ASTV ผู้จัดการสุดสัปดาห์ -ร้อนทุกประเด็นที่คายออกมา สำหรับเนื้อหาร่างรัฐธรรมนูญของซือแป๋กฎหมาย มีชัย ฤชุพันธุ์ ประธานคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.)
ไม่ว่าจะเป็นระบบเลือกตั้งแบบจัดสรรปันส่วนผสม มาถึงสูตรนายกรัฐมนตรีคนนอก ต่อเนื่องถึงที่มา ส.ว. ที่นานวันชักเหมือนจงใจโยนออกมาล่อเป้าให้ฝ่ายการเมืองไล่งับ จากนั้นค่อยออกมาสวนหมัดแบบช็อตต่อช็อต เก็บทุกเม็ด ตะแบงทุกรายละเอียด อธิบายกันยาวเหยียดได้ทุกข้อสังเกต ราวกับมีการเตรียมการบ้านเอาไว้แต่เนิ่นๆ ว่า เนื้อหาจะต้องถูกด่าระงมเมืองเหมือนกับที่ศิษย์น้อง บวรศักดิ์ อุวรรณโณ อดีตประธานคณะกรรมาธิการ (กมธ.) ยกร่างรัฐธรรมนูญ โดนเอาล่อเอาเถิดจนเสียผู้เสียคน
เข้าอีหรอบจงใจให้ด่าแล้วค่อยออกมาสอนเชิงมวยทีหลัง โดยใช้ตัวพ่ออย่างมีชัยที่รู้เหลี่ยมคูนักการเมืองเมืองไทยมาย้อนศรกันในที ชิงกระแสประล่อนักการเมืองเห็นแก่ตัว ผนวกกับมีสำนักโพลล์ทั้งหลายเข้ามาเป็นกองหนุน สำรวจกี่เที่ยวกี่รอบเห็นดีเห็นงามตามท้องเรื่องกับทุกประเด็นที่กรธ.เขียนไปเสียหมด เหมือนกับเป็นคอหอยลูกกระเดือก ที่คนฟังชักจะออกอาการเลี่ยนๆ กันมากขึ้นทุกวัน เพราะหนักไปทาง “เชลียร์”
ตีปี๊บกันชัดๆ ทุกประเด็นที่นักการเมืองค้านปากเปียกปากแฉะล้วนเป็นเรื่องที่ตัวเองเสียประโยชน์กันทั้งสิ้น ขยายภาพความน่าเกลียดน่ากลัวของนักการเมืองเป็นธีมใหญ่ เห็นแก่ตัว ไม่เห็นหัวประชาชน กรธ.งัดเอาสันดานนักการเมืองในอดีตสู้กับเสียงนกเสียงกาที่หาเรื่องด่ารายวัน ผลัดกันคนละหมัดสองหมัด ชิงหน้าสื่อกันคนละวัน อย่างน้อยก็ยังไม่เพลี่ยงพล้ำอย่างกับสมัยศิษย์น้องที่โดนนักการเมืองล่อจนร่างรัฐธรรมนูญร่วง
เตรียมการรับมือนักเลือกตั้งอาชีพกันมาเป็นอย่างดี แต่เรือแป๊ะจะพายไปตลอดรอดฝั่งหรือไม่เป็นอีกเรื่อง เพราะต้องดูตามสถานการณ์และเงื่อนไข ณ เวลานั้นกันแบบวันต่อวัน เอากันจริงๆ ช่วงนี้ยังเป็นช่วงยกแรกๆ แค่สบช่องหาจังหวะกระแทกหมัดใส่ปากอีกฝั่งไปเรื่อยๆ ตอดเล็กตอดน้อย สะสมแต้มกันไป ให้ประชาชนตัดสินด้วยสายตาไปก่อน ยังไม่ต้องวิ่งไล่ฟัดเผด็จศึก เอาไว้ปลายยกท้ายๆ ค่อยเร่งสปีด เหวี่ยงหมัดหวังน็อกหากอีกฝ่ายเริ่มการ์ดตก แสดงอาการแผ่วออกมาให้เห็น
นั่นคือ ประมาณโค้งสุดท้ายเดือนมกราคม 2559 ที่ร่างรัฐธรรมนูญฉบับพิมพ์เขียวแป๊ะจะเป็นรูปเป็นร่างให้วิจารณ์กันรายจุด ช่วงนั้นจะเห็นชัดว่า บรรดาตัวแปรที่จะทำให้ร่างรัฐธรรมนูญผ่านหรือไม่ผ่านประชามติว่าจะเอาอย่างไร รับได้หรือไม่ได้ ที่ทำตัวเป็นหมาเห่าใบตองแห้งชั่วโมงนี้ก็ยังเป็นแค่บทท่องนะโม ยังไม่เข้าพระคาถา เป็นแค่ลูกอีช่างด่าช่างติ เห็นอะไรนิดอะไรหน่อยตกใจด่าไว้ก่อน
พรรคประชาธิปัตย์ที่ด่าโหวกเหวกโวยวาย ถึงขั้นให้ฉายาวิตถาร เอาเข้าจริงๆ อาจจะเป็นพวกปากอย่างใจอย่าง โดยเฉพาะสูตรเลือกตั้งแบบจัดสรรปันส่วนผสมที่เข้าบาทาเต็มๆ ได้ประโยชน์แบบเต็มเม็ดเต็มหน่วยอยู่พรรคเดียว พรรคเพื่อไทยซึ่งเป็นพรรคที่กวาดเก้าอี้ส.ส.เขตได้มากที่สุดในการเลือกตั้งช่วงหลังๆ ที่ผ่านมาต่างหากที่จะถึงคราซวย เพราะหากกวาดส.ส.เขตได้เรียบวุธ ปริมาณส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์จะหดสั้นเหลือไม่กี่คน
เคราะห์ซ้ำกรรมซัดอาจจะเกิดความโกลาหลขึ้นในพรรค จะเกิดสภาวะไม่มีใครอยากจะเข้ามาเสี่ยงเป็นผู้สมัครส.ส.แบบปาร์ตี้ลิสต์ เพราะจากที่เคยชัวร์กลายเป็นไม่ชัวร์ แม้กระทั่งผู้สมัครลำดับที่ 1 - 10 ก็ตาม พวกที่เคยพึ่งใบบุญพรรคเป็นส.ส. ไม่ว่าจะเป็นนายทุน พวกคอนเนกชั่นทั้งหลาย จะเฮโลขอกันไปลงเขตกันหมดเพราะมีโอกาสได้มากกว่า
ครั้นพวกเจ้าของพื้นที่เดิมที่ลงเขตมาสม่ำเสมอไม่ยอมแน่ เพราะทุ่มทุนสร้างฐานเสียงกันในพื้นที่มานาน จู่ๆ จะให้พวกที่ไม่เคยออกแรง วันๆ เอาแต่นั่งเกาะใบบุญพรรคมาชิงปาดหน้าลงเขตแทนคงไม่ได้ ดังนั้น ในเมื่อคนเยอะกว่าจำนวนเขต งานนี้ได้เห็นไก่ไหว้เจ้าตีกันหัวร้างข้างแตกเป็นแน่
แม้กรธ.จะชักแม่น้ำทั้งห้าว่า ไม่ได้ร่างรัฐธรรมนูญขึ้นมาเพื่อสร้างความได้เปรียบเสียเปรียบให้กับพรรคการเมืองใด แต่ยากที่ใครจะเชื่อน้ำคำ เพราะสำเนียงส่อภาษา กริยาส่อสกุล ไม่ว่าหัวขบวนจะชื่อบวรศักดิ์ อุวรรณโณ หรือมีชัย ฤชุพันธุ์ คิดมาแต่สูตร พรรคเพื่อไทยตายทั้งขึ้นทั้งล่องอยู่วันยังค่ำ
สูตรพิสดารนอกจากจะจำกัดปริมาณส.ส.ของพรรคเพื่อไทย ยังเป็นการซ่อนดาบให้เกิดความร้าวฉานภายในพรรคทางอ้อมอีกด้วย
เป็นใครๆ ก็ไม่ยอม ยิ่งเป็นพรรคเพื่อไทยยิ่งไม่ยอม เพราะเหมือนโดนขโมยปล้นบ้านลักทรัพย์สินไปต่อหน้าต่อตา อย่างไรเสียก็ยากจะให้ร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้บังคับใช้ เพราะแม้จะชนะเลือกตั้งได้เป็นพรรคอันดับหนึ่งแล้ว แต่ก็มีโอกาสที่จะไม่ได้เป็นรัฐบาลแล้ว ยังจะส่งผลให้สมาชิกบางคนต้องกระสานซ่านเซนไปคนละทิศละทาง หาช่องกลับมาเป็นส.ส.ภายใต้สังกัดอื่นที่มีโอกาสมากกว่า
แต่กระนั้นก็ตาม ต่อให้คสช. จะบริหารประเทศมาแล้ว 1 - 2 ปี มีโพลล์คอยเชลียร์หลอกตัวเองทุกวัน แต่ ณ เวลานี้ พรรคเพื่อไทยก็ยังคงความป๊อปปูล่า กุมเสียงส่วนใหญ่ของคนในประเทศอย่างปฏิเสธไม่ได้ เพราะฉะนั้น ในการทำประชามติที่จะถึงในต้นปีหน้า พรรคเพื่อไทยจะยังกุมชะตากรรมของร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้อยู่ ผ่านหรือไม่ผ่านอยู่ที่พรรคสีแดง
ยกเว้นกรณีพรรคเพื่อไทยบอยคอยไม่ออกมาลงประชามติซึ่งไม่มีทางเกิดขึ้นแน่นอน เพราะนั่นเท่ากับเป็นการเตะหมูเข้าปากหมาให้ร่างรัฐธรรมนูญผ่านไปอย่างชอบธรรม ตามกติกาที่คสช.สร้างไว้คือ ยึดเสียงข้างมากของคนมาใช้สิทธิ์เป็นตัวตั้ง ไม่ใช่ยึดเสียงข้างมากของผู้มีสิทธิ์ ฝ่ายหนุนคสช.ย่อมออกมาลงช่วยกันจนหอบผ่านไปได้
แต่ก็น่าแปลกที่รัฐบาลดูนิ่งๆ ไม่สะทกสะท้านว่า ร่างรัฐธรรมนูญจะผ่านหรือไม่ผ่าน ทั้งที่เขียนออกมาพิสดารพันลึก ฉีกตำราประชาธิปไตยทุกแขนงแบบขาดวิ่น นั่นก็หมายถึงว่า มีการตั้งรับสภาพที่จะออกมาเรียบร้อยแล้ว
ตามกระแสข่าวที่ออกมาจากคนกันเองในคสช. ร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้จะผ่านประชามติก็ช่าง ไม่ผ่านประชามติก็ช่าง คสช.ไม่ซีเรียส เพราะพิมพ์เขียวของคสช. แปะฝาผนังนานแล้วว่า รัฐธรรมนูญฉบับใหม่ของประเทศหน้าตาจะเป็นอย่างไร ยิ่งกรณีไม่ผ่านก็ง่ายยิ่งกว่าเก่า เอาฉบับที่ตกไปมายำใหม่ในเวลาอันน้อยนิด 1 - 2 เดือนเพื่อไม่ให้กระแสกดดันมาก แล้วลงมือเขียนกันให้สุดๆ ตามพิมพ์เขียวแป๊ะ จากนั้นรวบหัวรวบหางนำขึ้นทูลเกล้าฯถวาย
ถ้าให้ตกไปเฉยๆ คนอย่างมีชัยไม่ยอมมาเสี่ยงขี่หลังเสือร่างรัฐธรรมนูญให้เสียคนตอนแก่หรอก.