ผู้จัดการสุดสัปดาห์ - ไม่รู้ว่ากินรังแตนมาเป็นอาหารเช้าหรืออย่างไร!!
ช่วงเช้าวันอังคาร 2 ก.พ.ที่ผ่านมา “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ออกอาการฟาดงวงฟาดงาใส่ “ผู้สื่อข่าว” แบบไม่มียั้ง เรียกว่า งานอีเวนต์ที่มักจะทำให้รื่นเริงก่อนประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) กร่อยไปทันตา ทำเอาข้าราชการ และดารานักร้อง ที่มาอยู่ตามบูธอีเวนต์วันนั้นถึงกับ “หน้าเจื่อน” ไปตามๆกัน
โดยเฉพาะในราย “หนุ่มบี้” สุกฤษฎิ์ วิเศษแก้ว ซูเปอร์สตาร์แห่งเวทีเดอะสตาร์ ที่มารณรงค์ต้านโรคมะเร็งกับกระทรวงสาธารณสุข ออก “ลูกเหวอ” จนเก็บอาการไม่อยู่ เมื่อเจอ “ลุงตู่” เวอร์ชั่น “ดุ โหด เหี้ยม”
เช้าวันนั้น “นายกฯตู่” มีสีหน้าบูดบึ้งตั้งแต่ร่วมอีเว้นท์แรก ที่ คุณหญิงแสงเดือน ณ นคร ประธานมูลนิธิสงเคราะห์ครอบครัวทหารผ่านศึก ในพระราชูปถัมภ์สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี เข้ามอบดอกป๊อปปี้ สัญลักษณ์แสดงความระลึกถึงและเชิดชูเกียรติทหารผ่านศึก เนื่องใน “วันทหารผ่านศึก” ก่อนจะแวะไปฟังรายละเอียดโปรแกรมประยุกต์เคลื่อนที่ (WMApp) ให้ผลการพยากรณ์อากาศความละเอียดสูง ที่สำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ นำมาจัดแสดงที่บูทข้างๆ
จู่ๆ “ท่านผู้นำ” ก็เริ่มพรั่งพรูความในใจออกมาแบบไม่มีปี่มีขลุ่ย โดยหันมาถามว่า “สิ่งที่เป็นปัญหาวันนี้คือการชี้แจงให้ทุกคนได้รับรู้ สำคัญเรื่องแหล่งน้ำที่ไปขุดไว้ไม่ตรงกับพื้นที่การเกษตร จะทำอย่างไร ถามว่าใครเป็นคนทำ” ซึ่งน่าจะหมายถึงปัญหา “ภัยแล้ง” ที่ยังมีการเตรียมการแหล่งกักเก็บน้ำได้ไม่เพียงพอ เมื่อ“กระจอกข่าวสาว” ตอบไปแบบไม่ทันคิดว่า “ทหารขุด” เท่านั้นล่ะ บรรยากาศในทำเนียบรัฐบาลก็ “ร้อนเป็นไฟ” ขึ้นมาทันที เมื่อ “นายกฯตู่” ย้อนกลับทันทีด้วยน้ำเสียงดุดันเป็นชุดว่า “เดี๋ยวทุบเลย หาว่าทหารทำ ถามใครเป็นคนทำ รัฐบาลไหน ทำให้รัฐบาลนี้มาแก้ไขทุกเรื่อง...”
ระหว่างนั้นผู้สื่อข่าวคนเดิมก็พยายามชี้แจงว่า คิดว่าถามว่าใครเป็นคนขุด แต่ “บิ๊กตู่” ก็ยังอยู่ในอารมณ์ฉุนเฉียวเกินกว่าจะรับฟัง
ยังไม่จบง่ายๆกับอารมณ์ของ “ท่านผู้นำ” ที่คุกรุ่นราวกับ “จรวดขีปนาวุธ” ที่เมื่อ “ขึ้น” แล้วหรือออกตัวไปแล้ว ก็มีอานุภาพ “ทำลายล้าง” เพียงอย่างเดียว จู่ๆจะ “ลง” เฉยๆก็คงไม่ได้
จากนั้น “บิ๊กตู่” เดินเยี่ยมชมผลงานสิ่งประดิษฐ์นักประดิษฐ์ไทยที่นำมาจัดแสดงในบริเวณนั้น เมื่อถึง “ชุดตรวจโรควัณโรค-วัณโรคดื้อยา” โดยอาจารย์จากมหาวิทยาลัยศรีนครินทร์วิโรฒฯ ตรงจุดนี้ “นายกฯตู่” ได้เปรยว่า “การพัฒนาต่างๆจะต้องทำให้เป็นขั้นตอน ไม่เช่นนั้นจะกลายเป็นเหยื่อจากเรื่องอื่นไปหมด” พร้อมทั้งกล่าวขอโทษผู้ที่มาจัดแสดงผลงานที่อารมณ์เสีย
ก่อนหันมาพูดกับสื่อมวลชนในบริเวณนั้นว่า “ไอ้พวกดื้อยา ไอ้พวกดื้อตาใส เจตนาดื้อ ดื้อแบบไม่บริสุทธิ์ นักวิชาการก็ต้องรีบทำ รีบพัฒนา หลังจากรัฐบาลนี้ก็คงไม่มีใครทำแล้ว อยากถามใครจะทำ ไปถาม ไปบังคับเขากันบ้าง”
ผู้สื่อข่าวประจำทำเนียบรัฐบาล ซึ่งเคยชินกับ “อาการเหวี่ยง” แบบนี้ก็ตอบว่า ต้องเป็นรัฐบาลชุดหน้าต้องเขียนไว้ในรัฐธรรมนูญให้ชัดเจน ทำให้ “บิ๊กตู่” โต้กลับอย่างดุเดือดว่า “ไปถามเขาเลย ไม่ต้องมาท้า ไปบังคับให้เขาทำเหมือนอย่างที่คุณบังคับผม” พร้อมตำหนิสื่อมวลชนว่า ไม่ได้ช่วยอธิบายเรื่องเนื้อหาของร่างรัฐธรรมนูญ
ขณะที่ผู้สื่อข่าวพยายามชี้แจงต่อไปว่า ทุกวันนี้สื่อก็ทำความเข้าใจกับสาธารณะตามหน้าที่อยู่แล้ว “นายกฯตู่” ได้ตอบกลับด้วยน้ำเสียงเชิงเสียดสีว่า “อ๋อเหรอ เห็นถามอยู่ทุกวันจะเลือกตั้งหรือเปล่า จะทำได้ทันในปี 60 หรือเปล่า ถามอยู่แค่นี้ จะเลือกอะไรก็เลือกไป จะเลือกพรุ่งนี้ก็เลือกไป ไปเลือกมา แล้วก็ได้ไอ้คนเฮงซวยเข้ามาอีก...”
เมื่อพูดจบ “บิ๊กตู่” ก็ได้โยนกล่อง “ชุดตรวจวัณโรค” ใส่กลุ่มผู้สื่อข่าว ก่อนหันไปชิมผลงานน้ำจิ้มสุกี้จากน้ำส้มสับประรด ผลงานของอาจารย์วิทยาลัยอาชีวศึกษาสุราษฎร์ธานี อึดใจเดียว“นายกฯตู่” หันมาระเบิดอารมณ์กับผู้สื่อข่าวอีกว่า “ต้องพัฒนาฝีมือตัวเองอยู่เรื่อยๆ เพราะมีพวกยุแยงตะแคงรั่ว น่ารำคาญ เอาสิ ด่าผมมาเลย ไม่กลัวอยู่แล้ว แล้ววันข้างหน้าก็คอยดูแล้วกัน ถ้าชาติมันย่อยยับ แล้วอย่าโทษฉัน สื่ออ่านสิ่งดีๆ ที่รัฐบาลทำบ้างไหม ตอบมาสิ”
ช่วงที่พูดอยู่นั้น “บิ๊กตู่” ได้เรียกหาโทรศัพท์ส่วนตัว ทำท่าจะเปิดบางสิ่งให้ผู้สื่อข่าวดู แต่ก็ไม่ได้เปิด เพียงแต่พูดเสียงดังว่า “ขอสู้กันสักตั้ง จะให้ฉันทำอะไร ถ้าคิดกันแค่นี้อย่ามาเป็นสื่อ ไปเป็นอะไรก็ได้ จะส่งมาทำไมวะ” ผู้สื่อข่าวหลายคนก็พยายามถามว่า สรุปเรื่องอะไรทำให้โมโหได้ขนาดนี้
“โง่ก็ไปหาเอาเอง ฉลาดกันอยู่แล้วไม่ใช่หรือ ไม่ต้องเสนอรูปฉันก็ได้ มันไม่เกิดประโยชน์ การทำเพื่อชาติบ้านเมืองมันลำบากนัก ก็ไม่ต้องทำหรอกวะ ล้วง แคะ แกะ เกามันทุกเรื่อง ไม่ต้องมาตั้ง กันแล้วทหาร เป็น ผบ.กับเขาหรือยังไง เป็นแก๊งนี้ แก๊งนั้น บ้าหรือเปล่า” คือคำตอบของ “นายกฯตู่”
ในช่วงที่ “บิ๊กตู่” กำลังดูผลงานเลนส์เสริมสมาร์ทโฟนเป็นกล้องจุลทรรศน์แบบพกพา ก็เปรยว่า “ผมไม่รู้เป็นอะไร คิดอะไรมามันผิดไปหมด”
บูธสุดท้ายเป็นการเชิญชวนสวมสายรัดข้อมือในแคมเปญ We Can. I Can. รณรงค์ป้องกันโรคมะเร็ง เนื่องในวันมะเร็งโลก 4 ก.พ.ของทุกปีของกระทรวงสาธารณสุข ซึ่งมี นพ.ปิยะสกล สกลสัตยาทร รมว.สาธารณสุข พร้อมศิลปินดารานำโดย “หนุ่มบี้ เดอะสตาร์” พรีเซนเตอร์ของโครงการร่วมนำเสนอ และเชิญ “นายกฯตู่” เขียนข้อความรณรงค์ที่โปสเตอร์โครงการ และถ่ายภาพร่วมกันเป็นที่ระลึก ก่อนที่จะเดินขึ้นตึกบัญชาการ 1 เพื่อร่วมการประชุม ครม.วันนั้น
ทั้งนี้ในระหว่างที่ “นายกฯตู่” เข้าเยี่ยมชมบูธของกระทรวงสาธารณสุข ใบหน้าของ “หนุ่มบี้”แม้จะเจือไปด้วยรอยยิ้ม แต่สีหน้า-แววตามีความกังวลอย่างเห็นได้ชัด หลังจากที่นายกฯขึ้นไปประชุมแล้ว ผู้สื่อข่าวก็ได้ไปสอบถาม “บี้ เดอะสตาร์” ว่ารู้สึกเช่นไรที่เห็นนายกฯอารมณ์ฉุนเฉียว นักร้องซูเปอร์สตาร์ตอบสั้นๆว่า “ก็รู้สึกตกใจ”
จากการตรวจสอบจาก “แหล่งข่าวที่ใกล้ชิด” เปิดเผยว่า สาเหตุที่ทำให้นายกฯฉุนเฉียวก็เนื่องมาจากในช่วงเช้าได้มี “ผู้สื่อข่าวรายหนึ่ง” ส่งข้อความไปสอบถาม “บิ๊กตู่” ทางโทรศัพท์เกี่ยวกับ “สมุดภาพ Infographic รัฐบาลเพื่อประชาชน” พร้อมตำหนิการประชาสัมพันธ์ และการสร้างความรับรู้ ทำให้ “นายกฯตู่” ซึ่งไม่พอใจ “งานพีอาร์” ของรัฐบาลเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว รู้สึกไม่พอใจมากยิ่งขึ้น ประกอบกับการที่ “บิ๊กตู่” ได้อ่าน “สื่อหนังสือพิมพ์” ที่เป็นกิจวัตรประจำวันในระหว่างที่เดินทางมาทำเนียบฯ ก็พบแต่ข่าวที่เกี่ยวกับร่างรัฐธรรมนูญ ที่ส่วนใหญ่เป็นความเห็นของ“ฝ่ายการเมือง” มากกว่าการนำเสนอแง่มุมการทำความเข้าใจของ คณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.)
จากความไม่พอใจดังกล่าว “นายกฯตู่” ได้สั่งการให้ “เสธ.ไก่อู” พล.ต.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ส่งข้อความข่าวมายังทางกลุ่มไลน์ “สื่อทำเนียบ แจ้งวาระ” ในทำนองว่า ขอให้สื่อมวลชนยกระดับการทำหน้าที่ในช่วงเช้าวันเดียวกัน
เสร็จสิ้นศึก“รอบเช้า” แต่ยังไม่จบยังมี “รอบบ่าย” อีก
ในช่วงบ่ายภายหลังการประชุม ครม.ทุกสัปดาห์ “บิ๊กตู่” ต้องมาแถลงด้วยตัวเองเป็นประจำ โดยได้เริ่มทักทายสื่อมวลชนผิดไปจากในช่วงเช้าว่า “สวัสดีครับ ตอนนี้มาแสดงบทบาทเป็นนายกฯที่ต้องพูดจาสุภาพเรียบร้อย เมื่อเช้าฤกษ์พานาทีมันเพี้ยนไปหน่อยมันเปลี่ยน” ก่อนปรับโทนดุดันขึ้น แล้วพูดในเชิงประชดว่า “..รู้ว่าเรื่องที่ทุกคนต้องการทราบมีอยู่เรื่องเดียวคือ ผลการพิจารณาของ ครม.เกี่ยวกับร่างรัฐธรรมนูญ เรื่องอื่นช่างมัน ไม่ต้องมี เรื่องอื่นไม่ต้องรู้หรอก รู้ไปก็ไม่มีประโยชน์”โดยได้กล่าวสรุปรวบรัดในประเด็นนี้ว่า ได้สั่งการให้ครม.กลับไปพิจารณาทบทวนร่างรัฐธรรมนูญภายใน 1 สัปดาห์ ก่อนจะส่งกลับไปยัง กรธ. ทั้งนี้ ยังยืนยันโรดแม็ปที่วางไว้คือ มีการเลือกตั้งในเดือน ก.ค.60 เหมือนเดิม
ทั้งนี้ตลอดการให้สัมภาษณ์รอบบ่าย “นายกฯตู่” ก็ยังมีท่าทีฉุนเฉียวเช่นเดิม พูดไปพูดมาจนผมที่เซตไว้กระเซอะกระเซิง บางช่วงได้ทุบโพเดี้ยมแถลงข่าวจนทำให้แว่นที่วางอยู่ตกลงพื้น จนเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยต้องรีบเดินมาเก็บให้
ในช่วงท้ายสื่อมวลชนได้ถามถึงความเห็นต่อร่างรัฐธรรมนูญของ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ที่เสนอให้นำรัฐธรรมนูญฉบับอื่นมาบังคับใช้ หากร่างรัฐธรรมนูญฉบับของ กรธ.ไม่ผ่านการประชามติ ทำให้ “ท่านผู้นำ” กล่าวด้วยน้ำเสียงหนักแน่นว่า “..คุณไม่เชื่อมั่นผมว่าผมทำเพื่ออะไร คุณไม่ไว้ใจผมเลย ทั้งที่ผมอยู่กับท่านมา 2 ปี แล้วคุณไม่คิดว่าผมทำอะไรบ้างเลยหรือไง คุณไว้ใจคนอื่นหมดทุกคนแต่ไม่ไว้ใจผมไร้ค่า” ก่อนที่จะเดินออกจากโพเดี้ยม และหันมาที่ผู้สื่อข่าวพร้อมเอานิ้วชี้ที่ตัวเอง และกล่าวย้ำว่า "ผมมันไร้ค่า"
นอกจากหงุดหงิดกับผู้สื่อข่าวแล้ว “ลูกน้อง” ก็ไม่รอด ช่วงหนึ่งระหว่างแถลงข่าวพล.ต.วีรชน สุคนธปฏิภาค รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ได้พยายาม “ตัดบท” โดยส่งสัญญาณว่า มี “แขกต่างประเทศ” มารอเข้าพบ เมื่อ “ท่านผู้นำ” เห็นสัญญาณถึงกับ “สบถ” ออกไปว่า “ทำไมเล่า ไอ้....นี่ก็..” เมื่อรู้ว่ามีแขกรออยู่ ก็สั่งไปว่า “รอไปก่อน ประเทศชาติสำคัญกว่า บอกไปว่าขอโทษ มีงานอยู่ แล้วเวลามันเล่น...ล่ะ ไปง้ออะไรนักหนา”
ซึ่ง “แขกต่างประเทศ” คนที่รออยู่ก็แค่ “ปลัดกระทรวงการต่างประเทศแห่งสหราชอาณาจักร” เท่านั้นเอง
เจอช็อตนี้เข้าไป “คนไทย” คงอุทานในใจกันบ้างว่า ใครบอกวะว่า “ลุงตู่” เป็นคนตลก!!
และคงลืมกันไปว่าเมื่อช่วงเทศกาลปีใหม่ที่ “บิ๊กตู่” เคยให้สัญญิงสัญญากับผู้สื่อข่าวว่า ปีวอกนี้จะปฏิรูปตัวเองเป็น “นิวตู่” พูดให้น้อยลง หงุดหงิดน้อยลง ย้ำด้วยว่าจะทำตัวเป็น “Good Guy”
แต่นับตั้งแต่ต้นปีเป็นต้นใหม่ ได้เจอ “นิวตู่” แค่ไม่กี่วัน ที่เหลือเป็น “บิ๊กตู่” คนเดิม เพิ่มเติมคือ “เดือด-ดุ” กว่าเดิมอีกหลายเท่าตัว จนอาจพูดได้ว่า การเหวี่ยงเมื่อช่วงเช้าวันที่ 2 ก.พ.ที่ผ่านมาถือเป็นครั้งรุนแรงที่สุดนับตั้งแต่เข้าสู่อำนาจเมื่อ 22 พ.ค.2557 ก็คงไม่ผิดนัก
หลายคนวิเคราะห์กันว่า ส่วนหนึ่งที่เก็บอารมณ์ไม่อยู่น่าจะมาจากปมร้อนอย่างเรื่องร่างรัฐธรรมนูญฉบับ “ซือแป๋” มีชัย ฤชุพันธุ์ ประธานคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) ที่กำลังโดนฝ่ายการเมืองรุมถล่มอย่างหนักว่า เป็น “อภิมหาเผด็จการ”
ฝ่ายการเมืองทั้ง พรรคเพื่อไทย-พรรคประชาธิปัตย์ ไม่มีใครชมสักคน มีแต่จ้องจะรณรงค์ให้พลิกคว่ำพลิกหงายกันตั้งแต่ร่างรัฐธรรมนูญฉบับสุดท้ายไม่เสร็จ ชนิดแย่งกระแส ดึงความสนใจจากประเด็นอื่น ขึ้นหน้าหนึ่งพาดหัวตัวเบ้อเร่อกันได้ทุกฉบับ จนเริ่มชักจะเหมือนอาการร่างรัฐธรรมนูญฉบับของ “ดร.ปื๊ด” บวรศักดิ์ อุวรรณโณ อดีตประธานคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญก่อนโดนสภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) ทำแท้งเข้าไปทุกที
หลายฝ่ายเลยฟันธงว่า เพราะเหตุนี้หรือเปล่าที่ทำให้ “บิ๊กตู่” หงุดหงิดใจที่สื่อไปให้พื้นที่ฝ่ายต้านมากกว่าฝ่ายชี้แจง แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น มันก็ไม่น่าจะถึงขนาดโยนข้าวโยนข้าว ประชดประชัน เพราะพลิกหน้าสื่อในวันนั้นพาดหัวใช้คำไม่ได้หนักหนาอะไรเลย
อีกทั้ง “บิ๊กตู่” เคยผ่านสถานการณ์ที่ถูกนักการเมืองวิพากษ์วิจารณ์หนักหนาสาหัสกว่านี้หลายเท่า น่าจะสะกดอารมณ์ตัวเองได้ แต่เหตุใดวันนั้นถึง “โอเวอร์แอ็กชัน” กันเกินไป
เรื่องของเรื่องมันจึงน่าจะเป็น “ตะกอน” จากการสะสมหลายเรื่องมารวมๆ กันมากกว่า ไม่ใช่รัฐธรรมนูญเพียงอย่างเดียว
ต้องยอมรับว่า สถานการณ์ของรัฐบาลปัจจุบันก็ไม่ค่อยดีเท่าไหร่ คะแนนความนิยมของ “บิ๊กตู่” จากการสำรวจในระยะหลังๆ ชักถอยลงมากกว่าถอยขึ้น ไม่ร้อนแรงเป็น “ซุป’ตาร์ตู่” เหมือนช่วงแรกๆ นอกจากนี้ ระยะนี้รัฐบาลจะทำอะไรก็ถูกเบรกถูกค้านกันไปหมด ไม่ว่าเรื่องเล็กเรื่องใหญ่
จะบอกว่า “ขาลง” ก็คงไม่ผิดไปจากความเป็นจริง
ตั้งแต่เรื่องไอเดียแก้กฎหมายขยายเวลาเช่าที่ดินพื้นที่อุตสาหกรรม และพาณิชยกรรมให้ธุรกิจต่างชาติจากเดิม 50 ปี เป็น 99 ปี ที่ถูกต่อต้านหนักว่า เป็นการเปิดช่องให้ “ทุนต่างด้าว-ท้าวต่างแดน” เข้ามาผูกขาดพื้นที่คนไทย ดีนะที่เป็น “รัฐบาลรัฐประหาร” ไม่อย่างนั้นโดนข้อหา “ไอ้ขายชาติ”ปะหน้าผากไปแล้ว
หรือการออกคำสั่งหัวหน้า คสช. ยกเว้นกฎหมายผังเมือง เพื่อสร้างโรงไฟฟ้าขยะ หรือคลังน้ำมัน ในพื้นที่ที่เคยถูกห้ามได้ เพื่อเอื้อต่อการส่งเสริมเขตเศรษฐกิจพิเศษ ก็ถูกเอ็นจีโอออกมาฮึ่มเสียงดัง
แล้วที่กำลังเครียดๆ หนัก ก็เห็นจะเป็น “ปัญหาภัยแล้ง” ที่ปีนี้หนักหน่วงในรอบ 20 ปี ที่แม้รัฐบาลจะออกมายืนยันว่า เพียงพอต่อการอุปโภคบริโภค แต่ในส่วนของการทำเกษตรกรรมอย่างไรก็ยังไม่พอ เพราะพื้นที่เกษตรกรรมกับพื้นที่ที่มีน้ำอยู่คนละพื้นที่คนละโซนกัน แถมการบริหารจัดการก็ไม่ใช่ว่าจะรื้อได้ดังใจ ต้องใช้เวลา ตามคิวที่มีการออกมาโยนขี้ให้รัฐบาลชุดก่อนๆ ว่า ขุดกันสะเปะสะปะเพื่อสนองฐานเสียงตัวเอง โดยไม่ได้วางระบบที่ดี
พืชผลทางการเกษตรก็ราคาไม่ดี เรื่องยางทุกวันนี้ยังแก้ไม่เป็นที่พอใจ การจ่ายเงินไร่ละ 1,500 บาท ถูกบ่นจากชาวสวนยางทุกวัน รัฐแก้ไม่ตรงจุด มีกระบวนการขั้นตอนมากเกินไป เปิดช่องให้ “นายทุน” ได้ประโยชน์อีกต่างหาก
นอกจากปัญหาภายนอกที่ควบคุมลำบาก ปัญหาภายในก็ยังแก้ไม่ตก โดยเฉพาะปัญหาข้าราชการ “เกียร์ว่าง” ที่ทำงานเช้าชามเย็นชาม รอเวลา “รัฐบาลทหาร” กลับกรมกองอย่างเดียว หรือแม้แต่ปัญหาข้าราชการ “เกียร์พัง” ที่ทำงานไม่ได้ดังใจ รอป้อนข้อมูลไปอย่างเดียว ไม่สั่งก็ไม่ยอมทำ หรือไม่เก็ตนโยบายรัฐบาลว่าควรจะต้องทำอย่างไร
สาหัสจนถึงขั้นต้องใช้ “มาตรา 44” ออกคำสั่งหัวหน้าคสช. ออกแบบประเมินใหม่ เพื่อดัดหลังพวก “เกียร์ว่าง” หวังกระตุ้นงานให้เดินไปได้บ้าง ไม่อย่างนั้นไม่ทำกันแน่ โดยมอบอำนาจให้รองนายกรัฐมนตรี รมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี และหัวหน้าส่วนราชการต่างๆ ที่ตัวเองวางเอาไว้เป็นคนประเมิน
แต่ก็มิวายยังโดน “คลื่นใต้น้ำ” มีการเคลื่อนไหวตอบโต้จากข้าราชการที่เสียประโยชน์ว่า การใช้ยาแรงชนิดใหม่ของคสช. เหมือนเป็นการรังแกข้าราชการ
ส่วนปมเรื่องสื่อที่กราดใส่ว่า เป็นพวก “ดื้อ-ไม่พัฒนา” เหตุก็เพราะหงุดหงิดที่เวลา “ข่าวเชิงลบ” ของรัฐบาล หรือฝ่ายตรงข้ามวิพากษ์วิจารณ์มักจะได้รับความสนใจจากพาดหัวใหญ่โต แต่เวลาข่าวประชาสัมพันธ์ของรัฐบาล นำเสนอกันอยู่หน้าในนิดเดียว
อารมณ์ประมาณว่า ไม่เข้าใจวิธีการนำเสนอของสื่อ จนกลายเป็นปมหาว่า สื่ออยู่ตรงข้ามตัวเอง น้อยอกน้อยใจจนเปรียบตัวเองเป็น “คนไร้ค่า” ที่ใครๆก็ไม่รัก
อย่างไรก็ดี บทวีนแตกเมื่อเช้าวันอังคาร ส่วนหนึ่งน่าจะเป็นปฏิบัติจิตวิทยาของ “บิ๊กตู่” เองด้วย ที่ถือคติ “ใส่ก่อนได้เปรียบ” เพื่อ “ตัดบท”เกี่ยวกับคำถามเรื่องรัฐธรรมนูญและการเลือกตั้งที่มักจะโดนจี้ถามทุกวัน ใส่ลูกแข็งกร้าว ร่ายยาวให้จบ จะได้ไม่ต้องมาล้วง แคะ แกะ เกา เอาอะไรกันอีก
ผ่านไปวันเดียว “บิ๊กตู่” ก็ให้ “เสธ.ไก่อู” พล.ต.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ออกมาขอโทษสื่อมวลชนและประชาชน หลังแสดงกิริยาเกรี้ยวกราด โดยธรรมชาติหากโกรธเคืองร้ายแรง ไม่มีทางที่วันเดียวจะหายสนิท
ดังนั้น มันก็เป็นแค่อาการกดดันและเครียดชั่ววูบ ขอแค่พื้นที่ได้ระบาย ไหนๆ ก็ลงหลังเสือไม่ได้อยู่แล้ว ตามที่เคยมีการซุบซิบกัน “บิ๊กตู่” มักฟินเสมอเวลาได้ปะทะฝีปากกับสื่อ.