xs
xsm
sm
md
lg

ผู้จัดการสุดสัปดาห์

x

“ธัมมชโย” ศิษย์ข้าใครอย่าแตะ มส.+สมเด็จช่วง+เจ้าคุณเบอร์ลิน....เชียร์ขาดใจ(นะจ๊ะ)

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


ผู้จัดการสุดสัปดาห์ - จากกรณีที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ(ดีเอสไอ) ส่งหนังสือแจ้งมายัง “มหาเถรสมาคม(มส.)” ให้รื้อฟื้นอธิกรณ์ที่คณะสงฆ์วินิจฉัยไปแล้ว เพื่อใช้กฎนิคหกรรมปรับอาบัติปาราชิก “พระเทพญาณมหามุนี” หรือ พระธัมมชโย เจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย ตามพระลิขิตของสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก นั้น บัดนี้ คำตอบที่ชัดเจนจาก มส.ได้ปรากฏเป็นที่เรียบร้อยแล้วในการประชุม มส.เมื่อวันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2559 ว่า “พระธัมมชโย ไม่ต้องอาบัติปาราชิก เนื่องจากคดียักยอกเงินและที่ดินตามพระลิขิตสมเด็จพระสังฆราชนั้น เรื่องได้ยุติที่ศาลชั้นต้นแล้ว รวมทั้งไม่มีการยื่นอุทธรณ์”

นี่คือ “หวยล็อก” ที่ตรงเผงกับสิ่งที่สังคมคาดการณ์เอาไว้ตั้งแต่แรก

นี่คือความยิ่งใหญ่ของพระธัมมชโยที่ไม่อาจปฏิเสธความจริง

และแน่นอนว่า บรรดา “#ทีมธัมมี่” ย่อมต้องพร้อมใจกันส่งเสียง “สาธุ” ด้วยความยินดีปรีดาที่ “ลูกพี่” พ้นมลทินเสียที

#ทีมธีมมี่ที่ว่านั้น ประกอบไปด้วยตัวละครเก่าๆ อย่างสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ(พศ.) และมหาเถรสมาคม(มส.) ที่เป็นที่รับรู้กันว่า มีหัวใจดวงเดียวกับพระธัมมชโยและวัดพระธรรมกาย รวมถึงตัวละครใหม่ๆ ที่ต้องจับตากับความเคลื่อนไหวที่ร้อนแรงเป็นพิเศษ ซึ่งจะเป็นใครเสียไม่ได้นอกจาก พระโสภณพุทธวิเทศ(จิตต์ก์ ญาณชโย) เจ้าอาวาสวัดพุทธาราม เบอร์ลิน ประเทศสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี หรือที่รู้จักกันในชื่อ “เจ้าคุณเบอร์ลิน”

งานนี้ #ทีมธัมมี่ได้ประกาศศักดาให้เห็นอีกครั้งว่า “ศิษย์ข้าใครอย่าแตะ” หรือ “ลูกพี่ใครอย่าแตะ” นะจ๊ะจะบอกให้
พระธัมมชโยขณะเข้ารับตาลปัตรพัดยศเลื่อนสมณศักดิ์เป็นพระเทพญาณมหามุนี จาก “สมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์(ช่วง วรปุญฺโญ) ผู้เป็นพระอุปัชฌาย์ เมื่อปี 2554
เมื่อ มส.มีมติอุ้ม “พระธัมมชโย”

กรณี มส.มีมติอุ้มพระธัมมชโยที่เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2559 นั้น เป็นผลมาจากการที่ หลวงปู่พุทธะอิสระ เจ้าอาวาสวัดอ้อน้อย ได้ยื่นเรื่องต่อกรมสอบสวนคดีพิเศษให้ตรวจสอบพฤติการณ์ของพระธัมมชโย และเจ้าคณะผู้ปกครองสงฆ์ที่เกี่ยวข้อง ที่อาจกระทำผิดอาญาในฐานะเป็นเจ้าพนักงานตามประมวลกฎหมายอาญา และพระราชบัญญัติสงฆ์ อันมีสาระเกี่ยวกับประเด็นที่ประมาณ พ.ศ. 2542 พระธัมมชโย ถูกดำเนินคดีฐานเป็นเจ้าพนักงาน มีหน้าที่ซื้อ ทำหรือจัดการ หรือรักษาทรัพย์ใด เบียดบังทรัพย์ โดยการนำเงินของวัดพระธรรมกายไปซื้อที่ดินและโอนเป็นชื่อตนเอง แม้คดีอาญาจะเป็นที่ยุติจากการถอนฟ้องของพนักงานอัยการ แต่ในประเด็นนี้ สมเด็จพระสังฆราชได้มีพระลิขิตให้พระธัมมชโยต้องอาบัติปาราชิก ซึ่งคณะผู้ปกครองสงฆ์ยังไม่ดำเนินการให้เป็นไปตามกฎหมาย

ทั้งนี้ ในชั้นสืบสวนของดีเอสไอพบว่า ที่ประชุม มส.ได้มีการประชุมเมื่อวันที่ 5 เม.ย. 2542 และมีมติมอบเอกสารพระลิขิตให้เจ้าคณะภาค 1 พิจารณา ซึ่งพระลิขิตดังกล่าว มีการนำเสนอที่ประชุม มส.ในการประชุมครั้งที่ 15/2542 เมื่อ 26 เม.ย. 2542 และครั้งที่ 16/2542 เมื่อ 10 พ.ค. 2542 โดยที่ประชุมได้มีมติสนองพระดำริให้ชอบด้วยกฎหมาย พระธรรมวินัย และกฎมหาเถรสมาคม และนอกจากนั้นยังมีมติมหาเถรสมาคมครั้งที่ 193/2542 ที่ให้สนองพระดำริโดยตลอดให้ชอบด้วยกฎหมาย พระธรรมวินัย และกฎมหาเถรสมาคมอีกด้วย ในประเด็นนี้ พิจารณาแล้วเห็นว่า ตาม พ.ร.บ.คณะสงฆ์ พ.ศ. 2505 (แก้ไขเพิ่มเติม ฉบับที่ 2 พ.ศ. 2535) มาตรา 8 กำหนดให้สมเด็จพระสังฆราชทรงดำรงตำแหน่งสกลมหาสังฆปริณายก ทรงบัญชาการคณะสงฆ์และทรงตราพระบัญชาสมเด็จพระสังฆราชโดยไม่ขัดหรือแย้งกับกฎหมาย พระธรรมวินัย และกฎมหาเถรสมาคม และในมาตรา 15 ตรี กำหนดให้ มส.มีอำนาจหน้าที่ในการปกครองคณะสงฆ์ให้เป็นไปโดยเรียบร้อยดีงาม รักษาหลักพระธรรมวินัยของพระพุทธศาสนา และมาตรา 13 กำหนดให้ผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) เป็นเลขาธิการ มส.โดยตำแหน่ง ซึ่งตามกฎหมาย พศ.มีอำนาจหน้าที่ในการรับสนองงานตามบัญชาและพระกรณียกิจของพระสังฆราช รวมทั้งดำเนินการและประสานงานกับคณะสงฆ์ในการลงนิคหกรรมและตรวจตราถวายคำแนะนำแก่พระภิกษุ สามเณร ฯ

เมื่อประกอบกับข้อเท็จจริงที่พบว่าที่ประชุม มส.มีเพียงมติรับทราบ โดยยังไม่ได้ตัดสินหรือรับรองว่า พระธัมมชโย ต้องอาบัติปาราชิกตามพระลิขิตของสมเด็จพระสังฆราช ตามเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2542 หรือไม่ ประกอบกับ มส.และ ผอ.พศ.ก็เป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐที่มีอำนาจหน้าที่ดำเนินการให้เป็นไปตาม พ.ร.บ.สงฆ์ พ.ศ. 2505 ให้ครบถ้วนทุกประเด็น ด้วยเหตุดังกล่าว ดีเอสไอจึงมีหนังสือแจ้งผลการสืบสวนและขอทราบความคืบหน้าในการดำเนินการเรื่องดังกล่าว และจะได้แจ้งผลการดำเนินการให้ผู้ร้องทราบ อันเป็นการดำเนินการตามกฎหมาย ไม่ใช่การใช้อำนาจฝ่ายอาณาจักรแทรกแซงศาสนจักร

นั่นคือคำอธิบายจากกรมสอบสวนคดีพิเศษ ซึ่งต้องถือว่ามีความชัดเจน

ทว่า เมื่อ พศ.นำเรื่องเข้าสู่การประชุมของ มส. ซึ่งมี “สมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์(ช่วง วรปุญฺโญ) นั่งเป็นประธาน ทุกอย่างก็จบลงอย่างแฮปปี้เอนดิ้ง เนื่องจาก มส.มีมติว่า พระธัมมชโยไม่ต้องอาบัติปาราชิก ซึ่งก็ไม่ได้ผิดจากความคาดหมายเท่าใดนัก เพราะเป็นที่รับรู้อยู่แล้วว่า มส.(จำนวนมาก) มีความสัมพันธ์อันดีกับวัดพระธรรมกายและพระธัมมชโย

โดยเฉพาะอย่างยิ่งตัวสมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์(ช่วง วรปุญฺโญ) ผู้เป็นอุปัชฌาย์ ที่เคยกล่าวไว้ว่า “วัดปากน้ำกับวัดพระธรรมกายเป็นวัดพี่วัดน้อง หรือเสมือนหนึ่งว่าเป็นวัดเดียวกันมีอะไรก็ช่วยเหลือเกื้อกูลกัน วัดปากน้ำมีวัด พระธรรมกาย มีอะไรก็ช่วยเหลือเกื้อกูลกัน”

นายชยพล พงษ์สีดา รองผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) อธิบายรายละเอียดที่ มส.มีมติเช่นนั้นว่า การดำเนินคดีทางสงฆ์ตามพ.ร.บ.คณะสงฆ์ พ.ศ.2505 แก้ไขเพิ่มเติม พ.ศ.2535 หากเปรียบในคดีทางโลกจะเริ่มต้นจากศาลชั้นต้น โดยมีเจ้าคณะจังหวัดปทุมธานี รองเจ้าคณะภาค และเจ้าคณะภาค ร่วมกันพิจารณา ซึ่งในช่วงปี 2542 ที่มีการยื่นฟ้องคดีทางสงฆ์กล่าวหาพระธัมมชโยนั้น คณะพิจารณาของศาลชั้นต้นทางสงฆ์ไม่รับคำร้องของผู้ยื่นฟ้องคดี เนื่องจากคำร้องไม่สมบูรณ์และศาลชั้นต้นทางสงฆ์ได้เปิดโอกาสให้อุทธรณ์ภายใน 30 วัน แต่ผู้ยื่นฟ้องคดีไม่มายื่นอุทธรณ์และได้ถอนฟ้องไป 1 คน ทำให้การพิจารณาคดีในทางสงฆ์ต้องยุติลง เมื่อคดียุติลงจึงไม่มีการพิจารณาไปถึงกระบวนการที่ชี้ชัดว่า พระธัมมชโย อาบัติ ปาราชิก หรือไม่ ดังนั้น คดีทางสงฆ์จึงไปไม่ถึงการพิจารณาในขั้นเจ้าคณะใหญ่หนกลาง และมหาเถรสมาคม อย่างไรก็ตามผู้ยื่นฟ้องคดีทางสงฆ์ได้ยื่นฟ้องคดีทางโลกไปพร้อมกันด้วย แต่ต่อมาผู้ร้องได้ขอถอนฟ้อง ส่งผลให้คดีสิ้นสุดลงเช่นกัน

“ตามกฎหมายและพระวินัยไม่สามารถที่จะรื้อฟื้นคดีเดิมที่พิจารณาสิ้นสุดแล้วมาพิจารณาใหม่ ดังนั้นหากจะฟ้องร้องพระธัมมชโยอีกก็จะต้องเป็นข้อกล่าวหาในคดีอื่นๆ ที่เป็นคดีใหม่ ซึ่งไม่ใช่กรณีข้อกล่าวหายักยอกที่ดิน ส่วนกรณีที่ดีเอสไอ มองว่า มส.ละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ตามมาตรา 157 ยืนยันว่า พศ.และ มส.ได้ดำเนินงานเรื่องนี้อย่างเต็มที่แล้ว”นายชยพลแจกแจง

ทั้งนี้ มติของ มส.เป็นไปในทิศทางตรงกันข้ามกับ นายชูชาติ ศรีแสง อดีตผู้พิพากษาหัวหน้าคณะในศาลฎีกา โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว ระบุตอนหนึ่งว่า การที่เจ้าอาวาสวัดพระธรรมกายเอาที่ดินของวัดมาใส่ชื่อตนเองในโฉนดที่ดินเป็นผลให้ที่ดินก็ตกเป็นกรรมสิทธิ์ของตนเองอันเป็นความผิดฐานยักยอกตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 252 ซึ่งเป็นความผิดอันยอมความได้ และได้ถูกฟ้องเป็นจำเลยต่อศาลในข้อหายักยอก แม้ต่อมาได้โอนคืนที่ดินให้แก่วัดและพนักงานอัยการโจทก์ขอถอนฟ้องคดีไปจากศาล แต่ความผิดฐานยักยอกทรัพย์ที่ครบองค์ประกอบความผิดโดยสมบูรณ์แล้ว ก็ยังคงเป็นความผิดอยู่ ดังนั้น เจ้าอาวาสวัดพระธรรมกายก็ต้องอาบัติปาราชิกและต้องขาดความเป็นพระภิกษุ

กระนั้นก็ดี คำอธิบายของนายชยพลทำให้เห็นความจริงประการหนึ่งว่า องค์กรปกครองคณะสงฆ์ยืนอยู่ข้างใคร และทำไมคดีนี้จึงถูกตัดตอนมาตั้งแต่ชั้นเจ้าคณะจังหวัดปทุมธานี รองเจ้าคณะภาค เจ้าคณะภาค และไม่ว่าจะมีใครร้องซ้ำอีก ทุกอย่างก็จะจบลงเหมือนที่ผ่านมาทุกครั้ง

ที่สำคัญคือ ในการพิจารณาครั้งนี้ มส.จึงเป็นองค์กรปกครองสูงสุดของคณะสงฆ์มิได้มองเรื่องความถูกความผิดของพระธัมมชโยตามพระลิขิตของสมเด็จพระสังฆราช หากแต่การไม่รับพิจารณาคดีนั้น เป็นเพียงเรื่องของ “เทคนิค” เท่านั้น

และเมื่อเป็นเช่นนี้ก็เห็นทีจะเหลือแค่ “คดีสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนคลองจั่น” เท่านั้นที่อาจจะจัดการพระธัมมชโยได้ เพราะงานนี้มีการเปิดเผยออกมาจาก พ.ต.ท.สมบูรณ์ สาระสิทธิ์ รองอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) แล้วว่า “ทางพนักงานอัยการได้มีหนังสือแจ้งกลับมาทางดีเอสไอ เมื่อวันที่ 29 ม.ค.ที่ผ่านมา ให้พนักงานสอบสวนดีเอสไอสามารถดำเนินการพิจารณาในเรื่องของฐานความผิดฟอกเงินหรือรับของโจรได้เลย”

งานนี้ก็ต้องติดตามกันต่อไปว่า หวยจะออกอย่างไร จะมีใครมาอุ้มพระธัมมชโยอีกหรือไม่
ไม่ต้องบรรยายภาพก็รู้ว่าจุดยืนของเจ้าคุณเบอร์ลินอยู่ตรงไหน

ชำแหละตัวตน “เจ้าคุณบอร์ลิน”

ส่วนตัวละครหน้าใหม่คือ “เจ้าคุณเบอร์ลิน” นั้น หากยังจำกันได้ ก่อนหน้านี้เจ้าคุณเบอร์ลินผู้นี้ก็เคยมีเรื่องมีราวกับ “ไพบูลย์ นิติตะวัน” อดีตสมาชิกสภาปฏิรูปแห่งชาติ(สปช.) ซึ่งเกาะติดคดีพระธัมมชโยอย่างใกล้ชิดจนถึงขั้นจะฟ้องร้องดำเนินคดีมาแล้ว รวมถึง หลวงปู่พุทธะอิสระ เจ้าอาวาสวัดอ้อน้อย อ.กำแพงแสน จ.นครปฐม ก็ได้โพสต์ข้อความพร้อมรูปภาพผ่านเฟซบุ๊ก “หลวงปู่พุทธะอิสระ (Buddha Isara)” ว่าเตรียมที่จะนำหลักฐานไปแจ้งความเจ้าคุณเบอร์ลินด้วยเช่นกัน

เรื่องของเรื่องที่ทำให้ “เจ้าคุณเบอร์ลิน” ลุกขึ้นสู้เพื่อพระธัมมชโย เป็นผลมาจากการที่ หลวงปู่พุทธะอิสระ ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กเมื่อวันที่ 6 มกราคม 2559 ที่ผ่านมาว่า ดีเอสไอได้เชิญหลวงปู่พุทธะอิสระไปรับทราบความคืบหน้าของคดีพระธัมมชโย และพวก โดยดีเอสไอมีความเห็นเป็นเอกฉันท์ตามพระวินิจฉัยของสมเด็จพระสังฆราช ที่ทรงตัดสินพระธัมมชัยโยปาราชิกตั้งแต่ปี 2542

ทันทีที่ข่าวปรากฏ สถานการณ์ก็ร้อนแรงมากขึ้นเป็นลำดับ โดยแม้ พ.ต.ต.วรณัน ศรีล้ำ ผอ.ศูนย์บริหารคดีพิเศษกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) จะออกมาปฏิเสธว่าไม่ทราบเรื่องที่ทางพนักงานสอบสวนของดีเอสไอได้เชิญหลวงปู่พุทธะอิสระ มารับทราบความคืบหน้าในคดีดังกล่าว พร้อมทั้งระบุชัดเจนว่า กรณีที่พระธัมมชโยเป็นปาราชิกขาดจากความเป็นภิกษุตามพระลิขิตของสมเด็จพระสังฆราชนั้น ไม่ได้อยู่ในอำนาจหน้าที่ของดีเอสไอ เพราะเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับสงฆ์

แต่ก็มีสิ่งที่ต้องขีดเส้นใต้สองเส้นเอาไว้ เพราะ พ.ต.ต.วรณันบอกเอาไว้ว่า “ได้ส่งพยานหลักฐานทั้งหมดไปให้กับสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ และ มส.ให้ไปดำเนินการถอดยศปาราชิกพระธัมมชโยต่อไป ทั้งนี้ ดีเอสไอจะสอบถามความคืบหน้าไปยังสำนักพระพุทธศาสนาแห่งชาติอีกครั้งว่าได้ดำเนินการแล้วหรือไม่อย่างไร”

จากนั้น เจ้าคุณเบอร์ลินก็ออกมาเคลื่อนไหวด้วยการโพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก เมื่อวันที่ 24 มกราคมที่ผ่านมา โดยระบุว่า “ไพบูลย์ ได้สถาปนา พุทธะอิสระเป็นสังฆราช องค์ที่ 20 เรียบร้อยพร้อมสร้อยพระนาม …” ซึ่งส่งผลทำให้นายไพบูลย์ นิติตะวัน อดีตประธานกรรมการปฏิรูปแนวทางและมาตราการปกป้องพิทักษ์กิจการพระพุทธศาสนา สภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) ตั้งโต๊ะแถลงข่าวว่า จะดำเนินคดีตามกฎหมายกับเจ้าคุณเบอร์ลินเนื่องจากได้โพสต์ข้อความอันเป็นเท็จ

ชื่อของเจ้าคุณเบอร์ลินก็ดังกระหึ่มขึ้นมาพร้อมข้อสงสัยว่า เจ้าคุณองค์นี้คือใคร

นายไพบูลย์แจกแจงความผิดของเจ้าคุณเบอร์ลินเอาไว้ด้วยว่า การกระทำเจ้าคุณเบอร์ลินในฐานะเป็นภิกษุชั้นราชาคณะ เข้าข่ายกระทำวจีทุจริต 4 ฝ่าฝืนพระธรรมวินัย ผิดต่อศีลของภิกษุและยังผิดศีล 5 ในข้อ 4 มุสาวาทาเวรมณี ทั้งๆ ที่เป็นบรรพชิต อีกทั้งอาจเข้าข่ายการกระทำผิด ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 326,328 และผิดตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ.2550 มาตรา 14 ประกอบกับมาตรา 17 อย่างไรก็ตาม แม้ว่าขณะนี้เจ้าคุณเบอร์ลินจะทำหน้าที่อยู่ต่างประเทศแต่จะต้องถูกดำเนินคดีตามข้อกล่าวหาดังกล่าว

ตามต่อด้วยหลวงปู่พุทธะอิสระที่ประกาศเตรียมที่จะนำหลักฐานไปแจ้งความเจ้าคุณเบอร์ลินด้วยเช่นกัน

ต่อมาเมื่อวันที่ 28 ม.ค. 2559 เจ้าคุณเบอร์ลิน ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว “เจ้าคุณเบอร์ลิน พระโสภณพุทธิวิเทศ” ตอบโต้ร้อนแรงในบางช่วงบางตอนว่า “พุทธะอิสระ คุณทำไมถึงหลงตัวเองได้ถึงขนาดนี้ มาเดินตามผมมา จะพาไปหาแสงสว่าง 1. กฎหมายบรรดามีในโลกนี้ มันคุ้มครองพุทธะอิสระฝ่ายเดียวหรือไงครับ 2. พุทธะอิสระ รู้กฎหมาย คนเดียวหรือไงในปฐพีนี้ครับ 3. พุทธะอิสระว่าตนเองเสียหาย คนอื่นเขาไม่เสียหายจากจากการกระทำของพวกคุณหรือไงครับ 4. คุณมีทนาย นึกว่าคนอื่นเขาไม่มีหรือไงครับ 5. คุณมีกฎหมายไทยคุ้มครอง เจ้าคุณเบอร์ลิน ก็มีกฎหมายเยอรมันคุ้มครองเหมือนกัน 6. ผมจะบอกให้ครับ คำพูดบางคำที่อาจเป็นเท็จ และส่อเจตนากล่าวให้ร้าย มีพฤติกรรมคุกคามคนอื่น ด้วยการดูหมิ่นศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ที่คณะพวกคุณประพฤติต่อเนื่องกับคนอื่นนั้น กฎหมายยุโรปแรงครับ
นายชยพล พงษ์สีดา รองผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) ขณะกำลังอธิบายรายละเอียดว่า ทำไมพระธัมมชโยถึงไม่ต้องอาบัติปาราชิกเมื่อวันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2559 ที่ผ่านมา
“สุดท้าย อันนี้ไม่ขู่ แต่ขอบอกเฉย ๆ ว่า อันเจ้าคุณเบอร์ลิน อาสามาทำงานป้องภัยพระศาสนาครั้งนี้นั้น หาใช่มาคนเดียวไม่ ปัญญาคนเดียวคงไม่สามารถพังความสมหวังของพุทธะอิสระ และพวกได้ระเนระนาด ภายในเดือนเศษ ๆ ขนาดนี้ได้หรอกครับ และก็หาใช่เป็นตะเกียงไร้น้ำมันไม่" เจ้าคุณเบอร์ลิน ระบุ

นั่นคือฉากอันร้อนแรงระหว่างเจ้าคุณเบอร์ลิน หลวงปู่พุทธะอิสระและนายไพบูลย์

จากนั้นเจ้าคุณเบอร์ลินก็เปิดฉากเล่นงาน “ดีเอสไอ” อย่างต่อเนื่องในกรณีของพระธัมมชโยโดยระบุว่า ดีเอสไอใช้อำนาจอาณาจักรแทรกแซงศาสนจักร และเข้าข่ายชักพระสงฆ์เข้าหาอาบัติ ซึ่งเป็นอาบัติสังฆาทิเสส (อาบัติหนักที่ต้องอาศัยความอนุเคราะห์จากคณะสงฆ์จึงออกจากอาบัติได้) เนื่องจากการลงนิคหกรรมเป็นกระบวนการทางพระธรรมวินัย โดยพระพุทธองค์ให้ภิกษุผู้มีสังวาสเสมอกัน (ทำสังฆกรรมร่วมกัน ) ลงนิคหกรรมกัน ที่สอดคล้องกับกฎ มส.ฉบับที่ 11 (พ.ศ.2521) ว่าด้วยการลงนิคหกรรม เพื่อป้องกันการใส่ความกลั่นแกล้งซึ่งกันและกันโดยไม่เป็นธรรม จากภิกษุผู้เป็นนานาสังวาส ทั้งนี้ เป็นการป้องกันไม่ให้ภิกษุผู้ไร้ยางอายใช้อธิกรณ์ เป็นเหตุตะเกียกตะกายทำลายคณะสงฆ์ และการกระทำดังกล่าวของดีเอสไอ เป็นความผิดอย่างมหันต์ในหลักพระพุทธศาสนา เพราะเป็นการชักสงฆ์ให้เข้าหาอาบัติหนัก ผิดทั้งพระธรรมวินัย และผิดทั้งกฎนิคหกรรม

งานนี้ เจ้าคุณเบอร์ลินประกาศตัวชัดเจนว่ายืนอยู่ข้างพระธัมมชโย และวัดพระธรรมกาย โดยโต้ชี้แจงข้อมูลตอบโต้ดีเอสไออย่างถึงพริกถึงขิง ซึ่งความจริงก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรที่เจ้าคุณเบอร์ลินจะมีความคิดเห็นเช่นนั้น เพราะเป็นที่รับรู้อยู่แล้วว่า เจ้าคุณเบอร์ลินคือใคร และมีความสัมพันธ์กับฝ่ายศาสนจักรดงขมิ้นฝ่ายไหนและฝ่ายอาณาจักรปีกใด

เฉกเช่นเดียวกับกรรมการ มส.(บางคน) ที่มีความรู้สึกดีๆ ให้กับพระธัมมชโยตลอดมา



กำลังโหลดความคิดเห็น