ปลดหนี้ครูอีกแล้ว!! “บิ๊กตู่ - ครม.” ห่วง ให้ คลังคุย ศธ. หาทางคุมไม่ให้สร้างหนี้ใหม่ เผย ครม. ไฟเขียว “ธ.ออมสิน” ปล่อยเงินกู้ก้อนใหม่ หวังลดภาระหนี้ได้เฉลี่ยรายละ 300,000 - 600,000 บาท เชื่อลดภาระการผ่อนชำระหนี้เดิมลง คาดปลดหนี้ได้รายละ 2,000 - 4,000 บาทต่อเดือน ให้ครูใช้หนี้เดิม ดึง “เงิน ช.พ.ค.” หรือเลือก “บำเหน็จตกทอด” มาค้ำประกัน
วันนี้ (9 ก.พ.) พล.ต.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงว่า ที่ประชุม ครม. อนุมัติ “โครงการลดภาระหนี้ข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา” ตามที่กระทรวงการคลังเสนอมา โดยธนาคารออมสินจะปล่อยวงเงินสินเชื่อใหม่ให้ข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา คาดว่าจะช่วยแก้ปัญหาหนี้สินให้ครูและบุคลากรทางการศึกษาได้ 283,000 ราย ลดภาระหนี้ได้เฉลี่ยรายละ 300,000 - 600,000 บาท ทำให้ลดภาระการผ่อนชำระหนี้เดิมลง เหลือเดือนละ 2,000 - 4,000 บาท หรือบางรายก็สามารถชำระหนี้ปิดบัญชีได้
ขณะเดียวกัน ผู้ที่กู้เงินจะได้รับประโยชน์จากอัตราดอกเบี้ยที่ลดลงจากเดิมปีละ 5.85 - 6.70% เหลือปีละ 4% ทำให้ผู้กู้ไม่ต้องผ่อนชำระหนี้วงเงินสินเชื่อใหม่ตลอดอายุสัญญา รวมทั้งบรรดาครูและบุคลากรทางการศึกษาทั้งหมด จะได้มีขวัญกำลังใจในการทำงาน ช่วยให้เกิดการพัฒนาวิชาชีพครูในภาพรวมและคุณภาพการศึกษาของประเทศ
“ผู้กู้สามารถขอสินเชื่อใหม่ได้ทั้ง 2 วงเงิน ได้แก่ วงเงินกู้ใช้เงิน ช.พ.ค. ค้ำประกัน โดยกำหนดอัตราคอดเบี้ยเงินกู้แบบลดต้นลดดอก 4% ต่อปี ผู้กู้มีอายุเป็นสมาชิก ช.พ.ค. 50 ขึ้นไป ระยะเวลากู้ 20 ปี และวงเงินกู้บำเหน็จตกทอดค้ำประกัน อัตราคอดเบี้ยเงินกู้แบบลดต้นลดดอก 5% ต่อปี ผู้กู้มีสิทธิรับเงินบำนาญ ระยะเวลากู้ 20 ปี”
ทั้งนี้ ธนาคารออมสินจะปล่อยสินเชื่อใหม่ให้ข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา ที่สมัครใจเข้าร่วมโครงการ โดยใช้เงินทายาทจะได้รับในอนาคตเมื่อผู้กู้เสียชีวิต เพื่อใช้ค้ำประกัน ทั้งเงินฌาปนกิจสงเคราะห์ครอบครัว (ช.พ.ค.) หรือเงินบำเหน็จตกทอด นำค้ำประกันเพื่อขอเงินสินเชื่อใหม่ ในการช่วยลดภาระหนี้ หรือปิดบัญชีหนี้ที่มีอยู่ในปัจจุบัน ซึ่งธนาคารจะคิดดอกเบี้ยต่ำกว่าปกติให้ ขณะเดียวกันผู้กู้ก็ไม่ต้องผ่อนชำระหนี้ในวงเงินสินเชื่อใหม่ตลอดอายุสัญญา
“ในการประชุมครั้งนี้ มีข้อสังเกตจากนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีหลายคน ที่ให้ความเห็นประกอบการพิจารณาเอาไว้ ซึ่งเป็นสาระสำคัญของเรื่อง โดยแสดงความเป็นห่วงว่า เมื่อธนาคารออมสินปล่อยกู้ใหม่ไปแล้ว ก็อยากให้ครูใช้วงเงินนี้ให้ตรงตามวัตถุประสงค์ คือ ต้องไปใช้หนี้เดิมก่อน ไม่ใช่ไปสร้างหนี้ใหม่ เพราะไม่อย่างนั้นก็คงจะไปไม่รอด โดยนายกฯ ได้มอบหมายให้กระทรวงการคลัง ไปหารือกับกระทรวงศึกษา เพื่อพิจารราแนวทางการป้องกันปัญหานี้อีกที ขณะที่สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี ก็ทำความเห็นเสนอมาว่า ทั้ง 2 กระทรวงต้องไปติดตามการดำเนินโครงการและต้องรายงานมาให้ที่ประชุม ครม. ทราบภายใน 3 เดือน และต้องเสนอแนวทางการแก้ปัญหาในระยะยาวมาให้ ครม. ด้วย” โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าว
มีรายงานว่า การดำเนินโครงการดังกล่าว กระทรวงการคลัง ต้องตรวจสอบสถานะของผู้กู้ที่เป็นครูและบุคลากรทางการศึกษา ก่อนที่จะอนุมัติวงเงินสินเชื่อใหม่ให้ โดยออมสินก็มีหลักเกณฑ์การปล่อยกู้ที่เข้มงวดอยู่แล้ว พร้อมกับได้ตรวจสอบบัญชีของผู้กู้ด้วย จากนั้นเมื่อเห็นว่า มีความเหมาะสมที่ต้องเข้าให้ความช่วยเหลือรายที่เดือดร้อนจริง ๆ ก็พิจารณาปล่อยสินเชื่อให้.