ASTV ผู้จัดการสุดสัปดาห์ -สถานการณ์ชักคุ้นๆ! เหมือนเมื่อครั้ง “ดร.ปื๊ด” บวรศักดิ์ อุวรรณโณ เป็นประธานคณะกรรมาธิการ (กมธ.) ยกร่างรัฐธรรมนูญ หลังอนุกรรมการศึกษาโครงสร้างฝ่ายบริหารที่มี อภิชาต สุขัคคานนท์ กรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) เป็นประธานเสนอต่อที่ประชุมกรธ. เกี่ยวกับผลการศึกษาประเด็นเกี่ยวกับการได้มาซึ่งนายกรัฐมนตรี ผลปรากฏว่า
“นายกฯคนนอก” กลับมาหลอนสังคมอีกกระทอก หลังชงนายกฯต้องมาจากมติของ ส.ส. โดยอาจจะเป็น ส.ส.หรือไม่ก็ได้ ส่วนวิธีการเลือกจะเป็นอย่างไรและจะใช้เกณฑ์ไหน จะเหมือนกับกมธ.ยกร่างฯหรือไม่ ยังไม่กล้าเคาะ แต่เบื้องต้นหลักการนี้โอกาสสูงลิ่ว
ทำเอาอุณหภูมิในสังคมร้อนวูบวาบขึ้นมาทันที นาทีนี้ กรธ.ของ มีชัย ฤชุพันธุ์ กลายเป็นหมู่บ้านกระสุนตก ให้นักการเมืองรุมยำสนุกเท้า เพราะประเด็นนายกฯคนนอก เคยโจษจันกันมาแล้วสมัย “ดร.ปื๊ด” นั่งบริกรรมคาถาร่างรัฐธรรมนูญ และยังเป็นหนึ่งในสาเหตุที่ทำให้ร่างรัฐธรรมนูญฉบับสีชมพูมีอันเป็นไปในชั้นสภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) เพราะเสียงคัดค้านในบ้านเมืองดังระงม กับวิธีข้ามหัวประชาชน ไม่ให้เกียรติเป็นคนเลือกผู้นำเอง
กระนั้น เมื่อแป๊ะเจ้าของเรือเลือกจะลุยไฟต่อ ดันนายกฯคนนอกเข้ามาไว้ในรัฐธรรมนูญท้าทายสหบาทาประชาชน ก็เท่ากับเป็นการประจานกันดีๆ นี่เองว่า การร่างรัฐธรรมนูญไม่ว่ารอบ “ดร.ปื๊ด” หรือ “มีชัย” ต่างมีการกำหนดพิมพ์เขียวเอาไว้เบื้องต้นแล้ว ชนิดปักธงกันตั้งแต่เข้ามายึดอำนาจจากรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ดังนั้นไม่ว่าใครจะมาเป็นประธานร่างรัฐธรรมนูญก็ไม่ต่างกัน แม้แต่ตอไม้ ขอแค่ทำหน้าที่ตามใจแป๊ะสั่งอยู่ร่ำไป
แล้วยังเป็นการแหวะไส้ในออกมาแบะให้เห็นอีกว่า ไม่ว่ากมธ.ยกร่างฯ หรือกรธ.จะพลิกแพลงร่างรัฐธรรมนูญเปลี่ยนแปลงไปแค่ไหน เล่นแร่แปรธาตุถ้อยคำเพียงใด จะสั้นจะยาว แต่สุดท้ายเป็นการแค่เกมสับขาหลอกของฝ่ายอำนาจ เพราะเนื้อในเหมือนกันทั้งดุ้น มีเป้าประสงค์และจุดหมายปลายที่ทางเหมือนกันเป๊ะ ดังนั้น ถือว่า “แป๊ะ” กล้าหาญชาญชัยมากที่ยังดันทุรังเรื่องนายกฯคนนอกต่อโดยไม่ฟังเสียงท้วงติงจากคนในสังคม
ขณะเดียวกัน ก็ทำให้หลายคนเกิดความคลางแคลงใจว่า เจตนาที่แท้จริงของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) คืออะไรกันแน่ ตกลงโปร่งใสหรือข้างในลับ ลวงพราง เพราะมันสวนทางและย้อนแย้งกันสิ้นดีกับคำว่า อยากให้ทุกเสียงของประชาชนมีความหมาย จนต้องเลือกใช้ระบบเลือกตั้งสูตรพิสดารแบบ “จัดสรรปันส่วนผสม” ที่ให้เอาทุกคะแนนของผู้แพ้ของคำนวณเป็นส.ส.บัญชีรายชื่อ ไม่ให้มีตกหล่น แม้กระทั่งเสียงโหวตโน
พฤติการณ์ส่อให้เห็น ที่สุดแล้ว “แป๊ะ” ก็มือถือสาก ปากถือศีล ไม่ได้เคารพเสียงของประชาชนจริง แต่เป็นเพียงบันไดขั้นนึงในการเดินไปสู่จุดหมายของตัวเอง โดยเฉพาะบันไดขั้นที่ 1 นั่นคือ การเลือกใช้ระบบเลือกตั้งแบบจัดสรรปันส่วนผสม ที่มีผลกระทบกับพรรคขนาดใหญ่ และไปเพิ่มอำนาจต่อรองของพรรคขนาดกลางๆ ที่เสมือนเป็นการบอนไซพรรคเพื่อไทยให้อยู่ในพื้นที่จำกัด และไม่มีอำนาจต่อรองในเวทีสภามากนักเหมือนแต่ก่อน
คล้ายกับเป็นการกำหนดเพดานจำนวนส.ส.ของพรรคเพื่อไทย ไม่ให้มีได้คะแนนแบบขาดลอย แต่จะสูสีกันมากขึ้น เพื่อเดินไปสู่ไฟต์บังคับ นั่นคือ การรวมตัวกันเป็นรัฐบาลผสม ไม่สามารถเป็นรัฐบาลพรรคเดียวได้อย่างที่พรรคไทยรักไทยเคยทำได้
ขณะเดียวกัน พรรคขนาดกลางหรือพรรคมวยรองจะมีอำนาจในการต่อรองมากขึ้น สามารถทำตัวเป็นกบเลือกนาย ดีไม่ดีต่อให้พรรคเพื่อไทยชนะการเลือกตั้งเข้าวินมาเป็นพรรคอันดับ 1 แต่โอกาสจะจัดตั้งรัฐบาลอาจไม่ได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ ยิ่งในระบบเลือกตั้งแบบดังกล่าวถูกออกแบบไม่ให้มีส.ส.เหลื่อมล้ำกันมากมาย พรรคอันดับสองอย่างพรรคประชาธิปัตย์ จะกลับมามีลุ้นเป็นรัฐบาลแบบแย่งซีน
ยิ่งหันไปดูพรรคตัวแปรอย่างพรรคขนาดกลาง ไม่ว่าจะเป็นพรรคภูมิใจไทย พรรคชาติไทยพัฒนา พรรคชาติพัฒนา พรรคพลังชล เป็นพวกพร้อมจะไหลไปตามทางลมอำนาจทั้งนั้น หากเห็นแล้วทิศทางลมพัดไปทางใด ใครจะเป็นผู้ชนะในเกมนี้
แน่นอน หากระบบจัดสรรปันส่วนผสมคือ การปูทางสร้างขั้วอำนาจใหม่ที่มีทหารเป็นแบ็กอัพ เปิดทางให้มีการล็อบบี้กันได้ มันจะเป็นการบีบให้ทุกพรรคหันไปจับมือกันจัดตั้งรัฐบาลแข่งกับพรรคเพื่อไทย เหมือนกับสมัยพรรคพลังประชาชนตอนสมชาย วงศ์สวัสดิ์ ร่วงเก้าอี้และถูกลอยแพตามเหลี่ยมที่ฝ่ายกุมอำนาจอยากให้เป็น
พรรคประชาธิปัตย์ จะกลายเป็นพรรคที่ดูมีสง่าราศีมากที่สุด ซึ่งหากเดาทางฝ่ายกุมอำนาจในปัจจุบัน หลังการเลือกตั้งจะยังไม่เสี่ยงให้มีนายกฯคนนอกแบบหักดิบ แต่จะปล่อยให้คนที่เป็นส.ส.ทำหน้าที่ไปเพื่อลดแรงกดดันจากภายในและภายนอกประเทศ ปล่อยให้บริหารประเทศไปสักพัก
ขณะที่ตัวเลือกในพรรคประชาธิปัตย์ นาทีนี้เหลือน้อยเต็มทน ชื่อชั้นแต่ละคนไม่ถึง ซึ่งดูแล้วคงไม่พ้นการปัดฝุ่นให้ “เดอะมาร์ค” อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคคัมแบ็กเก้าอี้นายกฯ อีกสักรอบ เข้าทฤษฎีตามที่ "หมอดูอีที" ประเทศพม่าทำนายทายทักว่าจะได้กลับมาเป็นนายกฯ ในปี 2559 ซึ่งอาจจะทำนายโดยลืมดูโรดแม็ปของคสช.ไปนิด ที่กำหนดให้มีการเลือกตั้งในปี 2560
แต่การที่มีแผลเหวอะหวะเต็มตัว จากการสร้างความเกลียดชังในการสลายการชุมนุมกลุ่มคนเสื้อแดงเมื่อปี 2553 อนาคต “เดอะมาร์ค” เองก็คงไม่สามารถบริหารประเทศจนครบเทอมได้ พรรคเพื่อไทยและแนวต้านคงขย่มกันเหมือนกับก่อนปี 2553 แน่ เต็มที่อาจจะอยู่ได้แค่ปีสองปี ซึ่งหากไม่ไหวที่สุดก็ต้องลุกจากเก้าอี้เพื่อให้บ้านเมืองเดินต่อไปได้
คราวนี้จะมาถึงคิว "ตาอยู่" หลังม่านออกโรงมาร่ายดาบ ในภาวะที่บ้านเมืองเกิดวิกฤตการณ์ จ้องจะรบราฆ่าฟันกัน ประตูฉุกเฉินที่เขียนไว้ในรัฐธรรมนูญให้มีนายกฯคนนอกได้จะถูกเปิดให้ต้องหนีไฟ นอมินีฝ่ายทหาร จะถูกดันขึ้นเป็นนายกฯคนกลางเพื่อสงบศึก
เข้าล็อกทันที พิมพ์เขียวที่กรธ.ร่างไว้ จะแสดงอิทธิฤทธิ์ให้เห็นว่า เป็นการมองข้ามช็อตไป 4 - 5 ปีนับตั้งแต่ร่างเสร็จ !
เป็นบันไดที่พรรคเพื่อไทยเองก็มองไว้เหมือนกันว่า ที่สุดแล้วมีความพยายามจะเดินให้ไปถึงจุดนั้น
แต่บันไดที่ว่า จะเกิดขึ้นได้จริงหรือไม่ก็น่าสนใจเหมือนกัน เพราะสิ่งที่ถูกออกแบบไว้มันสามารถเอาชนะพรรคเพื่อไทยได้ในกระดานอำนาจได้อย่างเดียว แต่ตัวแปรสำคัญคือ ประชาชน ซึ่งโดยธรรมชาติย่อมรู้สึกอึดอัดเมื่อทหารอยู่นานเกินไป เหมือนในอดีตที่เคยเกิดขึ้นมาแล้วกับการขับไล่เผด็จการทหาร
ยิ่งในยุคที่ปัญญาชนกำลังจะถูกปลุกให้เฟื่องฟูอีกครั้ง การต่อท่ออำนาจเป็นงานที่โคตรหิน ลำพังทุกวันนี้ยังต้องบล็อกกันทุกทางแค่จะเดินไปตามโรดแม็ป จึงเป็นอะไรที่ต้องชักตวงให้ดีว่า ควรปล่อยให้เป็นไปตามครรลองของมันดีกว่าหรือไม่
แค่วันนี้ก็เสียรังวัดไปเยอะ กับแค่การออกแบบก็ทำคนนินทาหมาดูถูกกันขรมว่า ร่างแบบนี้ส่อเจตนาอะไร