xs
xsm
sm
md
lg

ถกจีนตั้งบ.ร่วมทุน ก่อสร้างเดินรถไฟตอกเข็มพ.ค.

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online

ไทยเดินแผนเจรจาจีนตั้งบริษัทร่วมทุน (SPV) ทั้งก่อสร้างและเดินรถ “อาคม” เผยไทยต้องการให้ฝ่ายจีนลงทุนในสัดส่วนที่มากขึ้น มอบหมาย รมว.คลังเจรจา เร่งสรุปคู่ขนานถอดแบบก่อสร้าง เคาะค่าก่อสร้างสุดท้าย ในQ1/59 เพื่อเริ่มตอกเข็ม พ.ค.59ให้ได้ตามเป้าพร้อมแจงมูลค่าโครงการทะลุ 5 แสนล้าน

นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เปิดเผยว่า หลังจากมีพิธีเริ่มต้นโครงการความร่วมมือรถไฟไทย-จีน ซึ่งเป็นการทำสัญลักษณ์ การเริ่มต้นโครงการความร่วมมือรถไฟ ในการพัฒนารถไฟขนาดรางมาตรฐาน 1.435 เมตร (Standard Gauge) เส้นทางหนองคาย-นครราชสีมา-แก่งคอย-ท่าเรือมาบตาพุด ระยะทาง 845.27 กิโลเมตร ณ สถานีรถไฟเชียงรากน้อย อำเภอบางปะอิน จังหวัด พระนครศรีอยุธยาเมื่อวันที่ 19 ธ.ค. 2558 ที่ผ่านมาแล้ว คณะกรรมการร่วมไทย- จีน จะต้องเร่งดำเนินการเพื่อหาข้อสรุป และนำไปสู่การเริ่มต้นก่อสร้างโครงการซึ่งกำหนดไว้ในเดือนพ.ค. 2559

โดยจะมีการประชุมคณะกรรมการร่วม ครั้งที่ 10 ในช่วงเดือนก.พ. 2559 ที่ประเทศจีน โดยสิ่งที่จะต้องเร่งสรุป คือ 1. สรุปรายงานการศึกษาออกแบบโครงการฉบับสมบูรณ์ที่จีนลงพื้นที่สำรวจออกแบบ โดยฝ่ายจีนจะมอบให้ไทย ภายในเดือนธ.ค. 2558 ธันวาคมนี้เพื่อเสนอคณะรัฐมนตรี ( ครม.) 2. สรุปรูปแบบการลงทุน และสัดส่วนการลงทุน

ซึ่งจะหารือในรายละเอียดกับจีนโดยนายอภิศักดิ์ ตันติวรวงศ์ รัฐมนตรีว่ากากระทรวงการคลัง ได้รับมอบหมายให้เป็นหัวหน้าทีมในการเจรจาเรื่องนี้ 3. เมื่อได้ข้อสรุปในเรื่องแบบก่อสร้าง วงเงินลงทุนและ การร่วมทุน จะนำไปสู่ในขั้นตอนการทำสัญญา และบันทึกความเข้าใจต่างๆ และการก่อสร้าง 4. เป้าหมายของผู้นำไทย-จีน ต้องการให้เริ่มก่อสร้างโครงการในเดือนพ.ค.2559

นายอาคมกล่าวว่า โครงการนี้เป็นความร่วมมือระหว่างไทย-จีนในรูปแบบรัฐต่อรัฐ ข้อตกลงเรื่องการลงทุนรูปแบบ EPC (Engineering Procurement and Construction) โดยจะมีการจัดตั้งบริษัทร่วมทุนแบบนิติบุคคลเฉพาะกิจ (Special Purpose Vehicle : SPV) ในส่วนของงานระบบ การจัดหารถไฟฟ้า และเดินรถไฟฟ้า แต่ขณะนี้ จะขยายการตั้งบริษัทร่วมทุนครอบคลุมในเรื่องการก่อสร้างด้วย ซึ่งที่ผ่านมาได้มีการพูดคุยกับจีนเบื้องต้นบ้างแล้วโดยจะหารือในรายละเอียดต่อไป ว่าจะแยกบริษัทร่วมทุนเดินรถกับบริษัทร่วมทุนก่อสร้าง หรือจะตั้งบริษัทเดียวร่วมทุน ตั้งแต่เริ่มก่อสร้างไปจนเดินรถบริษัทร่วมทุน โดยจะทำงานคู่ขนานไปพร้อมกับงานด้านเทคนิค เพื่อให้แล้วเสร็จภายในไตรมาสที่ 1/ 2559

และนำไปสู่ขั้นตอนเรื่องการร่างสัญญาต่างๆ ด้วย เนื่องจากมีเป้าหมายเริ่มก่อสร้างในเดือนพ.ค. 2559 โดยฝ่ายจีนวางแผนว่าจะใช้เวลาในการก่อสร้าง 3ปี - 3.5 ปี

“ไทยต้องการให้ฝ่ายจีนลงทุนในสัดส่วนที่มากขึ้น ทั้งในเรื่องการเดินรถ ระบบอาณัติสัญญาณ และเรื่องการก่อสร้างด้วย ส่วนรายละเอียดจะต้องให้ทางคณะทำงาน ที่มีรมว.คลังเป็นผู้เจรจา เงื่อนไขทางการเงิน ซึ่งคลังจะมีความเชี่ยวชาญกว่าคมนาคม และขณะนี้บริษัทที่ปรึกษาของการรถไฟฯ ทำการตรวจสอบรายละเอียดการก่อสร้างอยู่เพื่อดูตัวเลขค่าใช้จ่ายต่างๆ ที่จีนได้ลงพื้นที่สำรวจออกแบบมา ซึ่งจะให้เสร็จในเดือนม.ค.-ก.พ. 2559”

***แจงค่าก่อสร้างทะลุ 5 แสนล.

ส่วนอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ทางฝ่ายจีนยังยืนยันที่จะพิจารณาอัตราที่ดีที่สุดให้ไทย ซึ่งล่าสุดยังอยู่ที่ 2.5% ส่วนไทยต้องการที่ไม่เกิน 2% ซึ่งเรื่องดอกเบี้ยจะสรุปได้ ต้องรู้วงเงินค่าก่อสร้างและวงเงินที่ต้องกู้ก่อน สำหรับค่าก่อสร้างล่าสุดที่ประมาณ 5.3 แสนล้านนั้น ตัวเลขนี้ยังไม่นิ่งและเดิมที่ระบุตัวเลขมูลค่าโครงการที่ประมาณ 3 แสนล้านบาทนั้น เป็นการลงทุน ในส่วน กรุงเทพ- แก่งคอย -นครราชสีมา-หนองคาย ยังไม่มีตัวเลขลงทุนช่วง แก่งคอย-ท่าเรือมาบตาพุด และสถานีบ้านภาชี โดยสิ่งที่ไทยต้องทำคือ ตรวจสอบรายละเอียดข้อเท็จจริงของแบบที่ออกมากับค่าก่อสร้างที่เหมาะสม

อย่างไรก็ตามนายอาคมชี้แจงถึงประเด็นมูลค่าโครงการที่เพิ่มเป็นกว่า 5 แสนล้านบาทเนื่องจากจีนกำหนดค่าแรงสูงถึงวันละ 800 บาทและมีการนำเข้าวัสดุจากจีนทำให้ต้นทุนโครงการสูงขึ้นว่า โครงการนี้จะใช้ Local cost ทั้งหมด ค่าแรงจ่ายตามกฎหมายไทย ส่วนกรณีนำเข้ารางรถไฟนั้น

เนื่องจากประเทศไทยยังผลิตรางรถไฟเองไม่ได้เพราะต้องใช้เหล็กต้นน้ำมาผลิต จึงต้องนำเข้า นโยบายของนายกรัฐมนตรี คือ ต้องการให้ผลิตเอง ซึ่งอาจจะต้องคุยกับจีนเพื่อให้ตั้งโรงงานเหล็กต้นน้ำในไทยได้หรือไม่ เป็นต้น ทุกอย่างที่จีนศึกษามา ต้องตรวจสอบรายละเอียดก่อน

แหล่งข่าวจากกระทรวงคมนาคมกล่าวว่า การตั้งบริษัทร่วมทุนด้านการก่อสร้างด้วย ถือเป็นเรื่องดีในการดำเนินโครงการ โดยจีนจะมีส่วนรีบผิอบและรับความเสี่ยงในโครงการร่วมกับไทยมากขึ้น ซึ่งล่าสุดค่าก่อสร้างเพิ่มเป็นกว่า 5 แสนล้านบาท ซึ่งนอกจากจะต้องเจรจาเรื่องสัดส่วนการร่วมทุนแล้ว

จะต้องเจรจาในส่วนของการทรัพย์สินที่จะแปลงเป็นทุน อำนาจในการบริหารบริษัทร่วมทุน เป็นต้น.
กำลังโหลดความคิดเห็น