ผู้จัดการสุดสัปดาห์ -ระหว่าง “หยุดรอ” ผลสอบทุจริตโครงการก่อสร้างอุทยานราชภักดิ์โดยคณะกรรมการกระทรวงกลาโหมตามคำสั่งของ “บิ๊กป้อม-พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ” รองนายกรัฐมนตรีและเจ้ากระทรวง ซึ่งได้รับคำยืนยันออกมาแล้วว่าจะสรุปภายในสิ้นเดือนธันวาคมปีนี้ ก็เกิดปรากฏการณ์พิลึกพิลั่นให้สับสนอลหม่านอยู่ไม่น้อย
จะใช้คำว่า “ผิดฝาผิดตัว” คงไม่ผิดไปจากความเป็นจริงเท่าใดนัก ปรากฏการณ์แรกคือการปะทะคารมระหว่าง บิ๊กโด่ง-พล.อ.อุดมเดช สีตบุตร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหมและประธานมูลนิธิราชภักดิ์ กับ บิ๊ก ต๊อก-พล.อ.ไพบูลย์ คุ้มฉายา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ทั้งๆ ที่จะว่าไปแล้วก็มิได้เป็นคู่กรณีโดยตรงแต่อย่างใด
ปรากฏการณ์ที่สองคือ การมีคำสั่งให้กวาดล้างคนที่ “โพสต์” และ “แชร์” แผนผังผู้เกี่ยวข้องกับการทุจริตการก่อสร้างอุทยานราชภักดิ์แบบปูพรม และอึกทึกครึกโครมเสียยิ่งกว่าการตรวจสอบเรื่องทุจริตอันเป็น “แก่น” ของเรื่อง จนเกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์ตามมาว่า เป็น “เกมเบี่ยงประเด็น” หรือไม่
แม้จะเป็นที่รับรู้กันว่า เป็นแผนผังที่ใช้ข้อความอันเป็นเท็จเพื่อใส่ร้ายป้ายสี “พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” ก็ตาม
ทั้งนี้ การปะทะกันระหว่าง พล.อ.อุดมเดชกับพล.อ.ไพบูลย์เกิดขึ้นอย่างไม่น่าเชื่อ ทั้งๆ ที่ในตอนแรก พล.อ.ไพบูลย์วางตัวในเรื่องนี้ได้อย่างเหมาะสมโดยเฉพาะเรื่องการกดดันให้ พล.อ.อุดมเดชลาออกซึ่งไม่เคยหลุดออกมาจากปากของนายทหารผู้นี้เลยแม้แต่น้อย
แต่หลังจากที่สองคู่หูไข่แม้ว “จตุพร พรหมพันธุ์” และ “ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ” เดินทางเข้าพบเพื่อให้ข้อมูล แนวรบด้านตะวันตกก็เปลี่ยนแปลงในฉับพลันทันที แต่กระนั้นก็ดี มั่นใจได้ว่าไม่ได้มีผลมาจากสองคู่หูไข่แม้วร้อยเปอร์เซ็นต์ หากแต่มีผลจากคำให้สัมภาษณ์ของ พล.อ.อุดมเดชมากกว่า
จากการตรวจสอบข้อมูลพบว่า กรณีการให้สัมภาษณ์ของ พล.อ.อุดมเดชนั้น คณะกรรมการ ศอตช.มีการหารือกันในหลายประเด็น เนื่องจากเห็นว่ามีความสุ่มเสี่ยงต่อการกระทำผิดกฎหมายและการออกมาระบุว่ามีการับค่าหัวคิว ถึงแม้จะเป็นเรื่องของเอกชนเข้าไปดำเนินการเอง แต่มีการนำเงินหลวงไปเป็นค่าหัวคิว ซึ่งผิดกฎหมาย เมื่อเจ้าของโครงการซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่รัฐรับทราบแล้วไม่ดำเนินการทางกฎหมาย อาจเข้าข่ายการละเว้นต่อการปฏิบัติหน้าที่ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157
นั่นอาจเป็นชุดข้อมูลที่ทำให้ พล.อ.ไพบูลย์กล่าวเยี่ยงนั้น และทำให้เกิดการเปลี่ยนแกนจากตัวละครที่สมควรตกเป็นเป้าเนื่องเพราะมีส่วนเกี่ยวข้องและรับผิดชอบโดยตรงในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมมาเป็น พล.อ.ไพบูลย์กับ พล.อ.อุดมเดชแทน
“ผมบอกวันนี้เลยว่า ต้องเจอคนผิด การตรวจสอบไม่มีเบี่ยงเบน เพราะผู้เกี่ยวข้องยอมรับเอง หากสตง.ไปตรวจสอบแล้วออกมาบอกว่าไม่มีทุจริต ท่านจะเชื่อหรือไม่ ประชาชนจะเชื่อหรือไม่ หากบอกว่าไม่มีทุจริตบ้านเมืองจะอยู่อย่างไร ให้บอกประชาชนไปเลยว่ามีการทุจริต แต่จะเป็นใครและเกิดขึ้นในช่วงไหน ขอให้รอการตรวจสอบให้ชัดเจนส่วนเรื่องบัญชีบริจาคของมูลนิธิอุทยานราชภักดิ์ที่ระบุว่าต้องมีการรับรองงบดุล แต่ขณะนี้ยังมีเงินไหลเข้ามาเรื่อยๆเพราะยังไม่ได้ปิดบัญชีจึงขอให้สตง.ขีดเส้นเพื่อปิดบัญชี เพื่อเริ่มการตรวจสอบ”
นั่นคือคำให้สัมภาษณ์ของ พล.อ.ไพบูลย์ที่ทำให้ พล.อ.อุดมเดชปรี๊ด และทำให้สถานการณ์ของอุทยานราชภักดิ์เพิ่มดีกรีความรุนแรงหนักขึ้นไปกว่าเก่า เพราะเมื่ออ่านถ้อยคำอย่างช้าๆ ทีละบรรทัดก็จะพบว่า พล.อ.ไพบูลย์ยืนยันว่ามีการทุจริตเกิดขึ้นจริงๆ
และแน่นอนว่า ผู้ที่กระทบโดยตรงย่อมหนีไม่พ้นประธานมูลนิธิอุทยานราชภักดิ์ที่ชื่อ พล.อ.อุดมเดช รวมทั้งสั่นสะเทือนความสัมพันธ์ระหว่าง บิ๊กๆ คสช.โดยตรง จนเกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์ดังอึงมี่ว่า เมื่อ พล.อ.ไพบูลย์กล่าวเช่นนี้ย่อมสามารถตีความได้ว่า ชะตากรรมของ พล.อ.อุดมเดชได้เดินทางมาถึงจุดสุดท้ายแล้ว เพียงแต่จะเร็วหรือจะช้าเท่านั้น
เนื่องเพราะ พล.อ.ไพบูลย์มิได้เป็นเพียงรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมเท่านั้น หากแต่ยังเป็นหนึ่งใน คสช.และดำรงตำแหน่ง “ประธานศูนย์อำนวยการต่อต้านการทุจริตแห่งชาติ” หรือ “ศอตช.” อีกด้วย
ดังนั้น จึงไม่ใช่เรื่องแปลกใจที่ พล.อ.อุดมเดชจะลุกขึ้นมาตอบโต้อย่างดุเด็ดเผ็ดมันเช่นกัน เนื่องจาก พล.อ.อุดมเดชมีสิทธิคิดได้ว่า พล.อ.ไพบูลย์ได้รับไฟเขียวอะไรบางประการเท่านั้นถึงได้พูดเท่านั้น
“ต้องถามว่าถูกต้องหรือไม่ เป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ แล้วมีคนสองคนเดินมาหา นำซองเอกสารสีน้ำตาลบางๆมาให้ คุยกันอยู่สักพักเสร็จแล้วมาบอกว่าทุจริตแน่นอน มีที่ไหนทำกัน จริงๆแล้วทำแบบนี้ผิด เป็นการชี้นำ เพราะกรรมการที่ตรวจสอบต้องหาคนผิดให้ได้ ต้องเป็นลักษณะที่ว่าเอาข้อมูลมาแล้วไปให้กับ สตง. ป.ป.ช. ไปไล่ดูแต่ละจุดว่ามีความผิดต่างๆ อย่างไร ไม่ใช่ออกมาพูดแบบนี้ อย่างนี้แสดงว่าอย่างไร เป็นนายพรานออกมาจากพุ่มไม้หรืออย่างไร เป็นนายพรานหรือเปล่าก็ไม่ทราบ ไม่ได้ทะเลาะกัน แต่พลาดพลั้งที่พูดไป ถามว่าเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ มีวุฒิภาวะในตัวเองทุกคน จะต้องมีสติ ไม่ใช่มีธงในใจ พอนักข่าวถามก็ตั้งใจว่าเดี๋ยววันนี้จะฟันแน่ การเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐไม่ใช่มีเอกสารอยู่แค่นั้นแล้วจะมาบอกว่าผิดแน่นอน ต้องให้กรรมการเข้าไปตรวจสอบดูบัญชี”พล.อ.อุดมเดชอัด พล.อ.ไพบูลย์อย่างไม่เกรงหน้าอินทร์หน้าพรหมเช่นกัน
ไม่เพียงแต่การตัดพ้อต่อว่า พล.อ.ไพบูลย์เท่านั้น หากแต่ยังวิพากษ์วิจารณ์ไปถึงเพื่อนร่วมรุ่นอย่าง บิ๊กหมู-พล.อ.ธีรชัย นาควานิชด้วย โดยเฉพาะถ้อยคำที่ว่า “เสียดายที่การชี้แจงรายรับ-จ่าย ของกองทัพบกครั้งที่แล้ว น่าจะนำรายละเอียดเกี่ยวกับรายรับ-จ่ายมาชี้แจงด้วย” เพราะอาจตีความได้ว่า เหตุที่เรื่องวุ่นไม่รู้จักจบจักสิ้นก็เพราะคณะกรรมการของกองทัพบกที่มี พล.อ.ธีรชัยไม่ได้ทำให้ทุกอย่างคลี่คลายลงไปเลยแม้แต่น้อย
“กรณีนี้กระทบต่อชื่อเสียงที่สั่งสมมาตลอดชีวิต ที่ผ่านมาทำหน้าที่ปราบคนโกง ผู้มีอิทธิพล แต่กลับถูกตราหน้าว่าเป็นคนโกงเสียเอง โครงการก่อสร้างอุทยานราชภักดิ์คิดว่าเป็นจุดแข็งของผม ไม่คิดว่าจะเป็นปัญหา”พล.อ.อุดมเดชกล่าวทิ้งท้ายซึ่งสามารถรับรู้ได้ว่า เต็มไปได้ความเจ็บปวดยิ่งนัก
หลังวิวาทะสะท้านสะเทือน คสช. รายงานข่าวแจ้งว่า พล.อ.ไพบูลย์ได้หารือถึงประเด็นดังกล่าวกับ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) โดย พล.อ.ประยุทธ์ไม่ได้มีการตำหนิหรือต่อว่าแต่อย่างใด แต่ไม่อยากให้มีการสัมภาษณ์ตอบโต้กันไปมา เพราะจะกลายเป็นภาพความขัดแย้งในรัฐบาลและ คสช.
ขณะที่ พล.อ.ไพบูลย์ในช่วงแรกก็ออกมาปฏิเสธเรื่องนี้พัลวันพร้อมทั้งโยนให้ “สื่อ”ว่า เขียนข้อมูลคลาดเคลื่อน
“เรื่องนี้สื่อนั่นแหละฟังตนพูดยังไม่ทันไร ไปสรุปกันแล้วว่ามีการทุจริต”
แต่สุดท้ายเรื่องก็จบลงโดยที่ พล.อ.ไพบูลย์ประกาศที่จะไม่พูดถึงเรื่องอุทยานราชภักดิ์อีก
“พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีไม่ได้พูดเรื่องนี้ในที่ประชุมคณะรัฐมนตรี เพราะไม่ได้เกี่ยวข้องกับรัฐบาล และหลังจากนี้จะไม่พูดเรื่องนี้แล้ว นายกฯ บอกแล้ว ไม่ต้องพูดอะไรอีก ให้ดำเนินการอย่างเดียว อย่างไรก็ตาม ส่วนตัวยืนยันรับผิดชอบคำพูดทั้งหมดที่เคยให้สัมภาษณ์ไว้ที่กระทรวงยุติธรรมไปก่อนนี้....ตลอดเวลาที่รับราชการทหาร พี่ๆ น้องๆ ผู้บังคับบัญชาในกองทัพทราบดีว่า ผมเป็นคนอย่างไร แต่คงไม่สามารถประเมินตัวเองได้ รู้เพียงว่ามีจริยธรรมมากพอ ซึ่งในกลุ่มสื่อมวลชนเองก็ย่อมรู้เช่นกันว่าใครเป็นอย่างไร ผมไม่ขอตอบคำถามเรื่องการตรวจสอบโครงการอุทยานราชภักดิ์อีก เพราะทุกคนต่างมีหน้าที่ของตนเอง”พล.อ.ไพบูลย์กล่าว
และเมื่อถามคำถามสำคัญว่า ยังคุยกับ พล.อ.อุดมเดชตามปกติหรือไม่
พล.อ.ไพบูลย์หัวเราะในลำคอ แล้วเดินขึ้นรถกลับทันที
คำถามก็คือ ทำไม พล.อ.ไพบูลย์ถึงมีท่าทีเช่นนั้น
ด้าน พล.อ.ประวิตรกล่าวถึงการตอบโต้ระหว่างพล.อ.อุดมเดช สีตบุตร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม และ พล.อ.ไพบูลย์ คุ้มฉายา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม กรณีโครงการอุทยานราชภักดิ์ ว่า ตัวเองได้คุยกับพล.อ.ไพบูลย์แล้ว โดยไม่ได้สั่งห้ามการให้ข่าวกับสื่อมวลชนแต่อย่างใด และการระบุว่ามีการทุจริตไม่ได้หมายถึงตัวของโครงการและไม่ได้เกี่ยวข้องกับ พล.อ.อุดมเดช ซึ่งทางกองทัพบกได้ตรวจสอบแล้ว และไม่พบว่าพล.อ.อุดมเดช เกี่ยวข้องกับการทุจริต แต่อาจจะเป็นเจ้าหน้าที่ระดับล่าง ขณะนี้คณะกรรมการของกระทรวงกลาโหม กำลังตรวจสอบข้อเท็จจริงอยู่ พร้อมยืนยันว่า ไม่มีความขัดแย้งกันใน คสช.
แต่ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม เหตุการณ์ดังกล่าวทำให้ “ตัวจริงเสียงจริง” ซึ่งความจริงต้องรับผิดชอบโครงการอุทยานราชภักดิ์สบายตัวไปโดยปริยาย เพราะได้เบี่ยงประเด็นหรือเบี่ยงเป้าจากตัวเองไปสู่ความขัดแย้งของคนอื่นได้ในระดับหนึ่ง
แน่นอน หลายคนอาจมีคำถามว่า เจตนาให้เป็นเช่นนั้นหรือไม่
และถ้ามี “ใคร” คือผู้กำหนดวาระให้เป็นเช่นนั้น
ส่วนความคืบหน้ากรณีไล่ล่าคนเผยแพร่แผนผังผู้ที่เกี่ยวข้องกับการทุจริตโครงการราชภักดิ์ซึ่งเป็นการบิดเบือนข้อเท็จจริงและทำให้ พล.อ.ประยุทธ์หัวเสียอย่างหนักนั้น ก็ปรากฏว่า กำลังกลายเป็นประเด็นให้วิพากษ์วิจารณ์กันอึงมี่ว่าเป็นปฏิบัติการกลบเกลือนกระแสข่าวทุจริตหรือไม่ เพราะดูเหมือนว่า ผู้มีอำนาจหน้าที่ในบ้านเมือง รวมถึงหน่วยราชการที่เกี่ยวข้องกระตือรือร้นมากเป็นพิเศษ
จริงอยู่ แม้การเผยแพร่ข้อมูลอันเป็นเท็จนั้นจะเป็นการกระทำความผิดจริง หากแต่การเหวี่ยงแหจับดะ ก็ดูเหมือนว่า ไม่ได้เกิดประโยชน์เท่าใดนักต่อสถานการณ์โดยภาพรวม และเปิดช่องให้มีการวิพากษ์วิจารณ์ในการปฏิบัติหน้าที่ได้ เนื่องเพราะการฟ้องร้องดำเนินคดีกระทำในนามของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ มิใช่ฟ้องร้องในนามส่วนตัว
แถม พ.อ.บุรินทร์ ทองประไพ เสนาธิการประจำผู้บังคับบัญชาฝ่ายกฎหมาย คสช. ก็ระบุชัดด้วยว่า ผู้ที่แชร์ภาพหรือแม้แต่กดไลค์ภาพผังอุทยานราชภักดิ์ ก็จะถูกพิจารณาดำเนินคดีในความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 116
ทั้งนี้ ผู้ต้องหาคนแรกที่ถูก คสช.แจ้งความดำเนินคดีก็คือ นายฐนกร หรือ เอฟ ศิริไพบูลย์ อายุ 27 ปี มือโพสต์ภาพผังโครงการจัดสร้างอุทยานราชภักดิ์ ในฐานความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 และความผิดในมาตรา 116 ทำให้เกิดความปั่นป่วนหรือกระด้างกระเดื่องในหมู่ประชาชน รวมถึงความผิดตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ ด้วย
ส่วนผู้ที่กดไลค์และกดแชร์นั้น อยู่ระหว่างการสืบสวนรวบรวมพยานหลักฐานและขออนุมัติศาลทหารออกหมายจับซึ่ง คาดว่ามีอีกไม่ต่ำกว่า 100 คน
“อ๋อ ที่มีรูปผมด้วยหรือเปล่า ผังดังกล่าวไม่ถูก เรื่องนี้ยืนยันว่าจะขยายผลผลต่อไปถึงผู้ที่อยู่เบื้องหลัง และเรื่องที่เกิดขึ้นถือเป็นการทำไม่ให้เกิดความมั่นคง เพราะทำให้เกิดความขัดแย้ง”พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม อธิบาย พร้อมระบุด้วยว่ากรณีผู้ที่กดไลค์ถูกดำเนินคดีด้วยนั้น ทุกคนก็ต้องทราบกฎหมายอยู่แล้ว และคนที่เล่นพวกโซเชียลพวกนี้ก็จะต้องรู้กฎหมาย
ส่วนความคืบหน้าการตรวจสอบอุทยานราชภักดิ์ ของคณะกรรมการชุดกระทรวงกลาโหม นั้น พล.อ.ชัยชาญ ช้างมงคล รองปลัดกระทรวงกลาโหม ในฐานะประธานคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงโครงการก่อสร้างอุทยานราชภักดิ์ เปิดเผยว่า เตรียมส่งผลสอบให้ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม โดยขณะนี้อยู่ระหว่างจัดทำเอกสารสรุปทั้งหมดเหลือเพียงรายละเอียดเล็กน้อย
ทั้งนี้ พล.อ.ชัยชาญ ปฏิเสธที่จะตอบคำถามว่ามีทหารกี่รายที่กระทำผิด หรือร่วมทุจริตในโครงการดังกล่าว โดยระบุว่า ยังเป็นความลับ และกระแสสังคมจะคลายความสงสัยหลังแถลงผลสอบหรือไม่ก็อยู่ที่สื่อ
...เอาเป็นว่าในระหว่างที่ “รอคอย” ผลสอบของกระทรวงกลาโหมคงต้องลุ้นกันต่อไปว่า สถานการณ์เรื่องนี้จะพัฒนาไปในรูปทรงไหน จะออกหัวออกก้อย มีอะไรในกอไผ่มากไปกว่าเมื่อครั้งผลสอบของกองทัพบกหรือไม่ แล้วด้วยเหตุไฉน พล.อ.ชัยชาญถึงพูดกว่าสังคมจะคลายความสงสัยหลังแถลงผลสอบหรือไม่ก็อยู่ที่สื่อ
แล้วถ้าคำตอบของกระทรวงกลาโหมเหมือนกองทัพบก จะมีหน่วยงานไหนที่กล้าสอบโครงการนี้แล้วมีผลออกมาในทางตรงกันข้ามหรือไม่ ทั้งคณะกรรมการปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) และสำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน(สตง.) ตามที่พี่ใหญ่บูรพาพยัคฆ์ว่าเอาไว้กรณีที่ผลสอบของกระทรวงกลาโหมยังไม่คลี่คลาย
งานนี้ก็ต้องฝาก สตง.และ ป.ป.ช.ให้รับไม้ไปดำเนินการต่อ โดยเฉพาะ ป.ป.ช.ที่เพิ่งมีประธานคนใหม่ชื่อ “บิ๊กกุ้ย-พล.ต.อ.วัชรพล ประสารราชกิจ”
หรือจะ “มีสัญญาณพิเศษ” ซึ่งทำให้สถานการณ์แปรเปลี่ยนไปอย่างคาดไม่ถึงตามเสียงเล่าลือกันในบรรดานักเล่นหุ้นที่มักไวต่อ “กลิ่นพิเศษ” มากกว่าคนปกติธรรมดาทั่วๆ ไป
โปรดติดตาม...