอบการพิจารณาเอาไว้ โดยแสดงความเป็นห่วงว่า เมื่อธนาคารออมสินปล่อยกู้ใหม่ไปแล้ว ก็อยากให้ครูใช้วงเงินนี้ให้ตรงตามวัตถุประสงค์ คือ ต้องไปใช้หนี้เดิมก่อน ไม่ใช่ไปสร้างหนี้ใหม่ เพราะไม่อย่างนั้นก็คงจะไปไม่รอด
โดยนายกฯ ได้มอบหมายให้กระทรวงการคลัง ไปหารือกับกระทรวงศึกษา เพื่อพิจารราแนวทางการป้องกันปัญหานี้อีกที ขณะที่สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี ก็ทำความเห็นเสนอมาว่า ทั้ง 2 กระทรวงต้องไปติดตามการดำเนินโครงการและต้องรายงานมาให้ที่ประชุม ครม.ทราบภายใน 3 เดือน และต้องเสนอแนวทางการแก้ปัญหาในระยะยาวมาให้ครม.ด้วย
นอกจากนี้ การดำเนินโครงการดังกล่าว กระทรวงการคลัง ต้องตรวจสอบสถานะของผู้กู้ที่เป็นครูและบุคลากรทางการศึกษา ก่อนที่จะอนุมัติวงเงินสินเชื่อใหม่ให้ โดยออมสินก็มีหลักเกณฑ์การปล่อยกู้ที่เข้มงวดอยู่แล้ว พร้อมกับได้ตรวจสอบบัญชีของผู้กู้ด้วย จากนั้นเมื่อเห็นว่า มีความเหมาะสมที่ต้องเข้าให้ความช่วยเหลือรายที่เดือดร้อนจริง ๆ ก็พิจารณาปล่อยสินเชื่อให้
ประเด็นนี้ “พล.อ.ดาว์พงษ์ รัตนสุวรรณ รมว.ศึกษาธิการ “ ออกมายอมรับว่า มาตรการแก้ไขปัญหาหนี้สินครู จะผ่อนปรนหนี้ให้ครูด้วยการนำเงินโครงการฌาปนกิจสงเคราะห์ช่วยเพื่อนครูและบุคลากรทางการศึกษา (ช.พ.ค.) ของสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมสวัสดิการและสวัสดิภาพครูและบุคลากรทางการศึกษา (สกสค.) ที่ใช้ค้ำประกันเงินกู้มาตั้งวงเงินในการรีไฟแนนซ์ในอัตราดอกเบี้ยต่ำ ซึ่งต่อไปครูที่เป็นหนี้และเข้าร่วมโครงการดังกล่าวจะได้ปรับลดเงินต้นลง ประมาณ 3-4 แสนบาท นั่นหมายความว่าจะทำให้การผ่อนส่งแต่ละงวดลดลง แต่จะปรับลดเท่าไหร่นั้นก็ขึ้นอยู่กับอายุของผู้กู้แต่ละคนด้วย
“มาตรการดังกล่าวลดภาระหนี้ได้ระดับหนึ่งเท่านั้น ซึ่งก่อนหน้านี้ สกสค.เชิญหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งธนาคารออมสินสหกรณ์ออมทรัพย์ครู มาหารือแนวทางแก้ปัญหาหนี้สินครูรอบแรก แต่พบประเด็นปัญหาว่าที่ผ่านมา สกสค.และธนาคาร ปล่อยกู้ง่ายเกินเหตุ เช่น ปล่อยกู้วงเงิน 3 ล้านบาทโดยไม่มีหลักทรัพย์ค้ำประกัน ใช้เพียงผู้ค้ำ 10 คน ที่สำคัญผู้กู้และผู้ค้ำ ยังหมุนเวียนกันค้ำ อีกทั้งยังไม่มีการกำหนดว่าผู้ค้ำต้องมีเงินเดือนมากกว่าผู้กู้หรือไม่ เป็นต้น ถึงแม้ว่าจะเปิดช่องให้กู้ง่าย ถ้าต้นสังกัดมีการตรวจสอบบัญชีเหลือจ่ายอย่างเข้มข้นก็จะไม่เกิดปัญหานี้ แต่ที่ผ่านมาก็ทำงานลูบหน้าปะจมูกกันทั้งที่ในบัญชีไม่เงินเหลือแล้วก็ยังปล่อยกู้กันไป จนเกิดปัญหาสะสม ซึ่ง ศธ.ต้องมาแก้ไขปัญหานี้”
พล.อ.ดาว์พงษ์ บอกด้วยว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี กำชับ ศธ.และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องไปตรวจสอบว่าครูไม่ใช้หนี้ เพราะไม่สามารถชำระหนี้จริงหรือเปล่า หรือมีเจตนาจะไม่ชำระหนี้ หากพบว่ามีเจตนาไม่ชำระหนี้ จะต้องพิจารณาให้ดำเนินการลงโทษทางวินัยด้วย เหมือนกับกรณีนักเรียนทุนไม่กลับมาใช้ทุนคนค้ำประกันก็เดือดร้อนไปด้วย จากนี้จะต้องไปกำหนดหลักเกณฑ์ให้ชัดเจน
ด้านนายชาติชาย พยุหนาวีชัย ผู้อำนวยการธนาคารออมสิน บอกว่า มาตรการแก้ไขปัญหาหนี้ครูเพิ่มเติมของธนาคารออมสินเข้าที่ประชุมคณะรัฐมนตรี(ครม.)แล้วเป็นวาระเพื่อทราบตั้งแต่ช่วงต้นเดือนก.พ.ที่ผ่านมา โดยทางเลขาธิการครม.ได้ส่งหนังสือแจ้งมาที่ธนาคารแล้วเมื่อวันที่ 5 ก.พ.ที่ผ่านมา
มาตรการดังกล่าว เป็นมาตรการเพิ่มเติมตามนโยบายนายกรัฐมนตรี ที่ต้องการให้มีการช่วยเหลือเรื่องครู โดยธนาคารออมสิน จะมีการปล่อยสินเชื่อใหม่ให้ข้าราชการครู เพื่อนำไปใช้หนี้เดิม หรือรีไฟแนนซ์หนี้ก้อนเดิมที่มีอยู่กับออมสิน โดยปรับลดดอกเบี้ยลงให้ จากเดิมที่มีอัตราดอกเบี้ย 5-6% ก็ปรับลดลงเหลือ 4% พร้อมปรับวงเงินการผ่อนชำระต่องวดให้ลดลง เพื่อลดการผ่อนชำระต่องวด
อย่างไรก็ตาม ครูที่เข้าร่วมโครงการนี้จะต้องนำเงินการฌาปนกิจสงเคราะห์เพื่อช่วยเพื่อนครูและบุคลากรทางการศึกษา หรือ ช.พ.ค.มาค้ำประกันเงินกู้ ซึ่งเป็นการนำรายได้ในอนาคตมาใช้หนี้ ซึ่งหลังจากนี้ทางออมสินจะต้องมีการลงนามเพื่อดำเนินการตามมาตรการนี้กับทางกระทรวงศึกษาธิการ และช.พ.ค.
ทั้งนี้โครงการนี้เปิดให้ข้าราชการครูเข้าร่วมโดยสมัครใจ ไม่มีกำหนดเวลาปิดโครงการ แต่ให้ผ่อนชำระได้จนถึงอายุ 75 ปี จากเดิมกำหนดอายุไว้ที่ 74 ปี ข้าราชการครูจะร่วม หรือไม่ร่วมโครงการก็ได้
อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันพอร์ตสินเชื่อข้าราชการครูของออมสินมีอยู่ประมาณ 5 แสนล้านบาท กลุ่มนี้มีหนี้เสียหรือเอ็นพีแอลน้อยมาก ไม่ถึง 1%ของสินเชื่อครู ซึ่งกาอนหน้านี่ออมสินได้ออกมาตรการช่วยแก้ไขปัญหาหนี้ครูไปแล้ว ทั้งการพักชำระเงินต้น และดอกเบี้ย
อย่างไรก็ตาม จาก มติ ครม.ดังกล่าว ที่ประชุมขอให้ “กระทรวงการคลัง” นำกลับไปพิจารณาทบทวนในสาระสำคัญ ซึ่งนายกรัฐมนตรีเน้นย้ำว่าถ้าแก้ปัญหาแบบนี้ “คุณครูจะมีเงินรายได้เข้ามาก้อนหนึ่งเพื่อความคล่องตัว แต่มันจะเป็นการสร้างหนี้ใหม่ และหนี้เก่าก็ไม่ได้แก้ไข แบบนี้ก็จะไปไม่รอด”