ผู้จัดการสุดสัปดาห์ -“ปัดโธ่!! แล้วจะให้กูทำยังไง”
ที่สุด “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ก็ต้อง “ตบะแตก” ครั้งแรกหลังเข้าปีใหม่ 2559 ได้ไม่ถึง 2 สัปดาห์ จากที่เคยประกาศเมื่อช่วงปลายปีก่อนว่าจะ “ปฏิรูปตัวเอง” ยึดแนวทาง “Good Guy” เป็นสรณะ แต่แล้วก็สะกดอารมณ์ไม่อยู่ขึ้น “มึง-กู” กลางวงนักข่าวอีกครั้ง หลังถูกจี้ถามเรื่องแนวทางการแก้ปัญหาราคายางพาราตกต่ำ
ถามว่าหนักไหม??
ก็ต้องบอกว่าหนักมากสำหรับการแก้ไขปัญหาผลผลิตทางการเกษตรราคาตกต่ำ ในขณะที่เศรษฐกิจทั้งในและต่างประเทศก็ยังย่ำแย่อย่างหนัก ไม่ เพียงแต่ “ยางพารา” เท่านั้น พืชผลอย่างอื่นก็มีปัญหาไม่แพ้กัน แต่ “ยางพารา” ในวันนี้ไม่ใช่ “พืชเศรษฐกิจ” ธรรมดาๆ แต่ยังถือเป็น “พืชการเมือง” ที่สำคัญอีกด้วย เมื่อส่งผลกระทบถึงปากท้องของประชาชน จากประชาชนธรรมดาก็พร้อมที่จะเปลี่ยนเป็น “มวลชน” หรือ “ม็อบ” ได้ทุกเมื่อ ยิ่งในวันที่ราคายางพาราดิ่งเหวต่ำสุดเหลือแค่ 3-4 โลร้อยแบบนี้ด้วย
ฝ่ายรัฐบาล “นายกฯตู่” เองก็ลั่นวาจาหนักแน่นหลายหนแล้วว่า ไม่มีการอุดหนุน-ชดเชยราคาอย่างแน่นอน เหตุผลหนึ่งก็เพราะไม่ต้องการบิดเบือนกลไกทางการตลาด ขณะที่เหตุผลสำคัญคือ วันนี้รัฐบาล “บ่อจี๊ - ถังแตก” ไม่พร้อมที่จะไปอุดหนุน-รับภาระในเรื่องใดทั้งสิ้น แถมมีจังหวะหลุดๆ ออกลูกมั่วให้ “ชาวสวนยาง” ปลูก “สตรอเบอรี่-กล้วยหอม” ประทังชีวิต ทำเอาคนฮาครืนกันทั้งประเทศ
เจอแบบนี้เข้าไปปัญหาการเมืองที่ว่าแก้ยากกลายเป็นเรื่องจิ๊บๆไปเลย ขนาดรัฐบาลที่มีอำนาจเบ็ดเสร็จอย่าง คสช.ก็ไปไม่เป็นเหมือนกัน
คสช.กระสุนด้านเท 8 หมื่นล้านบาทไร้ผล
การเทกแอ็กชั่นของเกษตรกรชาวสวนยางภาคใต้ถือว่า เขย่าบัลลังก์ “บิ๊กตู่” จนสะเทือนเหมือนกัน จากที่ปากบอกว่าไม่มีการอัดฉีดเงินเข้าระบบเพื่อช่วยเหลือในระยะสั้น ก็ต้อง “แก้เกม” โดยการสั่งให้หน่วยงานภาครัฐเข้าเจียดงบประมาณราว 1.2 หมื่นล้านบาทเข้าไปรับซื้อยางพาราจากเกษตรกรโดยตรง ในราคา “นำตลาด” ซึ่งก็ถือเป็นว่าเป็นการเข้าไปพยุงราคาอุดหนุนชาวสวนยางใน “ทางอ้อม”
“บิ๊กตู่” ปรับโหมดเข้ม ใส่เกียร์ R ถอยเอาใจชาวสวน
รัฐบาล คสช.คงถามตัวเองเหมือนกันว่า เรามาถึงจุดนี้ได้ยังไง เพราะเรื่องราคายางพาราตกต่ำไม่ใช่ว่าเพิ่งเกิด วันที่ คสช.เข้ามายึดอำนาจแนวโน้มราคาก็มีแต่ดิ่งลง จากราคาเฉลี่ยกิโลกรัมละ 60 บาทสำหรับยางแผ่นดิบ เมื่อช่วงเดือน พ.ค.2557 จนไปถึงกิโลกรัมละ 44 บาท เมื่อเดือน ธ.ค.57 ผ่านไปปีเดียว ธ.ค.58 ราคายางแผ่นดิบ เฉลี่ยอยู่ที่ 35 บาท/กก. หรือ “3 โลร้อย” ที่พูดกันจนชินปาก
แต่จะว่า รัฐบาล คสช.ไม่ทำอะไรเลยเกี่ยวกับเรื่องนี้ก็คงไม่ใช่ เพราะตลอด 18 เดือนภายหลังที่ คสช.เข้ายึดอำนาจเมื่อวันที่ 22 พ.ค.2557 ก็มีมาตรการต่างๆ เพื่อแก้ปัญหาราคายางพาราตกต่ำอย่างต่อเนื่อง นับนิ้วดูมีเกือบ 20 มาตรการ ทั้งการจัดตั้งสถาบันพัฒนาอุตสาหกรรมยาง โครงการผลิตเพื่อเสริมรายได้ในสวนยางตามหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง การสนับสนุนเงินทุนหมุนเวียน-สินเชื่อต่างๆ ตลอดจนการชดเชยรายได้แก่เกษตรกรชาวสวนยาง
อย่างเมื่อเดือน ต.ค.57 สมัย “ปีติพงษ์ พึ่งบุญ ณ อยุธยา” เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ คณะรัฐมนตรี (ครม.) ก็ได้อนุมัติมาตรการสำคัญ 4 โครงการ วงเงิน 1 หมื่นล้านบาท หลักใหญ่ใจความคือการชดเชยรายได้แก่เกษตรกรชาวสวนยาง ไม่เกิน 15 ไร่ อัตราไร่ละ 1,000 บาท รวมวงเงินกว่า 8.5 พันล้านบาท
เมื่อปลายปีกลาย ราวเดือน พ.ย.58 ยุค “บิ๊กฉัตร” พล.อ.ฉัตรชัย สาริกัลยะ มาเป็น รมว.เกษตรฯ ครม.ก็ได้อนุมัติมาตรการสนับสนุนปัจจัยการผลิตในสัดส่วน 60 ต่อ 40 หรือให้แก่เจ้าของสวนยาง 900 บาทต่อไร่ และคนกรีดยาง 600 บาทต่อไร่ อัตราไร่ละ 1,500 บาท ไม่เกิน 15 ไร่ วงเงิน 1.3 หมื่นล้านบาท ต่อมาในเดือน ธ.ค.58 ครม.ก็ยังได้อนุมัติขยายวงเงินสินเชื่อเพิ่มเติมของโครงการสนับสนุนสินเชื่อเกษตรกรชาวสวนยางรายย่อยเพื่อประกอบอาชีพเสริมจำนวน 5 พันล้านบาทมาแล้ว
รวมๆ แล้วรัฐบาล คสช.ทุ่มงบประมาณไปกว่า 8 หมื่นล้านบาท แต่ก็ไร้ผล
ขณะที่มาตรการพัฒนาสินค้าเกษตร-เพิ่มมูลค่าสินค้าจากยางพารา ที่ “นายกฯตู่” ย้ำหนักย้ำหนาจนเป็น “แผ่นเสียงตกร่อง” ก็ยังไม่มีการผลักดันอย่างจริงจัง ทั้งการนำไปทำถนน หรือปูพื้นสนามกีฬา ก็ไม่เห็นเป็นรูปธรรมเสียที
จนเป็นที่มาของมติ ครม.เมื่อวันที่ 12 ม.ค.ที่ผ่านมา ที่สั่งการให้หน่วยงานภาครัฐ โดยองค์การคลังสินค้า (อคส.) เข้าไปรับซื้อผลผลิตยางพาราเบื้องต้น 1 แสนตันจากเกษตรกรสวนยางโดยตรงในราคาไม่เกิน 60 บาทต่อกิโลกรัม ก่อนที่คณะกรรมการแก้ไขปัญหาราคายางพารา ที่มี “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และรมว.กระทรวงกลาโหม เป็นประธานการประชุม จะเคาะราคารับซื้อยางที่ไม่เกินกิโลกรัมละ 45 บาท
จะถือว่าเป็น “เฮือกสุดท้าย” ของรัฐบาล คสช.ในเรื่องการแก้ไขปัญหาราคายางพาราก็คงไม่ผิดนัก
กำจัดจุดอ่อน “รมต.เกษตรฯ” ??
จากปัญหาราคายางพาราตกต่ำนี่เอง ที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลง “ครม.บิ๊กตู่” มาแล้วถึง 2 ครั้ง หนแรกใน “ครม.ประยุทธ์ 2” มีการดึง “อำนวย ปะติเส” เข้ามาเป็น รมช.เกษตรฯ โดยมอบหมายให้เข้ามาเคลียร์ปัญหาเรื่องราคายางพาราเป็นภารกิจสำคัญ ก่อนที่ในการปรับ “ครม.ประยุทธ์ 3” เมื่อเดือน ส.ค.58 “อำนวย” ก็ควงคู่ “ปิติพงษ์ พึ่งบุญ ณ อยุธยา” รมว.เกษตรฯในตอนนั้นหลุดจากเก้าอี้ไปพร้อมๆกับหัวหน้าทีมเศรษฐกิจ “คุณชายอุ๋ย” ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล เซ่นผลงาน “สอบตก” ที่เคยประกาศกระชากราคายางให้ถึง 70 บาทต่อกิโลกรัม แต่ไม่เพียงทำไม่ได้ตามเป้า ยังปล่อยให้ราคาดำดิ่งเฉียด 3 โลร้อย เลยต้องเซย์กู๊ดบายไปทั้งกระบิ
จากนั้น “ปีติพงษ์” ก็หลุดวงโคจรจาก คสช.ไปเลย ส่วน “อำนวย” ยังอาศัยชื่อ “กูรูยาง” ได้ที่ปรึกษากุนซือ รมว.เกษตรฯ พร้อมตำแหน่งที่ปรึกษา คสช.ปลอบใจ
มาคราวนี้ก็เป็นคิวของ “บิ๊กฉัตร” พล.อ.ฉัตรชัย สาริกัลยะ รมว.เกษตรฯที่ตกเป็นเป้า ทั้งเครือข่ายยางภาคใต้ที่เรียกร้องให้ปลด “บิ๊กฉัตร” จากตำแหน่งเป็นหนึ่งในข้อเรียกร้อง สำทับด้วย “ถาวร เสนเนียม” แกนนำ กปปส.ที่ออกโรงจี้ให้ลาออกจากตำแหน่ง พร้อมแฉแหลก “เก่งแต่หาเงินเข้ากระเป๋า”
บวกกับบทบาทของ “จินตนา ชัยยวรรณาการ” ผู้ช่วยรัฐมนตรีเกษตรฯ ที่ “บิ๊กฉัตร” ติดใจการทำงานสมัยดำรงตำแหน่ง “อธิบดีกรมการค้าปิ
ภายใน” ดึงตัวมา “ตั้งวง” กันต่อที่กระทรวงเกษตรฯ ก็ยิ่งทำให้ภาพของ “เสนาบดีเกษตร” ยิ่งมัวหมอง
ช็อตที่ “มือขวาบิ๊กฉัตร” สะบัดบ๊อบ “วอล์กเอาต์” เดินออกจากวงประชุมแก้ไขปัญหายางพาราร่วมกับเกษตรกรรายย่อย 8 จังหวัดภาคใต้ ที่ จ.นครศรีธรรมราช ติดตาตรึงใจชาวสวนยางไม่ลืมเลือน
กระทบชิ่งถึง “บิ๊กฉัตร” สะท้อนให้เห็น “รัฐบาลทหาร” ตั้งมือทำงานไม่ได้คำนึงกว่ามีความรู้เฉพาะทางหรือไม่ รวมไปถึง “ความจริงใจ” ในการพูดคุยทำความเข้าใจกับประชาชนที่เดือดร้อนด้วย
อย่างสมัย “รัฐบาลยิ่งลักษณ์” ที่ว่าแย่ๆ ไม่ค่อยสนใจ “ชาวปักษ์ใต้” แต่เมื่อครั้ง “ชาวสวนยาง” รวมตัวประท้วงปิดถนนเรียกร้องให้รัฐบาลช่วยเรื่องราคายางตกต่ำ ก็เป็น “เดอะโต้ง” กิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกฯด้านเศรษฐกิจในตอนนั้นจับเครื่องลงไปประชุมด้วยตัวเอง ไม่ได้ส่ง “ลูกสมุน” ลงไปแก้ปัญหา แม้วันนั้น “เดอะโต้ง” จะแก้ปัญหาได้ไม่สะเด็ดน้ำ แต่ก็ได้ใจกัน มากกว่า
จึงไม่แปลกที่เสียงเรียกร้องให้ “บิ๊กฉัตร” ที่ถูกมองว่าทำงานแบบ “เสือนอนกิน” ให้ลาออกจากตำแหน่งจึงกระหึ่มขึ้นทุกขณะ ทั้งๆที่รู้กันดีว่า “บิ๊ก ฉัตร” แบ็คดีจบเตรียมทหารรุ่น 12 โตมาพร้อมๆ กับ “บิ๊กตู่” เหมือนเป็นนายทหารคู่บุญ ครั้นจะเขี่ยออกคงยากหน่อย แต่ก็ต้องสะกิดให้หัวหน้ารัฐบาลรู้ว่านี่คือ “จุดอ่อน”
“บิ๊กฉัตร” เองก็รู้ว่าตัวเอง “สายแข็ง” คงไม่หลุดจากตำแหน่งง่ายๆ แต่จะอยู่นิ่งๆให้คนด่าปาวๆก็ใช่ที่ จึงออกลูกแพรวพราว “โยนขี้” ไปที่ “เลิศวิโรจน์ โกวัฒนะ” รองปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ในฐานะประธานคณะกรรมการ (บอร์ด) การยางแห่งประเทศไทย (กยท.) ยัดข้อหา “เกียร์ว่าง” จนประชาชนเดือดร้อนเขี่ยออกจาก กยท. ซึ่ง “เลิศวิโรจน์” แม้จะได้ชื่อว่าเป็น “เด็กของคนโตเมืองสุพรรณ” ก็เอาไม่อยู่ ถูกเชือดสังเวยไปตามระเบียบ
ชอตนี้ “รัฐบาลทหาร” ออกลูกลอยตัว โบ้ยไปที่ “ข้าราชการ” ในข้อหาที่จงรักภักดีกับฝ่ายการเมืองมากกว่า
การหยิบเอา “บิ๊กเบี้ยว” พล.อ.ฉัตรเฉลิม เฉลิมสุข เตรียมทหาร 12 เพื่อน “บิ๊กตู่” มานั่งประธานบอร์ด กยท.ก็ถูกตั้งคำถามถึงความเหมาะสมอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เจ้าตัวก็สวนทันควันว่า แม้เป็นทหาร ก็มีความรู้การบริหารจัดการ ขณะที่ “บิ๊กตู่” ก็กางปีกปกป้องเพื่อน ตท.12 อีกแรง
อีหรอบนี้คงต้องยืมคำขวัญ พล.ต.อ.เผ่า ศรียานนท์ อดีตอธิบดีกรมตำรวจ มาปรับใหม่ในยุค คสช.ครองเมืองว่า “ภายใต้ดวงอาทิตย์นี้ ไม่มีสิ่งใดที่ทหารไทยทำไม่ได้”
โหนกระแสงานถนัด กปปส.-ปชป.
เมื่อเครือข่ายเกษตรชาวสวนยาง ประกาศรวมตัวกับเป็น “ม็อบสวนยาง” เพื่อกดดันให้รัฐบาลยื่นมือมาให้ความช่วยเหลือแก้ไขปัญหาราคายางพาราตกต่ำ มักถูกตั้งแง่ว่าเป็น “ม็อบจัดตั้ง” หรือ “ม็อบการเมือง” อย่างเช่นในอดีตที่ผ่านๆมา แต่สถานการณ์ในขณะนี้ต่างออกไป ความเดือดร้อนมีทุกหย่อมหญ้า จึงเชื่อได้อย่างหนึ่งว่าคราวนี้ “ของจริง” เพียงแต่อาจจะได้แค่ขู่ เพราะติด “กระบองยักษ์” ของ คสช. ทำให้ไม่สามารถงัดท่าไม้ตายจัด “ม็อบบุกกรุง” หรือ “ปิดถนน” ได้อย่างที่เคยๆ
แต่พอ เครือข่ายเกษตรชาวสวนยาง เริ่ม “ก่อหวอด” ครั้งนี้ ก็ตกเป็นเครื่องมือของ “ฝ่ายการเมือง” อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ทั้งในส่วนของพรรคประชาธิปัตย์เอง หรือบรรดา “หัวขบวน กปปส.” ที่อาศัยเหลี่ยมทางการเมืองออกมา “ปาดหน้า” อุปโลกน์ตัวเป็น “ผู้นำม็อบ”
แง่หนึ่งก็เพื่อโชว์พาวว่ายังมีอิทธิพลในพื้นที่ และอีกแง่ก็เพื่อสร้างราคาต่อรองกับ คสช.ไปในตัว
จู่ๆ ก็มีภาพ “ถาวร เสนเนียม” อดีต ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ และแกนนำ กปปส.เปิดบ้านพักพูดคุยกับพี่น้องเกษตรกรชาวสวนยางในพื้นที่ จ.สงขลา ก่อนที่จะนำขบวนอดีต ส.ส.ภาคใต้ พรรคประชาธิปัตย์ แถลงข่าว และเข้ายื่นจดหมายเปิดผนึกเสนอการแก้ปัญหาราคายางพาราตกต่ำต่อ “บิ๊กตู่” ถึงทำเนียบรัฐบาล
ทั้งๆที่ราคายางรูดกราวแตะ 3 โลร้อยมาร่วมปี
ฝั่งหัวขบวน กปปส.อย่าง “ลุงกำนัน” สุเทพ เทือกสุบรรณ ประธานมูลนิธิมวลมหาประชาชนเพื่อการปฏิรูป ก็ออกมาเบรกชาวสวนยางที่กำลังก่อหวอดรวมตัวกัน พร้อมประกาศชัดเจนว่า รัฐบาลต้องรับซื้อยาง 60 บาทต่อกิโลกรัม เกษตรกรถึงอยู่ได้ แถมบอกด้วยว่าต่อสายหา “เฮียกวง” สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกฯ เศรษฐกิจ บอกสูตรกระชากราคายาง เมื่อสมัยที่เป็นรองนายกฯใน “รัฐบาลมาร์ค"” แล้วร่าย “มนต์ดำ” เสกจากโลละ 40 บาทไปพีกสุดถึงเกือบโลละ 200 บาทด้วย
ทางหนึ่งแตะเบรกม็อบเอาหน้ากับ คสช. อีกทางหนึ่งก็โยนตัวเลขราคายางเอาใจฐานเสียง แต่พอ “เครือข่ายยาง” กวักมือเรียกให้มานำม็อบชน “รัฐบาลทหาร” ทาง “ลุงกำนัน” เซย์โนแบบไม่ต้องคิด
แอ็กชั่นของ “ลุงกำนัน” ออกมาหลังจากที่ถูกถล่มอย่างหนักหน่วงผ่านเฟซบุ๊ค หลังไปโพสต์รูปคู่ “เดอะตาล” สาทิตย์ วงศ์หนองเตย ขณะแวะกินขนมจีนก่อนงานแถลงข่าว Samui Festival ที่จะจัดขึ้นในเดือนหน้า จากที่ตั้งใจโพสต์เฟซสร้างกระแส สุดท้ายกลายเป็นกระทู้ที่ถูกรุมถล่มด่าทอเสียหาย โทษฐานที่ กปปส. เงียบเป็นเป่าสาก ไม่สนใจไยดี “ชาวสวนยาง” ที่เคยเป็นแนวร่วมสำคัญสมัยไล่ “รัฐบาลปู”
ย้ำภาพ “ชอป ชิม ชิลล์” ของบรรดาแกนนำ กปปส.หลังเสร็จศึกชัตดาวน์ วาระปฏิรูปอะไรต่างๆที่เคยผลัดกันตะโกนปลุกใจมวลมหาประชาชนในอดีตลืมเลือนกันไปเสียสนิท
อย่างคอมเมนท์หนึ่งที่ว่า “4 โลร้อยแล้วจ้าาาาาาา กำนัน...ขี้โม้ไหนทำเพื่อพี่น้องไง…. หลบหน้าหลบตาไปเลย พี่น้องเดือดร้อน ยังสบายดี จัดงานได้อยู่เหรอ จะรับบริจาคอีกสิ #เรามาช่วยกัน…ถึงเวลาแล้วที่มึงต้องมาช่วยพวกตรู…ไม่ใช่จะให้กูมาช่วยมึงอยู่นั่นล่ะ... มีความสุขกับการบริจาคเงินเข้ามูลนิธิสิท่า ดูน้ำใจยามเพื่อนพี่น้องชาวใต้ลำบาก…ดูเถิดน้ำใจผู้นำ”
หากจำกันได้สมัยที่ตั้งเวที กปปส.ล้ม “รัฐบาลยิ่งลักษณ์" ราคายางทรงตัวอยู่ที่กิโลกรัมละ 60 บาท ตอนนั้น “ลุงกำนัน” เคยประกาศลั่นว่า จะไม่เลิกม็อบเด็ดขาด ถ้าราคายางไม่ถึงโลละ 120 บาทด้วยซ้ำไป มาวันนี้ราคาดิ่งไป 3 โลร้อย 4 โลร้อย “ทีมกำนัน” กลับนิ่ง สนแต่ตีปี๊บอีเว้นท์ #เรามาช่วยกัน ไม่เห็นหัวมวลมหาประชาชนอีกต่อไป
สถานการณ์เปลี่ยน คนก็เปลี่ยน “ลุงกำนัน” ผู้เกี้ยวกราด กลายเป็น “เด็กน้อย” ของ “พี่ทหาร” ไปแล้ว
แบบนี้เอาโลละ 45 ไปก่อนละกันพี่น้อง...