xs
xsm
sm
md
lg

ผู้จัดการสุดสัปดาห์

x

“ไสว่าสิบ่ถิ่มกัน” เสียงเพลงจากหัวใจของ “บิ๊กโด่ง”

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


ผู้จัดการสุดสัปดาห์ -ราวกับสายฟ้าที่ผ่าเปรี้ยงเด็ดขั้วหัวใจของ “บิ๊กโด่ง-พล.อ.อุดมเดช สีตบุตร” รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม และในฐานะประธานมูลนิธิอุทยานราชภักดิ์ กันเลยทีเดียว เมื่อ “พี่ป้อม-พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ” รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม พี่ใหญ่บูรพาพยัคฆ์ ให้สัมภาษณ์ถึงกระแสกดดันให้บูรพาพยัคฆ์ลาออกแบบชัดถ้อยชัดคำเมื่อวันที่ 30 พฤศจิกายน 2558

พี่ใหญ่บูรพาพยัคฆ์ให้สัมภาษณ์เอาไว้ว่า...

“ผมมองว่า พล.อ.อุดมเดชมีวุฒิภาวะมาก เป็นถึงอดีต ผบ.ทบ.ท่านคงคิดของท่านอยู่ว่า ควรจะทำอย่างไร ผมคงไม่ต้องไปบอกท่านว่า ต้องคิดแบบนี้ หรือแบบนั้น เพราะไม่ใช่เด็ก อย่างไรก็ตาม คงไม่มีสัญญาณจากผู้ใหญ่บอกให้ท่านดำเนินการอย่างใดอย่างหนึ่ง เพราะผมก็เป็นผู้ใหญ่”

“ส่วนลาออกแล้วจะมีข้อดีหรือข้อเสียอย่างไร ผมยังไม่ได้คิดว่าเรื่องนี้จะเป็นอย่างไรต่อไป ที่ผ่านมายังไม่ได้คุยกับ พล.อ.อุดมเดชในเรื่องดังกล่าว เพราะคุยเรื่องงานกันมากกว่า”

นี่ย่อมเป็นเสียงสะท้อนจากความในใจของพี่ใหญ่บูรพาพยัคฆ์แบบปฏิเสธไม่ได้ว่าคิดอย่างไรกับเรื่องซึ่งถือเป็น “บาดแผลใหญ่ของบูรพาพยัคฆ์” เรื่องนี้ เพราะเรื่องสำคัญแบบนี้จะบอกว่า “ปืนลั่น” ในวันถัดมา หรือกลับคำพูดในวันถัดมาว่า “ไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้น” ก็ดูจะไม่สมเหตุสมผลเท่าที่ควร เพราะไม่ใช่เรื่องที่จะพูดกันเล่นๆ เหมือนกรณี “เดี่ยว 11” ของ “โน้ส-อุดม แต้พานิช” หากแต่เป็นเรื่องที่ส่งผลกระทบกระเทือนถึงขั้นสั่นคลอนเสถียรภาพของกองทัพบก รัฐบาลและคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) เลยทีเดียว

ดังนั้น จงอย่าแปลกใจที่หลายคนมองว่านี่คือ “การลอยแพ”

และดังนั้น จงอย่าแปลกใจที่หลายคนใช้คำแรงๆ ว่า “เขาไล่กันแน่แล้ว”

เกิดอะไรขึ้นกับ พล.อ.ประวิตร ถึงได้ทำให้ท่าทีที่มีต่อกรณีอุทยานราชภักดิ์ซึ่งเคยหนักแน่นดั่งขุนเขา กลับกลายเป็นอ่อนระโหยโรยแรงประหนึ่งจำยอม “ตัดอวัยวะเพื่อรักษาชีวิต” เช่นนี้

นั่นย่อมมีที่มาและที่ไป

และที่มาและที่ไปก็ย่อมไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน

ย้อนหลังกลับไปก่อนหน้าที่ พล.อ.ประวิตรจะพูด สัญญาณสำคัญถูกส่งตรงมาคำให้สัมภาษณ์ของ “พล.ร.อ.พะจุณณ์ ตามประทีป” สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ(สนช.) ในฐานะนายทหารคนสนิทของ “ป๋าเปรม-พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์” ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ ซึ่งกลายเป็นพาดหัวไม้ของสื่อสิ่งพิมพ์ทุกสำนัก รวมถึงสื่อแขนงอื่นๆ โดยพร้อมเพรียง

“เรื่องนี้มีความผิดแน่นอนและเป็นเรื่องทุจริตคอร์รัปชันยิ่งต้องให้ความสำคัญ และนายกฯ มาทำเพื่อบ้านเมือง อย่าให้มาสะดุดเพราะเรื่องนี้ จะเสียงานใหญ่ได้”พล.ร.อ.พะจุณณ์ส่งสัญญาณ 4 G โดยที่ไม่ต้องตีความให้วุ่นวาย

สัญญาณจากบ้านสี่เสาฯ ผ่าน พล.ร.อ.พะจุณณ์แสดงจุดยืนชัดเจนให้ พล.อ.ประยุทธ์จัดการเรื่องนี้ให้เด็ดขาด ใช่หรือไม่ ไม่ทราบได้ แต่สิ่งที่เกิดขึ้นในวันถัดมาก็คือ คำให้สัมภาษณ์ที่เสียดแทงไปถึงขั้วหัวใจจากพี่ใหญ่บูรพาพยัคฆ์

คำถามที่เกิดขึ้นมีอยู่ว่า การอยู่หรือไม่อยู่ การลาออกหรือไม่ลาออก ของ พล.อ.อุดมเดชนั้น ส่งผลดีหรือผลเสียกับบูรพาพยัคฆ์ รัฐบาลและตัวของ พล.อ.อุดมเดชอย่างไรบ้าง สิ่งที่ได้รับกลับคืนมาคุ้มค่ากับสิ่งที่ต้องสูญเสียไปหรือไม่?

เรื่องนี้จำต้องวิเคราะห์

กล่าวสำหรับโครงการก่อสร้างอุทยานราชภักดิ์นั้น ต้องบอกว่า ปมเงื่อนที่สำคัญที่สุดก็คือการที่ พล.อ.อุดมเดชออกมายอมรับจากปากของตัวเองว่า มีการ “หักค่าหัวคิว” จริง แต่ได้นำเงินจำนวนนั้นส่งคืนเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ซึ่งทำให้สังคมวิพากษ์วิจารณ์ว่า เป็นการทำความผิดที่สำเร็จแล้ว การคืนเงินไม่สามารถลบล้างความผิดที่เกิดขึ้นได้

ขณะเดียวกัน การให้ข้อมูลที่สับสนประหนึ่งต้องการผลักความรับผิดชอบออกไปก็ยิ่งซ้ำเติมให้บาดแผลขยายวงออกไป ทั้งการปฏิเสธว่าไม่ใช่ โครงการของกองทัพบกทั้งๆ ที่ตัวอุทยานตั้งอยู่ในพื้นที่ของกองทัพ หรือการบอกว่า ไม่ได้ใช้งบประมาณแผ่นดิน ใช้แค่เงินบริจาค ก่อนที่จะจำนนต่อหลักฐานว่า มีการอนุมัติให้ใช้งบประมาณของกองทัพบก

นอกจากนี้ เมื่อบิ๊กหมู-พล.อ.ธีรชัย นาควานิช ผบ.ทบ.มีคำสั่งให้ตั้งคณะกรรมการขึ้นมาสอบสวนข้อเท็จจริง ก็ออกมาสรุปว่า โครงการไม่ได้ทุจริต แต่ไม่ได้มีการแจกแจงรายละเอียดของโครงการให้เห็นว่า มีรายรับเท่าไหร่ มีรายจ่ายเท่าไหร่ ใช้แค่เพียงความเป็น ผบ.ทบ.มารับประกัน ซึ่งแทนที่จะทำให้สถานการณ์ดีขึ้นกลับเลวร้ายลงหนักไปกว่าเก่าอีก จนพี่ใหญ่บูรพาพยัคฆ์ต้องมีคำสั่งให้กระทรวงกลาโหมตั้งคณะกรรมการสอบสวนขึ้นมาอีกหนึ่งชุด

ความไม่ชัดเจนและการขีดวงว่า เขตทหารห้ามเข้า ได้กลายเป็นช่องโหว่ให้สองขี้ข้าระบอบทักษิณนำโดย “ตู่-เต้น” หยิบยกไปใช้เคลื่อนไหวทางการเมือง ซึ่งก็สร้างความปั่นป่วนให้กับรัฐบาลและ คสช.อย่างสาหัสสากรรจ์ จนต้องสั่งให้ทหารไปรวบตัวขณะระดมพลไปยังอุทยานราชภักดิ์เมื่อวันที่ 30 พฤศจิกายน 2558 ก่อนที่จะปล่อยตัวในเวลาต่อมา

แน่นอน ตราบใดที่ไม่เคลียร์ก็ยากที่จะปฏิเสธความเกี่ยวข้องได้ เนื่องจาก พล.อ.อุดมเดชคือบุคคลสำคัญในรัฐบาลและ คสช.

เพราะถัดจากแก่นแกนของอำนาจแถวที่ 1 อย่าง “3 ป.-ป.ป้อม ป.ป๊อก และ ป.ประยุทธ์” แถวที่ 2 ก็ย่อมมีชื่อของ พล.อ.อุดมเดชปรากฏอยู่อย่างชัดแจ้งและเป็นที่รับรู้กันโดยทั่วไป

นี่เป็นโจทย์ที่ยังแก้ไม่ตก และยังไม่เป็นที่แน่ชัดว่า ถ้าหาก พล.อ.อุดมเดชไขก๊อกจริงจะเกิดผลดีหรือผลเสียกับเพื่อนพ้องน้องพี่และตัวของเขาเองมากกว่ากัน

กับตัว พล.อ.อุดมเดชเอง

แน่นอน การลาออกจากรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหมย่อมไม่เกิดผลดีกับตัวของเขาร้อยเปอร์เซ็นต์ เพราะเท่ากับว่าได้หลุดจากขั้วอำนาจและไม่มีหลักให้ยึดอีกต่อไป สุ่มเสี่ยงที่จะเดินทางสู่หุบเหวแห่งความโดดเดี่ยวซึ่งไม่รู้ว่า จะมีความลึกสักเท่าไหร่และจะจบอย่างไร

แต่ในทางตรงกันข้าม สังคมก็จะชื่นชมการตัดสินใจของ พล.อ.อุดมเดชเพราะถือเป็นการแสดงความรับผิดชอบในฐานะหมายเลข 1 ของโครงการอุทยานราชภักดิ์ เป็นความสง่างาม และเป็นแบบอย่างที่ดี แม้ว่าจะยังไม่มีผลสอบสวนที่ยืนยันความผิดชัดแจ้งก็ตาม

กับรัฐบาล กับ คสช.และกับบูรพาพยัคฆ์

แน่นอน การลาออกของ พล.อ.อุดมเดชย่อมช่วยทำให้สถานการณ์ของรัฐบาล สถานการณ์ของ คสช.และสถานการณ์ของบูรพาพยัคฆ์คลี่คลายไปในทางที่ดี ทำให้เกิดความมั่นใจในหมู่ประชาชนว่า การสอบสวนจะเป็นไปอย่างเที่ยงธรรม

กระนั้นก็มิได้หมายความว่าเรื่องจะจบไป เพราะฉับพลันทันทีที่หลุดจากเก้าอี้จะถูกหยิบยกนำไปขยายผลทางการเมืองอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ โดยเฉพาะจากข้าทาสของระบอบทักษิณที่จ้องจะกระทืบซ้ำอย่างไม่ปรานี ปราศรัย
ข้อดีประการหนึ่งเดียวของการลาออกก็คือ เป็นการหยุดเพื่อมิให้เสียงานใหญ่ดังเช่นที่ พล.ร.อ.พะจุณณ์ ตามประทีป นายทหารคนสนิทของ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ได้ชี้โพรงให้กระรอกเอาไว้ เพราะนั่นเท่ากับว่า จะสามารถสยบเสียงวิพากษ์วิจารณ์จากประชาชนซึ่งมิใช่คนเสื้อแดงได้อย่างชะงัดว่า ความเป็นเพื่อนพ้องน้องพี่มิได้อยู่เหนือสิ่งอื่นใด

ที่สำคัญคือทำให้รัฐบาลไม่ติดกับดักหรือติดหล่มจนยักแย่ยักยันอยู่ในขณะนี้ หรือพูดง่ายๆ คือ การเสียสละของ พล.อ.อุดมเดชจะทำให้รัฐบาลสามารถทำงานต่อไปได้

ทีนี้ หันมาดูปฏิกิริยาตอบสนองของ พล.อ.อุดมเดชหลังการทิ้งไพ่แห่งความปรารถนาที่อยากจะให้เป็นของพี่ใหญ่บูรพาพยัคฆ์กันบ้าง

วันที่ 1 ธันวาคม 2558 หรือ 1 วันหลังพี่ใหญ่แสดงเจตจำนงพล.อ.อุดมเดชประกาศยืนยันต่อสาธารณชนก่อนเข้าประชุมคณะรัฐมนตรีว่าจะปฏิบัติหน้าที่ต่อไป และควรคอยให้คณะกรรมการตรวจสอบให้เรียบร้อยก่อน หรือสรุปง่ายก็คือ “ไม่ออก”

“ผมยังคงปฏิบัติหน้าที่อยู่ตามปกติ ซึ่งทุกคนในรัฐบาลที่ปฏิบัติหน้าที่อยู่ขณะนี้ทุกคนต้องทำตามหน้าที่เพื่อให้ทุกอย่างเดินหน้าไปไม่ต้องห่วงหรอก ซึ่งนายกรัฐมนตรีได้เน้นย้ำอยู่เสมอว่าพวกเราไม่มีอะไร นอกจากการทำงานให้ สำเร็จลุล่วงไป เมื่อถึงวันเวลาทุกคนต้องไปไม่ช้าก็เร็ว ส่วนตัวผมเองทุกคนต้องไปไม่ช้าก็เร็ว และส่วนตัวผมเองก็ยังทำงานอยู่เรื่องราวต่างๆต้องพิจารณากันต่อไป แต่อยากให้เข้าใจว่าไม่เคยคิดที่หรือต้องการที่จะอยู่ในตำแหน่งหน้าที่นี้ยาวนาน แต่อยู่เท่าที่จำเป็น”

“ไม่หนักใจ เพราะมั่นใจว่าเราคิดดีทำดี ขณะนี้อาจจะมีบางคน บางกลุ่ม นั่งยิ้มอยู่ก็ได้ว่าสิ่งที่เขาได้พยายามกระทำนั้นเหมือนกับยิงนกได้หลายตัว ก็ไปคิดดูแล้วกันว่าเราจะปล่อยให้สิ่งต่างๆ คนที่ตั้งใจจะทำสีขาวเป็นสีขาว กับคนที่ตั้งใจให้สีขาวเป็นสีดำ ถ้าสอบสวนเสร็จผมคิดว่าประเทศชาติก็อันตราย การทำงานในฐานะผู้บัญชาการทหารบกที่ผ่านมา ทำทุกอย่างด้วยความเรียบร้อย ช่วยรัฐบาลควบคุมสถานการณ์ได้ขณะนั้น ทั้งการพูดคุยการปรองดองหรือแม้แต่สถานการณ์ในภาคใต้ก็ดำเนินการมาอย่างต่อเนื่อง ทุกคนตั้งใจทำงานก็ขอให้กำลังใจกับคนที่ตั้งใจทำงาน สิ่งใดๆ ที่อยากรู้ขณะนี้ให้รอคณะกรรมการ และผมไม่เคยเข้าไปยุ่งเกี่ยว เป็นเรื่องของกองทัพบกในยุคปัจจุบันต้องดูแลซึ่งทุกคนทราบดีอยู่แล้วว่าเป็นอย่างไร ผมไม่ได้อะไรทั้งสิ้น แต่ทุกคนต้องมีความเป็นธรรมสิ่งที่ผู้บัญชาการทหารบกคนปัจจุบันกล่าวมา ก็กล่าวมาด้วยความเป็นธรรมแล้ว และผมไม่ได้ไปพูดคุยอะไรกับท่าน ท่านเห็นอย่างไรก็พูดมาอย่างนั้น แต่ว่าอาจจะลงรายละเอียดไม่พอ ก็คงต้องอาศัยคณะกรรมการต่อๆไป โดยเฉพาะกรรมการที่มาจากหน่วยนอกต่างๆ ซึ่งผู้ใหญ่ก็พูดแล้วว่ายินดีที่จะให้เข้ามาตรวจสอบ”

นอกจากนี้ พล.อ.อุดมเดชยังบอกด้วยว่า การทำงานของตนเองที่ผ่านมาตั้งแต่เป็นผู้บัญชาการทหารบกจนเกษียณ ยืนยันว่ามีความโปร่งใสและตั้งใจดีในการทำโครงการอุทยานราชภักดิ์ และตั้งแต่เกษียณอายุราชการจากตำแหน่ง ผบ.ทบ.ก็ไม่ได้นำเอกสารอะไรติดตัวมา ดังนั้น การดำเนินงานทุกอย่างมีข้อมูลอยู่ในกองทัพบกอยู่แล้ว มีคณะกรรมการคอยดูแลทุกขั้นตอน ทุกคนตั้งใจทำงานและเชื่อมั่นในสิ่งที่ทำและจุดประสงค์ที่ตั้งโครงการนี้ขึ้นมา เพื่อให้คนไทยทุกคนหรือคนต่างประเทศมีสิ่งยึดเหนี่ยวและเป็นสมบัติของชาติ และเพื่อให้รำลึกสิ่งที่มีพระคุณต่อชาติอย่างใหญ่หลวง

“ผมไม่เคยหวังที่เอาประโยชน์อะไร เราไม่คิดที่จะหวังอะไรจากโครงการนี้ คิดแต่ว่าจะทำอย่างไรที่จะให้โครงการนี้เดินหน้าไป แม้แต่ทุนทรัพย์ของเราเองหรือจากคนรู้จักที่จะมาบริจาคก็ดำเนินการกันมาด้วยความตั้งใจและโปร่งใส ผมเคยให้นโยบายกับผู้ใต้บังคับบัญชาขณะนั้นว่า การทำงานต้องทำให้เรียบร้อยที่สุด ต้องโปร่งใส สามารถตรวจสอบได้ ดังนั้น วันนี้ถ้ามีสิ่งใดต่างๆ ที่ไม่เข้าใจหรืออาจจะบอกว่าเขาไม่ปรารถนาดีอย่างไรก็แล้วแต่ประชาชนจะคิดว่าขณะนี้เรื่องราวต่างๆ จะลงมาขนาดไหน เรื่องการเมืองต่างๆ จะมีหรือไม่อย่างไรทุกคนคิดได้ ก็ลองดูว่าเป็นยังไง ก็ลองดูว่าเป็นอะไรกัน แต่ก็ขอยืนยันว่าคณะกรรมการเขาดำเนินการมาด้วยความตั้งใจดี เพราะเป็นโครงการที่มีประโยชน์สำหรับคนไทย และสำหรับผมเองไม่ได้หนักใจอะไร แต่ที่หนักใจและไม่ค่อยสบายใจก็คือ เกี่ยวกับเรื่องของคนที่ไม่เข้าใจ ผู้ที่ไม่ปรารถนาดีมาทำให้โครงการอุทยานราชภักดิ์ซึ่งมีความบริสุทธิ์เกิดความเสียหาย”

“ที่ผ่านมาพวกเราซึ่งเป็นทหารและข้าราชการส่วนใหญ่ทำงานมาด้วยความตั้งใจ เราทำเพื่อสิ่งที่เรารักและหวงแหน ตนเองและทหารหลายคนก็เช่นเดียวกัน ตั้งแต่นายทหารยศชั้นเด็กจนถึงระดับสูงทำสิ่งเหล่านี้มามากพอสมควร สู้กับการจาบจ้วงสิ่งที่เรารักและเคารพมา เพราะฉะนั้นเราจะไม่มาเอาประโยชน์กับสิ่งที่เราทำ โครงการราชภักดิ์เป็นโครงการชิ้นหนึ่ง ชิ้นสุดท้ายที่ตนทำก่อนเกษียณอายุราชการ ผมระลึกเสมอว่ากองทัพบกในขณะนั้นมีศักยภาพที่จะทำอะไรเพิ่มเติมจากสิ่งที่เราทำมาตั้งแต่เป็นนายทหารเด็กๆ เราไม่คิดเอาประโยชน์จากสิ่งเหล่านี้ เราตั้งใจทำสิ่งนี้ขึ้นมา จึงอยากให้ประชาชนได้รับทราบคนที่สนับสนุนหรือบริจาคไม่ว่าจะมากหรือน้อย เข้าใจดีว่าคนเหล่านี้มีความศรัทธา ผมก็จะพยายามรักษาศรัทธานั้นและเดินกันต่อไปให้สำเร็จ”

พล.อ.อุดมเดชกล่าวสรุปว่า การชี้แจงของกระทรวงกลาโหมครั้งนี้จะสามารถลงรายละเอียดสรุปในเรื่องต่างๆ ให้ประชาชนได้เข้าใจ ทั้งเรื่องของการรับเงินจ่ายเงิน หรือเหตุผลเรื่องราวต่างๆ ซึ่งล้วนเป็นประเด็นที่หลายคนตั้งข้อสังเกตและตั้งข้อสงสัย ตนหวังว่าทางคณะกรรมการจากกระทรวงกลาโหมจะสามารถสอบข้อมูลต่างๆ เหล่านั้น มาชี้แจงได้ในเวลาอันเหมาะสม

นั่นคือท่าทีของ พล.อ.อุดมเดชซึ่งเป็นประธานมูลนิธิอุทยานราชภักดิ์ ซึ่งยืนยันชัดเจนว่า ต้องการให้รอผลสอบของกระทรวงกลาโหมออกมาเสียก่อน

คำถามก็คือ เมื่อ พล.อ.อุดมเดชยืนยันเช่นนั้น คสช.ซึ่งเป็นองค์รัฏฐาธิปัตย์จะตัดสินใจและมีมติร่วมกันอย่างไรต่อไป

และคำตอบทั้งหมดก็ปรากฏในวันถัดมา หลังจากที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้า คสช.เดินทางกลับจากฝรั่งเศสถึงประเทศไทยในวันที่ 2 ธันวาคม 2558 เวลา 05.45 น.

“พล.อ.อุดมเดชคิดเป็น ต่างกับบางคนคิดไม่เป็น กฎหมายยังไม่รับเลย อันนี้เขาคิดเองได้ ให้เขาตรวจสอบ ผมไม่ได้ไปห้ามซักอัน การตรวจสอบมีขั้นมีตอน แล้วไปเปรียบเทียบกับอีกคดี คดีนั้นมีขั้นตอนหรือไม่ เมื่อมีขั้นตอนแล้วทำไมไม่ให้เรื่องนี้มีขั้นตอนบ้าง”

ส่วนเมื่อถามว่าจะรอให้ผลการตรวจสอบออกมาก่อนแล้วค่อยลาออกหรือไม่นั้น พล.อ. ประยุทธ์กล่าวว่า “แล้วแต่ตัวของ พล.อ.อุดมเดชจะพิจารณาตัวเอง”

พร้อมตอบคำถามสำคัญเมื่อถูกถามว่าการลาออกของ พล.อ.อุดมเดชจะกระทบกับ คสช.หรือไม่ว่า “ไม่กระทบ เพราะ คสช.มีถึง 4 เหล่าทัพ”

เฉกเช่นเดียวกับ พล.อ.ประวิตรที่ตอกย้ำเรื่องการตัดสินใจของ พล.อ.อุดมเดชเป็นครั้งที่ 2 หลังจากที่ พล.อ.ประยุทธ์แสดงท่าทีออกมา

และไม่เพียงแค่การให้สัมภาษณ์ของ พล.อ.ประยุทธ์เท่านั้น เพราะในวันเดียวกันนั้นเองได้ปรากฏบุคคลสำคัญของ คสช.เข้าหารือกับ พล.อ.ประยุทธ์ที่ทำเนียบรัฐบาล 3 คนเข้าพบ คนแรกคือ พล.อ.ธีรชัย นาควานิช คนที่สองคือ พล.อ.ไพบูลย์ คุ้มฉายา และคนที่สามคือ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณซึ่งข้อมูลทุกสายยืนยันตรงกันว่า เป็นการหารือเกี่ยวกับอุทยานราชภักดิ์

เป็นท่าทีและความเคลื่อนไหวที่ต้องบอกว่าน่าจะสร้างความเจ็บปวดให้กับ พล.อ.อุดมเดชอยู่ไม่น้อย ดั่งเพลงลูกทุ่งที่มีชื่อว่า “ไสว่าสิบ่ถิ่มกัน” ซึ่งกำลังดังระเบิดระเบ้อไปทั้งบ้านทั้งเมือง เพราะเสมือนทิศทางกำลังเดินไปสู่วิถี “ตัดอวัยวะเพื่อรักษาชีวิต” อย่างไรอย่างนั้น

กระนั้นก็ดี เรื่องอาจจบไม่สวยอย่างที่คาดคิดก็เป็นไปได้ เพราะ แหล่งข่าวหลายสายยืนยันตรงกันว่า ท่าทีของ พล.อ.อุดมเดชเกิดขึ้นหลังจากที่มีการเรียกเข้าพบเพื่ออธิบายข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นทั้งหมดให้กับ “บุคคลสำคัญ” ได้รับทราบเป็นที่เรียบร้อย พล.อ.อุดมเดชจึงยืนยันที่จะรอผลการสอบสวนของกระทรวงกลาโหมก่อนที่จะตัดสินใจอนาคตของตัวเอง

ด้วยเหตุดังกล่าว จึงเป็นไปได้หรือไม่ที่ท่าทีของ พล.อ.ประยุทธ์ในวันถัดมาจึงแปร่งปร่าออกไปจาก 1 วันก่อนหน้านี้ ประหนึ่งว่าเพลง “ไสว่าสิบ่ถิ่มกัน” จะสร้างความสะเทือนอารมณ์ในหัวใจของ พล.อ.ประยุทธ์เข้าให้อีกคน เมื่อถูกถามว่า ในใจลึกๆ แล้ว คิดว่าไม่มีการทุจริตในโครงการก่อสร้างอุทยานราชภักดิ์ ใช่หรือไม่

“ก็แน่นอน ใครจะคิดว่าจะมีการทุจริต แต่ก็ต้องไปดูว่าทุจริตทั้งโครงการหรือไม่ ทุจริตที่บุคคล หรือตรงส่วนไหน รายรับ รายจ่าย ซึ่งมีงบฯกลางอยู่ ส่วนหนึ่งที่เอาลงไปนั้นมีความชัดเจนหรือไม่ ถูกต้องหรือไม่ และงบฯ บริจาคมาจากไหนบ้าง ถูกต้องหรือไม่ มันมีส่วนหนึ่งที่ผิด ผิดโดยคนไม่กี่คน และคิดว่าคนส่วนนี้จะอยู่ในนี้อย่างนั้นหรือ ตรวจอย่างไร ก็ไม่เจอ เพราะคนมันขี้โกง มันก็ต้องสองคนที่ต้องรับผิดชอบอยู่แล้วเพราะถ้าไม่ผิดก็คงไม่หนี ต้องดูตรงนี้ ทุกคนเจตนาดีทั้งหมด คิดว่าไม่มีใครหวังว่าทำเพื่อจะโกง เขามีเป็น 1,000 โครงการ แต่บังเอิญเริ่มแรกเริ่มมาจากคนที่ทำงานใกล้ชิดสถาบันนั่นแหละคือปัญหา จึงอยากให้ดูแล้วแยกออกจากกัน เพราะไปใช้ประโยชน์จากตรงนั้น ยอมรับได้หรือไม่ ก็ไม่ได้ ใครเกี่ยวข้องก็ว่ามา

และเมื่อถามว่า เป็นห่วง พล.อ.อุดมเดช หรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า“ในความเป็นส่วนตัวผมก็ต้องห่วง น้องผมนะ แต่ในความรับผิดชอบก็ต้องทำอย่างที่ผมบอก โดยเอาระเบียบ เอากติกาที่ทุกคนรู้อยู่แล้ว ผมโตด้วยกันมา จะผิดจะถูก ซึ่งถ้าผิดก็ต้องยอมรับ ถ้าไม่ผิดก็ต้องโอเค ทำงานไป ก็ไปหาคนผิดมาลงโทษก็เท่านั้น แล้วจะอะไรกันนักหนา ที่บอกว่าต้องรับผิดชอบทางการเมือง ต้องรับผิดชอบตั้งแต่วันนี้หรือ แล้วมันชัดเจนหรือยัง ว่าผิดตรงไหน รายรับ รายจ่าย งบฯต่างๆ การก่อสร้างอะไรก็แล้วแต่ เขาสั่งให้เรียกค่าหัวคิวหรือเปล่าก็ไม่รู้อีก เป็นที่ไอ้คนนั้นหรือเปล่าที่ไปเรียกค่าหัวคิว ก็ไปสอบมา ไปดูทางข้อกฎหมาย หลายคนก็ให้ไปตรวจสอบกัน”

...ฟังอย่างนี้แล้ว เป็นไปได้หรือไม่ว่าเพลง “ไสว่าสิบ่ถิ่มกัน” กำลังเสียดแทงหัวใจของเพื่อนพ้องน้องพี่บูรพาพยัคฆ์จนพูดไม่ออก บอกไม่ถูก กันเลยทีเดียว
พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณและพล.อ.อุดมเดช สีตบุตร
พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชาและพล.อ.อุดมเดช สีตบุตร


กำลังโหลดความคิดเห็น