ริมฝั่งเจ้าพระยา
โดย...สุนันท์ ศรีจันทรา
เป็นที่แน่นอนแล้วว่า บริษัท บิ๊กซี ซุปเปอร์เซนเตอร์ จำกัด(มหาชน) ห้างค้าปลีกยักษ์ใหญ่อันดับสองของประเทศ จะตกอยู่ในมือของ นายเจริญ สิริวัฒนภักดี เจ้าของเบียร์ช้าง เหลือเพียงขึ้นตอนการซื้อขายหุ้นที่จะเสร็จสิ้นภายในเดือนมีนาคมนี้เท่านั้น
คาสิโนกรุ๊ป บริษัทค้าปลีกของฝรั่งเศส ซึ่งถือหุ้นใน “บิ๊กซี” ประมาณ 58% มีความต้องการขายหุ้นออก เพื่อนำเงินลดยอดหนี้สิน โดยมีกลุ่มเซ็นทรัลของตระกูลจิราธิวัฒน์ กลุ่มซีพีของนายธนินท์ เจียรวนนท์ และกลุ่มเบียร์ช้างของนายเจริญเสนอตัวเข้าซื้อ
แต่นายเจริญยื่นเงื่อนไขดีที่สุด จึงบรรลุข้อตกลงในการเจรจา โดยใช้เงินประหมดประมาณ 1.24 แสน ล้านบาท เพื่อฮุบ “บิ๊กซี”
การที่มหาเศรษฐี3อันดับแรกของประเทศไทย โดดเข้าสู่สนามการแข่งขันธุรกิจค้าปลีก ไม่เพียงเป็นปรากฏการณ์ขยายอาณาจักรธุรกิจเท่านั้นและไม่ใช่เพียงปรากฏการณ์การแย่งชิงเป็นมหาเศรษฐีอันดับหนึ่ง แต่ยังเป็นปรากฏการณ์ที่ส่งสัญญาณให้สังคมรับรู้ว่า ธุรกิจค้าปลีกคือขุมทอง เป็นธุรกิจที่ทำเงินดี และนำไปสู่การค้าขายในลักษณะกินรวบอย่างเบ็ดเสร็จ
ประมาณ 30-40 ปีก่อน สังคมจะพูดถึงตระกูลมหาเศรษฐีเพียง 5-6ตระกูล โดยทุกตระกูลมีธนาคารพาณิชย์เป็นอาณาจักรของตัวเอง
ธนาคารกรุงเทพเป็นของตระกูลโสภณพนิช ธนาคารกสิกรไทยเป็นของตระกูลล่ำซำ ธนาคารศรีนครของตระกูลเตชะไพบูลย์ ธนาคารหวั่งหลีของ ตระกูลหวั่งหลี ธนาคารแหลมทองของตระกูลนันทาภิวัฒน์ หรือเบียร์สิงห์ของตระกูลบุญรอด
แต่วิกฤตเศรษฐกิจปี 2540 ทำให้ธนาคารหลายแห่งต้องล่มสลาย มหาเศรษฐีหลายตระกูลตกอันดับไป ธนาคารยักษ์ใหญ่ต้องเปลี่ยนมือ เปิดทางให้ต่างชาติเข้ามาถือหุ้นใหญ่ เพื่อความอยู่รอด
ตระกูลมหาเศรษฐีรุ่นต่อมา กลายเป็นเจ้าพ่อโรงเหล็ก เจ้าพ่อโรงเหล้า เจ้าพ่อน้ำเมา เจ้าพ่ออาหารสัตว์ เจ้าพ่อโทรศัพท์มือถือ หรือเจ้าพ่อธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์
ปัจจุบันตระกูลมหาเศรษฐีอันดับต้นๆของเมืองไทย กลายเป็นเจ้าพ่อการค้าในลักษณะกินรวบ หันเข้ามาทำธุรกิจทุกอย่างตั้งแต่ไม้จิ้มฟันยันเรือรบ และพยายามสร้างเครือข่ายการค้าในรูปแบบการผูกขาด โดยกลุ่มซีพีถูกเฝ้าจับตาในพฤติกรรมการค้ามาตลอด
แม้นายเจริญจะมีอาณาจักรกว้างขวางใหญ่โต มีธุรกิจเบียร์และสุราซึ่งทำหน้าที่เหมือนเครื่องพิมพ์ธนบัตรป้อนเข้ามาทุกวัน มีสภาพคล่องเหลือเฟือ สามารถกว้านซื้อที่ดินตุนไว้มหาศาล ซื้อกิจการต่างๆมากมาย แต่นายเจริญคงประเมินแล้วว่าถ้าปล่อยให้กลุ่มซีพีรุกขยายอาณาจักรค้าปลีกต่อไป โดยไม่รีบโดดลงสนามช่วงชิงพื้นที่ ในอนาคตกลุ่มสิริวัฒนาภักดี จะ “ไล่กวด”ความเป็นมหาเศรษฐีของกลุ่มเจียรวนนท์ไม่ทัน และนายธนินท์จะกลายเป็นมหาเศรษฐีอันดับหนึ่งของประเทศไทยตลอดกาล ยอดความร่ำรวยจะทิ้งห่างมหาเศรษฐีอันดับ2ชนิดไม่เห็นฝุ่น
นายธนินท์ครองความเป็นมหาเศรษฐีอันดับหนึ่งจากการวบรวมข่อมูลของนิตยสาร์ฟอร์บส์ ประเทศไทยด้วยเงิน 4.8 แสนล้านบาท นายเจริญครองมหาเศรษฐีอันดับสองด้วยเงิน4.3แสนล้านบาท และตระกูลจิราธิวัฒน์ครองมหาเศรษฐีอันดับ3ด้วยเงิน4.1แสนล้านบาท
ความแตกต่างในอันดับมหาเศรษฐีที่วัดกันด้วยเงินจำนวนไม่กี่หมื่นล้านบาท สำหรับเจ้าสัวทั้ง3กลุ่ม ยังสามารถไล่ตามกันทันได้ ถ้าใครได้โอกาสดีทางธุรกิจ
แต่ถ้าจมปรักอยู่กับการขายของเก่ากิน ไม่ปรับตัวสู่ลู่ทางธุรกิจใหม่ๆ ฐานะความเป็นมหาเศรษฐีจะถูกสั่นคลอน ซึ่งนายเจริญคงมองเห็นแล้ว จึงไม่ปล่อยให้กลุ่มซีพี “โกย” คนเดียวจากธุรกิจค้าปลีก
ใครที่มองว่า การที่เจ้าสัวใหญ่ตระกูลต่างๆ โดดเข้าสู่สนามธุรกิจค้าปลีก เพื่อขยายฐานธุรกิจรองรับเขตการค้าเสรีอาเซียนหรือเออีซี คงต้องถามว่าคิดไปเองหรือคิดมากไปหรือเปล่า
เพราะการที่กลุ่มเจ้าสัวโดดเปิดศึกยึดพื้นที่ธุรกิจค้าปลีก จริงๆ แล้วอาจไม่มีอะไรซับซ้อนมากไปกว่า บรรดาเจ้าสัวตระกูลมหาเศรษฐี ต้องการเสริมความมั่นคงในการเป็นตระกูลมหาเศรษฐี และเห็นว่า ธุรกิจค้าปลีกก็เป็นช่องทางที่จะทำให้เงินไหลมาเทมา โดยเฉพาะธุรกิจค้าปลีกในประเทศไทย
ห้างค้าปลีกขนาดใหญ่ในประเทศไทย เป็นของต่างชาติหมด และการที่ต่างชาติขายห้างค้าปลีกทิ้ง ก็เพราะธุรกิจค้าปลีกทั่วโลกซบเซา และทยอยเจ๊งกันหมด มีแต่ธุรกิจค้าปลีกและร้านสะดวกซื้อในประเทศไทยเท่านั้นที่ยังรุ่งเรือง โกยเงินได้ ขยายสาขากันมืดฟ้ามัวดิน แย่งยึดพื้นที่กันอุตลุด แถมยังใช้ยุทธศาสตร์การค้าลักษณะกินรวบ รุกรานทั้งผู้ผลิตสินค้าและพ่อค้าแม่ค้าระดับชาวบ้าน จนแทบไม่มีช่องว่างการค้าขายให้คนจน
การที่นายเจริญเข้ามาเทกโอเวอร์ “บิ๊กซี” จะทำให้อุณหภูมิการแข่งขันธุรกิจค้าปลีกร้อนแรงขึ้น พื้นที่ทำมาหากินของพ่อค้าแม่ค้าระดับรากหญ้าจะถูกรุกไล่ให้ไปอยู่กลางดงกลางป่า
ใครจะบอกได้ว่า การแข่งขันในธุรกิจค้าปลีกที่เล่นกันในกลุ่มเจ้าสัว จะทำให้ประชาชนได้ประโยชน์ และใครล่ะจะดูแลไม่ให้ธุรกิจค้าปลีก กลายเป็นการค้าผูกขาด โดยบรรดาเจ้าสัวตั้งตัวเป็นพ่อค้ากินรวบ เอารัดเอาเปรียบผู้บริโภค
นี่ต้องถือว่าโชคดีนะที่เสี่ยเจริญฮุบ “บิ๊กซี” ได้ ถ้าเป็นเจ้าสัวธนินท์ ธุรกิจค้าปลีกในประเทศไทยอาจตกอยู่ภายใต้การผูกขาดอย่างเบ็ดเสร็จ โดยกลุ่มซีพีจะกินทุกอย่างที่ขวางหน้า
โดย...สุนันท์ ศรีจันทรา
เป็นที่แน่นอนแล้วว่า บริษัท บิ๊กซี ซุปเปอร์เซนเตอร์ จำกัด(มหาชน) ห้างค้าปลีกยักษ์ใหญ่อันดับสองของประเทศ จะตกอยู่ในมือของ นายเจริญ สิริวัฒนภักดี เจ้าของเบียร์ช้าง เหลือเพียงขึ้นตอนการซื้อขายหุ้นที่จะเสร็จสิ้นภายในเดือนมีนาคมนี้เท่านั้น
คาสิโนกรุ๊ป บริษัทค้าปลีกของฝรั่งเศส ซึ่งถือหุ้นใน “บิ๊กซี” ประมาณ 58% มีความต้องการขายหุ้นออก เพื่อนำเงินลดยอดหนี้สิน โดยมีกลุ่มเซ็นทรัลของตระกูลจิราธิวัฒน์ กลุ่มซีพีของนายธนินท์ เจียรวนนท์ และกลุ่มเบียร์ช้างของนายเจริญเสนอตัวเข้าซื้อ
แต่นายเจริญยื่นเงื่อนไขดีที่สุด จึงบรรลุข้อตกลงในการเจรจา โดยใช้เงินประหมดประมาณ 1.24 แสน ล้านบาท เพื่อฮุบ “บิ๊กซี”
การที่มหาเศรษฐี3อันดับแรกของประเทศไทย โดดเข้าสู่สนามการแข่งขันธุรกิจค้าปลีก ไม่เพียงเป็นปรากฏการณ์ขยายอาณาจักรธุรกิจเท่านั้นและไม่ใช่เพียงปรากฏการณ์การแย่งชิงเป็นมหาเศรษฐีอันดับหนึ่ง แต่ยังเป็นปรากฏการณ์ที่ส่งสัญญาณให้สังคมรับรู้ว่า ธุรกิจค้าปลีกคือขุมทอง เป็นธุรกิจที่ทำเงินดี และนำไปสู่การค้าขายในลักษณะกินรวบอย่างเบ็ดเสร็จ
ประมาณ 30-40 ปีก่อน สังคมจะพูดถึงตระกูลมหาเศรษฐีเพียง 5-6ตระกูล โดยทุกตระกูลมีธนาคารพาณิชย์เป็นอาณาจักรของตัวเอง
ธนาคารกรุงเทพเป็นของตระกูลโสภณพนิช ธนาคารกสิกรไทยเป็นของตระกูลล่ำซำ ธนาคารศรีนครของตระกูลเตชะไพบูลย์ ธนาคารหวั่งหลีของ ตระกูลหวั่งหลี ธนาคารแหลมทองของตระกูลนันทาภิวัฒน์ หรือเบียร์สิงห์ของตระกูลบุญรอด
แต่วิกฤตเศรษฐกิจปี 2540 ทำให้ธนาคารหลายแห่งต้องล่มสลาย มหาเศรษฐีหลายตระกูลตกอันดับไป ธนาคารยักษ์ใหญ่ต้องเปลี่ยนมือ เปิดทางให้ต่างชาติเข้ามาถือหุ้นใหญ่ เพื่อความอยู่รอด
ตระกูลมหาเศรษฐีรุ่นต่อมา กลายเป็นเจ้าพ่อโรงเหล็ก เจ้าพ่อโรงเหล้า เจ้าพ่อน้ำเมา เจ้าพ่ออาหารสัตว์ เจ้าพ่อโทรศัพท์มือถือ หรือเจ้าพ่อธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์
ปัจจุบันตระกูลมหาเศรษฐีอันดับต้นๆของเมืองไทย กลายเป็นเจ้าพ่อการค้าในลักษณะกินรวบ หันเข้ามาทำธุรกิจทุกอย่างตั้งแต่ไม้จิ้มฟันยันเรือรบ และพยายามสร้างเครือข่ายการค้าในรูปแบบการผูกขาด โดยกลุ่มซีพีถูกเฝ้าจับตาในพฤติกรรมการค้ามาตลอด
แม้นายเจริญจะมีอาณาจักรกว้างขวางใหญ่โต มีธุรกิจเบียร์และสุราซึ่งทำหน้าที่เหมือนเครื่องพิมพ์ธนบัตรป้อนเข้ามาทุกวัน มีสภาพคล่องเหลือเฟือ สามารถกว้านซื้อที่ดินตุนไว้มหาศาล ซื้อกิจการต่างๆมากมาย แต่นายเจริญคงประเมินแล้วว่าถ้าปล่อยให้กลุ่มซีพีรุกขยายอาณาจักรค้าปลีกต่อไป โดยไม่รีบโดดลงสนามช่วงชิงพื้นที่ ในอนาคตกลุ่มสิริวัฒนาภักดี จะ “ไล่กวด”ความเป็นมหาเศรษฐีของกลุ่มเจียรวนนท์ไม่ทัน และนายธนินท์จะกลายเป็นมหาเศรษฐีอันดับหนึ่งของประเทศไทยตลอดกาล ยอดความร่ำรวยจะทิ้งห่างมหาเศรษฐีอันดับ2ชนิดไม่เห็นฝุ่น
นายธนินท์ครองความเป็นมหาเศรษฐีอันดับหนึ่งจากการวบรวมข่อมูลของนิตยสาร์ฟอร์บส์ ประเทศไทยด้วยเงิน 4.8 แสนล้านบาท นายเจริญครองมหาเศรษฐีอันดับสองด้วยเงิน4.3แสนล้านบาท และตระกูลจิราธิวัฒน์ครองมหาเศรษฐีอันดับ3ด้วยเงิน4.1แสนล้านบาท
ความแตกต่างในอันดับมหาเศรษฐีที่วัดกันด้วยเงินจำนวนไม่กี่หมื่นล้านบาท สำหรับเจ้าสัวทั้ง3กลุ่ม ยังสามารถไล่ตามกันทันได้ ถ้าใครได้โอกาสดีทางธุรกิจ
แต่ถ้าจมปรักอยู่กับการขายของเก่ากิน ไม่ปรับตัวสู่ลู่ทางธุรกิจใหม่ๆ ฐานะความเป็นมหาเศรษฐีจะถูกสั่นคลอน ซึ่งนายเจริญคงมองเห็นแล้ว จึงไม่ปล่อยให้กลุ่มซีพี “โกย” คนเดียวจากธุรกิจค้าปลีก
ใครที่มองว่า การที่เจ้าสัวใหญ่ตระกูลต่างๆ โดดเข้าสู่สนามธุรกิจค้าปลีก เพื่อขยายฐานธุรกิจรองรับเขตการค้าเสรีอาเซียนหรือเออีซี คงต้องถามว่าคิดไปเองหรือคิดมากไปหรือเปล่า
เพราะการที่กลุ่มเจ้าสัวโดดเปิดศึกยึดพื้นที่ธุรกิจค้าปลีก จริงๆ แล้วอาจไม่มีอะไรซับซ้อนมากไปกว่า บรรดาเจ้าสัวตระกูลมหาเศรษฐี ต้องการเสริมความมั่นคงในการเป็นตระกูลมหาเศรษฐี และเห็นว่า ธุรกิจค้าปลีกก็เป็นช่องทางที่จะทำให้เงินไหลมาเทมา โดยเฉพาะธุรกิจค้าปลีกในประเทศไทย
ห้างค้าปลีกขนาดใหญ่ในประเทศไทย เป็นของต่างชาติหมด และการที่ต่างชาติขายห้างค้าปลีกทิ้ง ก็เพราะธุรกิจค้าปลีกทั่วโลกซบเซา และทยอยเจ๊งกันหมด มีแต่ธุรกิจค้าปลีกและร้านสะดวกซื้อในประเทศไทยเท่านั้นที่ยังรุ่งเรือง โกยเงินได้ ขยายสาขากันมืดฟ้ามัวดิน แย่งยึดพื้นที่กันอุตลุด แถมยังใช้ยุทธศาสตร์การค้าลักษณะกินรวบ รุกรานทั้งผู้ผลิตสินค้าและพ่อค้าแม่ค้าระดับชาวบ้าน จนแทบไม่มีช่องว่างการค้าขายให้คนจน
การที่นายเจริญเข้ามาเทกโอเวอร์ “บิ๊กซี” จะทำให้อุณหภูมิการแข่งขันธุรกิจค้าปลีกร้อนแรงขึ้น พื้นที่ทำมาหากินของพ่อค้าแม่ค้าระดับรากหญ้าจะถูกรุกไล่ให้ไปอยู่กลางดงกลางป่า
ใครจะบอกได้ว่า การแข่งขันในธุรกิจค้าปลีกที่เล่นกันในกลุ่มเจ้าสัว จะทำให้ประชาชนได้ประโยชน์ และใครล่ะจะดูแลไม่ให้ธุรกิจค้าปลีก กลายเป็นการค้าผูกขาด โดยบรรดาเจ้าสัวตั้งตัวเป็นพ่อค้ากินรวบ เอารัดเอาเปรียบผู้บริโภค
นี่ต้องถือว่าโชคดีนะที่เสี่ยเจริญฮุบ “บิ๊กซี” ได้ ถ้าเป็นเจ้าสัวธนินท์ ธุรกิจค้าปลีกในประเทศไทยอาจตกอยู่ภายใต้การผูกขาดอย่างเบ็ดเสร็จ โดยกลุ่มซีพีจะกินทุกอย่างที่ขวางหน้า