“ดร.นเรศ” อดีตนักเรียนทุน กพ. เสนอแก้ระบบค้ำประกัน เลิกให้ผู้ค้ำรับผิดชอบแล้วปล่อยคนผิดลอยนวล แนะต้องฟ้องร้องนักเรียนโดยตรง อาจต้องต่อรองกับประเทศหรือสถาบันที่คนรับทุนไปเรียนให้ร่วมผูกมัดด้วย หรือหักใช้ทุนจากรายได้ไม่ว่าทำงานรัฐหรือเอกชน
จากกรณีปัญหานักเรียนทุนรัฐบาลหนีทุน จนต้นสังกัดต้องไปไล่เบี้ยกับผู้ค้ำประกัน เกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์ทางสังคมโลกออนไลน์และความสนใจของสื่อมวลชนตลอดจนประชาชนทั่วไป
วันนี้ (9 ก.พ.) ดร.นเรศ ดำรงชัย ผู้อำนวยการศูนย์ความเป็นเลิศด้านชีววิทยาศาสตร์ (TCELS) กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี อดีตนักเรียนทุน กพ.กล่าวว่า ปัญหาการหนีทุนของนักเรียนทุนรัฐบาลนั้นยังมีอีกหลายกรณี ซึ่งเป็นปัญหาเรื้อรังมานานเพียงแต่อาจเพิ่งถูกเปิดจากกรณีมีการฟ้องร้องเนื่องจากคดีใกล้หมดอายุความ และมีการไล่เบี้ยจากผู้ค้ำประกัน ซึ่งแม้ทางต้นสังกัดจะไม่ต้องการให้เกิดการฟ้องร้องหรือไล่เบี้ย แต่โดยกระบวนการทางกฎหมายเงินหลวงต้องมีผู้รับผิดชอบตามเงื่อนไขที่กำหนดในครั้งแรก ซึ่งทุกฝ่ายเองก็ทราบดี และไม่มีใครคาดคิดว่าจะเกิดปัญหาในภายหลัง
“ผมได้คุยกับเพื่อนๆ ที่เรียนวิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักร (วปอ.) หลายคนเห็นตรงกันว่าควรปรับระบบการค้ำประกัน เนื่องจากโดยปกติแล้วคนค้ำประกันจะเป็นพ่อแม่แต่หากไม่มีหลักทรัพย์ก็อาจจะให้ญาติหรือคนรู้จักเป็นผู้ค้ำประกัน ซึ่งทุกคนก็หวังดีเพราะเด็กเองก็ตั้งใจไปเรียน แต่เมื่อเกิดปัญหานักเรียนหนีทุนไม่กลับมาใช้ทุนในประเทศ จึงเกิดการฟ้องร้องเป็นประเด็นกันขึ้นมา ผมเชื่อว่ายังมีอีกหลายรายที่จะเกิดปัญหาในลักษณะเดียวกัน ดังนั้นรัฐบาลต้องกล้ายกเลิกระบบที่ให้ผู้อื่นมารับผิดชอบโดยไม่มีความผิด แต่ให้นักเรียนทุนรับผิดชอบชดใช้ทุนเองและฟ้องร้องกันได้โดยตรงอย่าให้หนีไปได้อย่างลอยนวล โดยอาจจะต้องต่อรองกับประเทศหรือสถาบันการศึกษาที่ผู้รับทุนไปเรียนให้ร่วมผูกมัดผู้รับทุน หรือเปลี่ยนมาใช้ระบบหักใช้ทุนจากเงินเดือนหรือรายได้ที่จะเกิดขึ้นในอนาคตไม่ว่าจะไปทำงานอยู่ในภาครัฐหรือเอกชน” ดร.นเรศกล่าว
สำหรับ ดร.นเรศ ดำรงชัย รับทุน กพ.ไปศึกษาต่อประเทศญี่ปุ่นในระดับมัธยมจนจบปริญญาเอก โดยมีความตั้งใจจะศึกษาต่อทางด้านเทคโนโลยีชีวภาพ เนื่องจากเป็นเทรนด์ใหม่ของโลกโดยถือต้นแบบจากกระแสบูมสตาร์ทอัพของบริษัท จีเนเทค ที่ให้ทุนนักวิจัยและมีผลผลิตออกมาจริงราวปี 1980 กว่าๆ ซึ่งเป็นช่วงเดียวกับแผนพัฒนาเศรษฐกิจฉบับที่ 6 ของประเทศไทยที่ได้ระบุไว้กว้างๆ เรื่องการพัฒนาเทคโนโลยีชีวภาพที่สามารถตอบได้ทุกโจทย์ตั้งแต่เกษตร พลังงาน สาธารณสุข ไบโอเทค ฯลฯ จึงตัดสินใจเลือกเรียนที่สถาบันเทคโนโลยีแห่งโตเกียว สาขาไบโอเอนจิเนียริ่ง ซึ่งเปิดเป็นรุ่นแรก จนจบปริญญาเอก และกลับมาทำงานใช้ทุนที่ประเทศไทยในหน้าที่นักวิจัยศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (ไบโอเทค) โดยทำวิจัยเกี่ยวกับการสร้างผิวหนังเพื่อปลูกถ่ายให้กับคนถูกไฟไหม้น้ำร้อนลวก โดยร่วมมือกับโรงพยาบาลศิริราช โรงพยาบาลนพรัตน์ และโรงพยาบาลศูนย์ยะลา ต่อมาได้เป็นนักวิจัยเชิงนโยบายและเป็นผู้อำนวยการศูนย์คาดการณ์เทคโนโลยีเอเปก ก่อนจะมาเป็นผู้อำนวยการศูนย์ความเป็นเลิศด้านชีววิทยาศาสตร์จนถึงปัจจุบัน ซึ่งเป็นสายงานที่เจ้าตัวได้มองโอกาสการเติบโตล่วงหน้าถึง 30 ปี