อาจารย์ ดร.อานนท์ ศักดิ์วรวิชญ์
สาขาวิชาวิทยาการประกันภัยและบริหารความเสี่ยง สาขาวิชาวิเคราะห์ธุรกิจและการวิจัย
คณะสถิติประยุกต์ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์
สาขาวิชาวิทยาการประกันภัยและบริหารความเสี่ยง สาขาวิชาวิเคราะห์ธุรกิจและการวิจัย
คณะสถิติประยุกต์ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์
ปัญหาเรื่องระบบหลักประกันสุขภาพของไทยมีหลายประการ 1. การเข้าถึงการบริการไม่ดี โดยเฉพาะในเขตกรุงเทพมหานคร ที่แม้แต่โรงพยาบาลเอกชนที่ราคาปานกลาง ก็คิวล้นรอคอยนานมาก หากเป็นโรงพยาบาลของรัฐยิ่งรอคอยนานมาก 2. ประชาชนไม่มีอำนาจต่อรอง ไม่มีทางเลือก หากใช้บริการบัตรทองนั้นไม่สามารถเลือกไปใช้บริการโรงพยาบาลที่ต้องการได้ จะไปใช้บริการของรัฐก็รอนานจนคอยไม่ไหว จะไปใช้บริการโรงพยาบาลเอกชนหลายแห่งก็แพงจนจ่ายไม่ไหวเช่นกัน 3. โรงพยาบาลหลายร้อยแห่งประสบกับปัญหาขาดทุน อย่างหนัก หากเป็นเช่นนี้ต่อไป ก็คงไม่สามารถดำเนินการต่อไปได้ 4. บุคลากรทำงานหนักตรวจ OPD ใช้เวลาน้อยมาก จากการศึกษาวิจัยพบว่าใช้เวลา สามหรือสี่นาทีต่อคน พอๆ กับพวกญาณทิพย์จิตสัมผัส ทำให้สงสัยว่าคุณภาพการรักษาพยาบาลจะมีปัญหาหรือไม่
ปัญหานี้เป็นปัญหาระดับชาติที่ต้องช่วยกัน แม้แต่พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีก็ตระหนักดีว่าเรื่องนี้เป็นปัญหาอยู่จริง โรงพยาบาลขาดทุน และนายกรัฐมนตรีต้องการแก้ปัญหา ขณะเดียวกันท่านนายกรัฐมนตรีก็คงต้องการให้ประชาชนมีทางเลือกด้วย
ทางออกหนึ่งคือ การร่วมจ่าย (co-payment) แต่ส่วนตัวผมอยากให้เห็นการร่วมจ่ายล่วงหน้าเพื่อป้องกันปัญหาการล้มละลายทางการเงินจากการเจ็บป่วย ทางเลือกหนึ่งคือการหาทางเลือกให้ประชาชน ให้ประชาชนมีทางเลือกที่ดีกว่า 4 ทางเลือกในปัจจุบัน คือ 1. บัตรทองของสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ 2. บัตรประกันสังคมของสำนักงานประกันสังคม 3. บัตรข้าราชการ ซึ่งใช้สิทธิสวัสดิการรักษาพยาบาลดูแลโดยกรมบัญชีกลาง และ 4. บัตรเงิน หรือ ธนบัตรที่ประชาชนควักจ่ายเองโดยเฉพาะการไปรักษาในโรงพยาบาลเอกชนที่ราคาแพงมาก หรือการซื้อประกันสุขภาพของบริษัทประกันชีวิตของเอกชน
ทางเลือกที่อยากเห็นคือ co-insurance ประกันสุขภาพร่วมจ่ายล่วงหน้า หลักการคือรัฐบาลจ่ายให้ส่วนหนึ่งซึ่งก็คือบัตรทองที่รัฐบาลจ่ายให้อยู่แล้ว 48 ล้านคน รายหัวในปัจจุบันเกือบสามพันบาทแล้ว หากประชาชนสมทบร่วมจ่ายล่วงหน้าก่อนป่วย และให้สิทธิ์ประชาชนที่ร่วมจ่ายนี้ ดีมากขึ้น มีบริการสะดวกรวดเร็วขึ้น ประชาชนที่ร่วมจ่ายมีอำนาจเลือกโรงพยาบาลที่บริการดีและมีคุณภาพได้ เป็นการบังคับโรงพยาบาลของรัฐทางอ้อมให้พัฒนาคุณภาพการบริการให้ดีขึ้น ที่ใดที่ไม่ดี ประชาชนก็ไม่เลือกใช้บริการ เมื่อประชาชนร่วมจ่ายก็ทำให้รัฐมีรายได้มากขึ้นและอาจจะมีกำไรไปช่วยเหลือเจือจานประชาชนที่ยากไร้ขาดแคลนจริงๆ ให้ได้รับบริการที่ควรจะดียิ่งขึ้นกว่านี้ ช่วยให้ประชา-รัฐได้เกื้อหนุนช่วยเหลือดูแลกันและกัน ในขณะเดียวกันเมื่อประชาชนได้ร่วมจ่ายล่วงหน้าก็จะทำให้ประชาชนเกิดการดูแลสุขภาพป้องกันตนเองดียิ่งขึ้นเนื่องจากมีต้นทุน การเป็นผู้รับและผู้ให้ในเวลาเดียวกันนี้ของประชาชน โดยเฉพาะชนชั้นกลางขึ้นได้ที่มีความสามารถจ่ายได้ก่อให้เกิดการเกื้อกูลในสังคม ไม่เอาเปรียบกันและกันและเป็นสุขภาพถ้วนหน้าอย่างแท้จริง
บัตรประกันสุขภาพปวงประชาอุปการคุณ ราคา 3,650 บาท หรือตกวันละ 10 บาท เมื่อรวมกับงบประมาณบัตรทองหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าจะมีค่าเบี้ยประกันเท่ากับ 6,650 บาท ในขณะที่ประกันสุขภาพกลุ่มของบริษัทเอกชน ราคาประมาณ ปีละ 7,000 บาท ด้วยราคาเท่านี้ เกือบเท่ากับประกันสุขภาพกลุ่มที่ประชาชนต้องซื้อจากบริษัทประกันสุขภาพเอกชน กระทรวงสาธารณสุขหากจัดตั้งบรรษัทประกันสุขภาพแห่งชาติ และบริหารงานให้ดี จะช่วยให้โรงพยาบาลในกระทรวงสาธารณสุขพ้นวิกฤติทางการเงินได้ ประชาชนก็ได้รับประโยชน์เต็มเม็ดเต็มหน่วยมีทางเลือกเช่นกัน
ผู้ถือบัตรประกันสุขภาพปวงประชาอุปการคุณ มีสิทธิ์พิเศษดังนี้
1. เลือกย้ายสังกัดโรงพยาบาลได้ตามที่ตนเองต้องการและโรงพยาบาลที่ขายบัตรนี้ต้องการรับไว้ได้ ให้โยกงบบัตรทองทั้งหมดของผู้ถือบัตรประกันสุขภาพปวงประชาอุปการคุณมายังโรงพยาบาลดังกล่าว ทำให้ประชาชนได้ประโยชน์สูงสุด มีทางเลือก บังคับให้ โรงพยาบาลแข่งกันในแง่คุณภาพการให้บริการเพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดแก่ประชาชน ประชาชนจะเป็นคนเลือกเองว่าต้องการใช้บริการโรงพยาบาลใด เปลี่ยนได้ปีละหนึ่งครั้ง
2. สามารถใช้คลินิคพิเศษนอกเวลาราชการได้ 10 ครั้ง /ปี ซึ่งปกติมีค่าธรรมเนียมพิเศษครั้งละ 200 บาท หรือคิดเป็นเงิน 2000 บาท หากผู้ถือบัตรประกันสุขภาพปวงประชาอุปการคุณ มาใช้บริการ OPD ทำให้สะดวก ไม่ต้องรอนาน ไม่ต้องลางานไปใช้บริการ หรือไม่ต้องปิดกิจการไปใช้บริการ โรงพยาบาลของรัฐสามารถลดความแออัดด้วยการตั้งหน่วยบริการปฐมภูมิ (Primary Care Unit) ที่บริการดี สะดวก รวดเร็ว เพื่อดึงดูดใจประชาชนให้มาใช้บริการ
3. ในกรณีที่ผู้ถือบัตรประกันสุขภาพปวงประชาอุปการคุณ ต้องการจองห้องพิเศษ จะได้รับสิทธิในลำดับก่อนคนไข้อื่น เนื่องจากถือว่าเป็นผู้มีอุปการคุณของโรงพยาบาลหากบริจาคสมทบมากกว่าค่าเบี้ย 3,650 บาทต่อปี ก็จะได้รับสิทธิ์ในลำดับก่อนล่วงหน้า (แต่ยังต้องจ่ายเงินค่าห้องพิเศษ)
4. ให้สิทธิเพิ่มขึ้นในการตรวจร่างกายประจำปี โดยไปศึกษาต้นทุนตามความเหมาะสม หรือนำเสนอ package ที่ราคาทุน ถูกเป็นพิเศษ เพื่อส่งเสริมป้องกันโรค
ในด้านอุปสงค์หรือ Demand ผู้ถือบัตรทองมีถึง 48 ล้านคน หากซื้อบัตรประกันสุขภาพปวงประชาอุปการคุณเพียง 2 ล้านคน หรือเพียง 4% ซึ่งมีความเป็นไปได้ว่าน่าจะขายได้ (ประเด็นนี้ควรมีการวิจัยตลาดต่อไป) จะทำให้กระทรวงสาธารณสุขมีรายได้เพิ่มขึ้นถึง 7,300 ล้านบาท จะช่วยบรรเทาปัญหาโรงพยาบาลขาดทุนลงไปได้มาก และขณะเดียวกันก็ช่วยให้มีเงินกำไรเหลือหากมีการควบคุมบริหารจัดการอย่างมีประสิทธิภาพ (หากทำแล้วขาดทุน ควรไปให้บริษัทประกันเอกชนบริหารแทน เพราะราคาใกล้เคียงกันมากแล้ว)
ในด้านอุปทาน (Supply side) กระทรวงสาธารณสุขมีโรงพยาบาลในสังกัดเกือบ 1,000 โรงพยาบาล เป็น network ที่ใหญ่ที่สุดและพร้อมที่สุดที่จะดำเนินการเรื่องนี้ ควรจัดตั้งบรรษัทประกันสุขภาพแห่งชาติเพื่อมาดูแลเรื่องนี้โดยเฉพาะ และที่ผ่านมากระทรวงสาธารณสุขก็มีประสบการณ์ในการขายบัตรสุขภาพต่างๆ มามากมาย แม้กระทั่งในปัจจุบันก็ยังมีการขายบัตรสุขภาพให้กับแรงงานต่างด้าวในหลายจังหวัด แล้วทำไมจะไม่สามารถทำเพื่อคนไทย ขายให้คนไทยได้มีทางเลือกเพิ่มมากขึ้นบ้างไม่ได้
บัตรประกันสุขภาพปวงประชาอุปการคุณ จะช่วยให้ ประชาชนได้ประโยชน์ ได้บริการดีขึ้น ประชาชนกับรัฐเกื้อกูลกัน และได้นำเงินกำไรไปช่วยเหลือเจือจานคนยากจนผู้ใช้สิทธิบัตรทองอย่างเดียวที่กำลังทำให้ โรงพยาบาลขาดทุน ประชาชนได้ประโยชน์ ได้เข้าถึงบริการสุขภาพที่ดีขึ้น คุณภาพดีขึ้น ส่งเสริมให้โรงพยาบาลของรัฐแข่งขันกันเอง ประชาชนมีทางเลือก มากกว่าการไปใช้บริการโรงพยาบาลเอกชนราคาแพงเพียงอย่างเดียว
รัฐบาลจะไม่เกิดปัญหาหนี้สาธารณะท่วมท้นเนื่องจากต้องหางบประมาณมาช่วยเหลือโครงการบัตรทองที่จะพุ่งขึ้นไปเป็น 25% ของ GDP ภายใน 10 ปีนี้ เรื่องนี้หากมีการศึกษาวิจัยเพิ่มเติมก็จะดีมาก อยากฝากท่านนายกรัฐมนตรี พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ซึ่งท่านเป็นห่วงเรื่องนี้มาโดยตลอด และอยากให้กำลังใจท่าน ท่านรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ศาสตราจารย์คลินิกนายแพทย์ ปิยะสกล สกลสัตยาธร ซึ่งท่านได้ฝากฝีมือชั้นยอดในการก่อตั้งโรงพยาบาลศิริราชปิยมหาราชการุณย์ เพื่อนำรายได้มาช่วยเหลือผู้ป่วยยากไร้อนาถาในโรงพยาบาลศิริราชมาแล้วเป็นอย่างดี ท่านน่าจะนำประสบการณ์ดังกล่าวมาใช้ในการทำงานนี้ได้เป็นอย่างดีเช่นกัน