“ธรรมะนี้มีไว้สำหรับให้คนที่อยู่ในโลกนี้มันหมดปัญหา”
ข้อความนี้อยู่ในหน้า 63 ของหนังสือ “ใช้ธรรมะกับการเมือง” นั่นเพราะผู้คนในโลก ไม่ว่ารวยหรือจน ล้วนมีปัญหาทั้งสิ้น ดังข้อความในหน้าเดียวกันระบุไว้ว่า
“ทีนี้ ก็มองไปถึงคนที่ร่ำรวยไม่อดอยาก แล้วทำไมจะต้องเป็นโรคภัยไข้เจ็บ เป็นโรคประสาท เป็นโรคจิต เป็นโรคอะไรต่างๆ เพราะจิตมันถูกทรมานโดยไม่มีธรรมะ เพราะฉะนั้น คนร่ำรวยมีอำนาจวาสนาก็เป็นโรคภัยไข้เจ็บทางจิตทางวิญญาณ ไม่มีความสุขก็มีอยู่มาก...
“เพราะฉะนั้นเราจะเอาเรื่องร่ำรวย หรือยากจนมาเป็นเครื่องวัดไม่ได้ ต้องเอาที่ว่า มีธรรมะหรือไม่มีธรรมะเป็นเครื่องวัด ถ้ามีธรรมะก็ไม่มีปัญหาในทุกระดับ คนจนก็จะไม่จน คนมั่งมีก็จะไม่ต้องเป็นโรคประสาท แล้วก็ไม่สูบเลือดคนจน เมื่อเขามีธรรมะ คนมั่งมีก็จะไม่ยึดมั่นถือมั่นวิตกกังวล จนเป็นโรคประสาท ด้วยความมั่งมีของตน ไม่ต้องเป็นโรคด้วยความมั่งมีของตน เพราะว่าเขามีธรรมะ
“เพราะฉะนั้น ธรรมะแก้ปัญหาตลอด ตั้งแต่พื้นฐานขึ้นไปตามลำดับจนถึงระดับสูงสุด... ขอให้คิดดูว่า เดี๋ยวนี้โลกทั้งโลกนี้ มันมีปัญหาเรื่องเศรษฐกิจ ปัญหาเรื่องการเมือง ปัญหาเรื่องการปกครอง อะไรต่างๆ ล้วนแต่เป็นเรื่องไม่มีธรรมะ... รัฐบาลจะแก้ปัญหาเศรษฐกิจ การเมือง หรือการปกครองไม่ได้ ถ้าไม่มีธรรมะ”
ท่านพุทธทาส กล่าวว่า “คนร่ำรวยมีอำนาจวาสนา ก็เป็นโรคภัยไข้เจ็บทางจิตทางวิญญาณได้”
อดีตนายกฯ “ทักษิณ ชินวัตร” ก็ป่วยทางจิต เพราะหนังสือเล่มนี้ได้เผยคำปาฐกถาพิเศษ เรื่อง “พุทธทาสที่ข้าพเจ้ารู้จักในทางการเมือง” โดย “ทักษิณ ชินวัตร” นายกรัฐมนตรียุคนั้น ที่หอประชุมกรมประชาสัมพันธ์ จัดเมื่อวันที่ 13 มิถุนายน 2542 ไว้ในหน้า 67 ว่า
“ผมขอโยงเรื่องของตัวผม กับคำสอนของท่านพุทธทาสสักนิดหนึ่ง ซึ่งจะสะท้อนปรัชญาของท่านที่มีผลต่อสังคม ซึ่งได้เกิดขึ้นจริงและมีผลต่อตัวผมมาแล้ว
ถ้าใครเคยอ่านหนังสือของท่านเรื่อง “Danger of I” หรือเรื่อง อันตรายซึ่งตัวกู เป็นหนังสือที่ท่านแปลเป็นภาษาอังกฤษ ท่านไม่ต้องการให้คนทุกคน มีชีวิตที่มันกัดเจ้าของของมัน ท่านใช้คำว่า “ชีวิตที่กัดเจ้าของ” เป็นคำพูดที่มีความหมายในตัวมากท่านแยกความป่วยเจ็บของคนออกเป็น 3 อย่าง เดิมพระพุทธเจ้าท่านแยกไว้ 2 อย่าง คือ ทางกายกับทางจิต แต่ท่านพุทธทาสเห็นว่า ทางจิตสมัยนี้มีจิตแพทย์ด้วย ท่านกลัวปนกัน ท่านจึงเรียกว่าทางกาย ทางจิต และทางวิญญาณ มีการป่วยทางวิญญาณ หรือภาษาอังกฤษเรียกว่า “Spiritual Disease”
นี่คือข้อความที่ “ทักษิณ” แฉโพยตัว “ทักษิณ” เองว่า...
“ผมยอมรับว่ามีอยู่ช่วงหนึ่ง ผมป่วยเป็นโรคทางวิญญาณ ช่วงนั้นผมเป็นรองนายกฯ ในสมัยที่คุณบรรหารเป็นนายกฯ
ผมป่วยทางวิญญาณต่อเนื่องมาเป็นปี จนผมพักจากการเมืองไปช่วงหนึ่ง ภรรยาผมนี่ละครับเป็นคนบอกว่าผมป่วย แต่ไม่รู้ว่าป่วยด้วยโรคอะไร ป่วยตรงนั้นคือว่าผมมีคำว่า Self
ท่านพุทธทาสได้พูดคำว่า Self ภาษาละตินเรียกว่า Ego ภาษากรีกเรียกว่าเซนทีกอน ที่แปลว่า Center นั่นก็คือว่า คนที่เอาตัวเองเป็นที่ตั้ง คนที่มีความรู้สึกเป็น “ตัวกู-ของกู” คนที่มีการปรุงแต่งทางอารมณ์จิตวุ่น นั่นคือ ภาวะความป่วยของผมในช่วงนั้นภรรยาผมบอกว่าเธอป่วยแน่ เธอพูดคำว่า Self ผมจึงเริ่มรู้สึกว่าผมป่วยจริง ผมจึงไปหาแพทย์ แพทย์ของผมชื่อพระอิสระมุนี ท่านพูดถึง ตถตามันเป็นอย่างนั้นเอง...ท่านพูดถึงเรื่องของ ปฏิจจสมุปบาท... พูดเรื่อง อิทัปปัจจยตา... พูดถึง ตัวกู-ของกู การยึดตัวเองเป็นที่ตั้ง
ผมสว่างเลยครับ ก่อนหน้านั้นผมยอมรับเลยว่า ความจำที่เคยแม่น กลับไม่แน่น ตรงกับที่ท่านพุทธทาสบอกว่า ถ้าเราวุ่น คือ จิตไม่ว่าง สมาธิไม่เกิด ปัญญาจะหายไป ถ้าจิตว่าง สมาธิมี ปัญญาเข้ามาหา ปรากฏว่าหลังจากนั้นผมคลายลงอย่างง่ายๆ เลยครับ หลังจากนั้นชีวิตผมมีความสุขมาก คิดอะไรก็ง่าย จำแม่น สมองโปร่ง”
ต้องขอบคุณหนังสือ “ใช้ธรรมะกับการเมือง” เล่มนี้ ที่ฉายภาพจริงของ “ทักษิณ-แก้ผ้า” ล่อนจ้อน ยืนอยู่กลางท้องสนามหลวงเลยล่ะ
ทักษิณ- พูดโกหกว่าเข้าถึงธรรมะของ “ท่านพุทธทาส” ขณะที่การกระทำของทักษิณ ยังจมปลักอยู่ในกิเลสชนิดไม่รู้จักพอเรื่อยมา นับวันทักษิณยิ่งเป็น ตัวกู-ของกู หนักขึ้น เพราะจิตใจที่มักมากด้วยกิเลสของทักษิณกลับยิ่งทรุดหนักลง
เรียกว่า... อาการป่วยทางจิตที่มากกิเลสของทักษิณนั้น ไม่มีจิตแพทย์คนไหนในโลกจะรักษาให้หายได้อีกแล้ว!
โรคจิตที่บ้าเงินทอง-อำนาจ-ลาภยศ และวัตถุนิยมชนิดไม่รู้จักพอนี้ ตัวของ “ทักษิณ” เท่านั้นที่จะรักษาตัวของ “ทักษิณ” ได้!
ที่สำคัญกิเลสชั่วๆ ของ “ทักษิณ” ได้แพร่เชื้อชั่วที่ร้ายแรงนี้ไปยังผู้คน โดยเฉพาะผู้มีอำนาจทางการเมือง เศรษฐกิจ ศาสนา ฯลฯ ดังนั้น กิเลสชั่วๆ ของ “ทักษิณ” จึงมิใช่ “กัดกิน-ชีวิตทักษิณ” เท่านั้น แต่ยัง “กัดกินความมั่นคง” ของ “ชาติ-ศาสนา-พระมหากษัตริย์” อีกด้วย
“บิ๊กตู่” กำลังยืนอยู่ท่ามกลาง เงินทอง-อำนาจ-ลาภยศ ฯลฯ ที่มีโอกาสทำให้ “จิตเกิดกิเลส” ดังอดีตนายกฯ “ทักษิณ” แพ้ภัยตัวเอง จนถูก “กิเลสกัดกินชีวิต” ต้องหนีคุกไปอยู่ต่างแดนโน่น...
“ทักษิณ-ใช้อธรรมกับการเมือง” ชีวิตจึง “ตกนรก!” “บิ๊กตู่” ต้อง “ใช้ธรรมะกับการเมือง” เท่านั้น อย่าหลงเดินเข้า “ประตูนรก” ล่ะ!!!
ข้อความนี้อยู่ในหน้า 63 ของหนังสือ “ใช้ธรรมะกับการเมือง” นั่นเพราะผู้คนในโลก ไม่ว่ารวยหรือจน ล้วนมีปัญหาทั้งสิ้น ดังข้อความในหน้าเดียวกันระบุไว้ว่า
“ทีนี้ ก็มองไปถึงคนที่ร่ำรวยไม่อดอยาก แล้วทำไมจะต้องเป็นโรคภัยไข้เจ็บ เป็นโรคประสาท เป็นโรคจิต เป็นโรคอะไรต่างๆ เพราะจิตมันถูกทรมานโดยไม่มีธรรมะ เพราะฉะนั้น คนร่ำรวยมีอำนาจวาสนาก็เป็นโรคภัยไข้เจ็บทางจิตทางวิญญาณ ไม่มีความสุขก็มีอยู่มาก...
“เพราะฉะนั้นเราจะเอาเรื่องร่ำรวย หรือยากจนมาเป็นเครื่องวัดไม่ได้ ต้องเอาที่ว่า มีธรรมะหรือไม่มีธรรมะเป็นเครื่องวัด ถ้ามีธรรมะก็ไม่มีปัญหาในทุกระดับ คนจนก็จะไม่จน คนมั่งมีก็จะไม่ต้องเป็นโรคประสาท แล้วก็ไม่สูบเลือดคนจน เมื่อเขามีธรรมะ คนมั่งมีก็จะไม่ยึดมั่นถือมั่นวิตกกังวล จนเป็นโรคประสาท ด้วยความมั่งมีของตน ไม่ต้องเป็นโรคด้วยความมั่งมีของตน เพราะว่าเขามีธรรมะ
“เพราะฉะนั้น ธรรมะแก้ปัญหาตลอด ตั้งแต่พื้นฐานขึ้นไปตามลำดับจนถึงระดับสูงสุด... ขอให้คิดดูว่า เดี๋ยวนี้โลกทั้งโลกนี้ มันมีปัญหาเรื่องเศรษฐกิจ ปัญหาเรื่องการเมือง ปัญหาเรื่องการปกครอง อะไรต่างๆ ล้วนแต่เป็นเรื่องไม่มีธรรมะ... รัฐบาลจะแก้ปัญหาเศรษฐกิจ การเมือง หรือการปกครองไม่ได้ ถ้าไม่มีธรรมะ”
ท่านพุทธทาส กล่าวว่า “คนร่ำรวยมีอำนาจวาสนา ก็เป็นโรคภัยไข้เจ็บทางจิตทางวิญญาณได้”
อดีตนายกฯ “ทักษิณ ชินวัตร” ก็ป่วยทางจิต เพราะหนังสือเล่มนี้ได้เผยคำปาฐกถาพิเศษ เรื่อง “พุทธทาสที่ข้าพเจ้ารู้จักในทางการเมือง” โดย “ทักษิณ ชินวัตร” นายกรัฐมนตรียุคนั้น ที่หอประชุมกรมประชาสัมพันธ์ จัดเมื่อวันที่ 13 มิถุนายน 2542 ไว้ในหน้า 67 ว่า
“ผมขอโยงเรื่องของตัวผม กับคำสอนของท่านพุทธทาสสักนิดหนึ่ง ซึ่งจะสะท้อนปรัชญาของท่านที่มีผลต่อสังคม ซึ่งได้เกิดขึ้นจริงและมีผลต่อตัวผมมาแล้ว
ถ้าใครเคยอ่านหนังสือของท่านเรื่อง “Danger of I” หรือเรื่อง อันตรายซึ่งตัวกู เป็นหนังสือที่ท่านแปลเป็นภาษาอังกฤษ ท่านไม่ต้องการให้คนทุกคน มีชีวิตที่มันกัดเจ้าของของมัน ท่านใช้คำว่า “ชีวิตที่กัดเจ้าของ” เป็นคำพูดที่มีความหมายในตัวมากท่านแยกความป่วยเจ็บของคนออกเป็น 3 อย่าง เดิมพระพุทธเจ้าท่านแยกไว้ 2 อย่าง คือ ทางกายกับทางจิต แต่ท่านพุทธทาสเห็นว่า ทางจิตสมัยนี้มีจิตแพทย์ด้วย ท่านกลัวปนกัน ท่านจึงเรียกว่าทางกาย ทางจิต และทางวิญญาณ มีการป่วยทางวิญญาณ หรือภาษาอังกฤษเรียกว่า “Spiritual Disease”
นี่คือข้อความที่ “ทักษิณ” แฉโพยตัว “ทักษิณ” เองว่า...
“ผมยอมรับว่ามีอยู่ช่วงหนึ่ง ผมป่วยเป็นโรคทางวิญญาณ ช่วงนั้นผมเป็นรองนายกฯ ในสมัยที่คุณบรรหารเป็นนายกฯ
ผมป่วยทางวิญญาณต่อเนื่องมาเป็นปี จนผมพักจากการเมืองไปช่วงหนึ่ง ภรรยาผมนี่ละครับเป็นคนบอกว่าผมป่วย แต่ไม่รู้ว่าป่วยด้วยโรคอะไร ป่วยตรงนั้นคือว่าผมมีคำว่า Self
ท่านพุทธทาสได้พูดคำว่า Self ภาษาละตินเรียกว่า Ego ภาษากรีกเรียกว่าเซนทีกอน ที่แปลว่า Center นั่นก็คือว่า คนที่เอาตัวเองเป็นที่ตั้ง คนที่มีความรู้สึกเป็น “ตัวกู-ของกู” คนที่มีการปรุงแต่งทางอารมณ์จิตวุ่น นั่นคือ ภาวะความป่วยของผมในช่วงนั้นภรรยาผมบอกว่าเธอป่วยแน่ เธอพูดคำว่า Self ผมจึงเริ่มรู้สึกว่าผมป่วยจริง ผมจึงไปหาแพทย์ แพทย์ของผมชื่อพระอิสระมุนี ท่านพูดถึง ตถตามันเป็นอย่างนั้นเอง...ท่านพูดถึงเรื่องของ ปฏิจจสมุปบาท... พูดเรื่อง อิทัปปัจจยตา... พูดถึง ตัวกู-ของกู การยึดตัวเองเป็นที่ตั้ง
ผมสว่างเลยครับ ก่อนหน้านั้นผมยอมรับเลยว่า ความจำที่เคยแม่น กลับไม่แน่น ตรงกับที่ท่านพุทธทาสบอกว่า ถ้าเราวุ่น คือ จิตไม่ว่าง สมาธิไม่เกิด ปัญญาจะหายไป ถ้าจิตว่าง สมาธิมี ปัญญาเข้ามาหา ปรากฏว่าหลังจากนั้นผมคลายลงอย่างง่ายๆ เลยครับ หลังจากนั้นชีวิตผมมีความสุขมาก คิดอะไรก็ง่าย จำแม่น สมองโปร่ง”
ต้องขอบคุณหนังสือ “ใช้ธรรมะกับการเมือง” เล่มนี้ ที่ฉายภาพจริงของ “ทักษิณ-แก้ผ้า” ล่อนจ้อน ยืนอยู่กลางท้องสนามหลวงเลยล่ะ
ทักษิณ- พูดโกหกว่าเข้าถึงธรรมะของ “ท่านพุทธทาส” ขณะที่การกระทำของทักษิณ ยังจมปลักอยู่ในกิเลสชนิดไม่รู้จักพอเรื่อยมา นับวันทักษิณยิ่งเป็น ตัวกู-ของกู หนักขึ้น เพราะจิตใจที่มักมากด้วยกิเลสของทักษิณกลับยิ่งทรุดหนักลง
เรียกว่า... อาการป่วยทางจิตที่มากกิเลสของทักษิณนั้น ไม่มีจิตแพทย์คนไหนในโลกจะรักษาให้หายได้อีกแล้ว!
โรคจิตที่บ้าเงินทอง-อำนาจ-ลาภยศ และวัตถุนิยมชนิดไม่รู้จักพอนี้ ตัวของ “ทักษิณ” เท่านั้นที่จะรักษาตัวของ “ทักษิณ” ได้!
ที่สำคัญกิเลสชั่วๆ ของ “ทักษิณ” ได้แพร่เชื้อชั่วที่ร้ายแรงนี้ไปยังผู้คน โดยเฉพาะผู้มีอำนาจทางการเมือง เศรษฐกิจ ศาสนา ฯลฯ ดังนั้น กิเลสชั่วๆ ของ “ทักษิณ” จึงมิใช่ “กัดกิน-ชีวิตทักษิณ” เท่านั้น แต่ยัง “กัดกินความมั่นคง” ของ “ชาติ-ศาสนา-พระมหากษัตริย์” อีกด้วย
“บิ๊กตู่” กำลังยืนอยู่ท่ามกลาง เงินทอง-อำนาจ-ลาภยศ ฯลฯ ที่มีโอกาสทำให้ “จิตเกิดกิเลส” ดังอดีตนายกฯ “ทักษิณ” แพ้ภัยตัวเอง จนถูก “กิเลสกัดกินชีวิต” ต้องหนีคุกไปอยู่ต่างแดนโน่น...
“ทักษิณ-ใช้อธรรมกับการเมือง” ชีวิตจึง “ตกนรก!” “บิ๊กตู่” ต้อง “ใช้ธรรมะกับการเมือง” เท่านั้น อย่าหลงเดินเข้า “ประตูนรก” ล่ะ!!!