xs
xsm
sm
md
lg

ผู้จัดการสุดสัปดาห์

x

ช้างสารชนกัน หญ้าแพรกแหลกลาญ ปม “ราชภักดิ์” รอยร้าว 2ขั้วอำนาจกองทัพ

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


ASTV ผู้จัดการสุดสัปดาห์ -ลากไส้แก๊งหมิ่นสถาบันเครือข่าย “หมอหยอง” ยิ่งสาวยิ่งลึก-ยิ่งลึกยิ่งหนาว พบความเชื่อมโยงถึง “นายทหารระดับบิ๊กเนม” หลายคน แต่หลักฐานจะมัดตัวจนดิ้นไม่ออกหรือไม่ ต้องรอผลสอบที่จะออกมาในไม่ช้า

โดย “บิ๊กหมู” พล.อ.ธีรชัย นาควานิช ผู้บัญชาการทหารบก ได้แต่งตั้ง “บิ๊กตุ้ย” พล.อ.วีรัณ ฉันทศาสตร์โกศล ประธานคณะที่ปรึกษากองทัพบก เป็นประธานกรรมการตรวจสอบโครงการอุทยานราชภักดิ์ ขีดเส้นตรวจสอบให้เสร็จใน 7 วัน และมีการแถลงผลสรุปเบื้องต้นไปแล้วเมื่อวันที่ 20 พฤศจิกายนที่ผ่านมา

ต้องยอมรับว่าเวลา 7 วัน มันเร็วเกินไปที่จะสรุปหลักฐาน-เอกสาร มาเอาผิดผู้ที่เกี่ยวข้องได้ ที่สำคัญมีการสอบพยานหลายร้อยปากด้วยกัน เวลา 7 วัน สามารถนำมาอ้างได้ว่าเวลาไม่พอจริงๆ จึงต้องมีการขยายเวลาตรวจสอบกันออกไปอีกระยะ

แต่เหตุผลหลักที่ต้องขยายเวลาสอบออกไป คงหนีไม่พ้น “ดีลลับ” ที่อาจจะยังไม่ลงตัวเท่าไร

เพราะอย่าลืมว่าผลสอบของ “กองทัพบก” จะมีผลสำคัญทางคดีที่จะส่งต่อให้หน่วยงานตรวจสอบอื่นๆทั้ง คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) สำนักงานคณะกรรมการป้องกันการทุจริตในภาครัฐ (ปปท.) และ สำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ลงดาบฟันความผิดทางวินัยตามกฎหมายต่อไป

หากผลสอบกองทัพบกเชื่อมโยงถึง “นายทหารบิ๊กเนม” ที่สังคมเริ่มรู้ตัวกันแล้วว่าใคร มีหวังส่งผลให้ คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) สะเทือนกันทั้งขบวนได้ แถมยังเป็นเป้าล่อให้ “ขั้วตรงข้าม” ปล่อยข่าวลือโจมตีได้ไม่เว้นวันแน่

ผลสอบ “กองทัพบก” จึงต้องละเอียดทั้งเนื้อหา-หลักฐาน-พยาน

ปฐมเหตุรอยร้าว 2 ขั้วอำนาจกองทัพ

ไม่ว่าสุดท้ายหรือท้ายที่สุดผลสอบจะออกมาอย่างไร “ผิด” หรือ “ไม่ผิด”ถ้าหากจะกล่าวว่า ใครคือคนที่สังคมจับตามากที่สุด นาทีนี้คงหนีไม่พ้น “บิ๊กโด่ง” พล.อ.อุดมเดช สีตบุตร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม ในฐานะ “ประธานมูลนิธิอุทยานราชภักดิ์” ซึ่งเป็นผู้ผลักดันจนโครงการฯนี้สำเร็จในช่วงที่ตัวเองยังเป็น ผบ.ทบ.อยู่

หากจำกันได้ว่าในช่วงนั้นภาพลักษณ์ “บิ๊กโด่ง” เจิดจรัสเป็นอย่างมาก เมื่อสามารถผลักดันโครงการอุทยานราชภักดิ์ และดำเนินการก่อสร้างพระบรมราชานุสาวรีย์ 7 บูรพกษัตริย์ยิ่งใหญ่สง่างามในเวลาอันรวดเร็ว กระทั่งกลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยวยอดฮิตที่คนไทยแวะเวียนไปเช็กอินหลายหมื่นคนในช่วงไม่กี่เดือนมานี้ ถือเป็นสิ่งที่ภาคภูมิใจที่สุดในชีวิตของ “บิ๊กโด่ง” และสามารถยืดอกพูดได้เต็มปากว่า เป็นผลงานของอดีตผู้บัญชาการทหารบกท่านนี้

แต่มาในวันนี้เชื่อว่า “บิ๊กโด่ง” ไม่ค่อยอยากจะเอ่ยถึงอุทยานราชภักดิ์สักเท่าไร เหตุเพราะความไม่ชอบมาพากลที่ถูกเปิดเผยออกมาทีละนิด

สำหรับกรณีนี้ “บิ๊กโด่ง” ได้เปิดใจชี้แจงกลับไปแล้วรอบหนึ่งเมื่อช่วงสัปดาห์ก่อน ซึ่งนอกเหนือจากการแสดงความบริสุทธิ์ใจแล้ว ก็ยังยอมรับว่ามี “ความผิดปกติ” เกิดขึ้น แต่ได้ทำการแก้ไขจนเป็นที่เรียบร้อยแล้ว โดยยอมรับว่า มีบุคคลแอบอ้างและมีการเรียกเก็บเงินหัวคิวของโรงหล่อพระบรมราชานุสาวรีย์ 7 บูรพกษัตริย์ และได้ให้นำเงินเหล่านี้ไปคืนในรูปแบบการบริจาคแล้ว

ในความเป็นจริง ตามแผนการดำเนินงานที่วางไว้ เมื่อมีพิธีเปิดอุทยานราชภักดิ์อย่างเป็นทางการแล้ว ความรับผิดชอบทั้งหมดของมูลนิธิฯจะถูกส่งมอบให้ทางกองทัพบก ซึ่งเป็นช่วงเวลาเดียวกับที่ “บิ๊กโด่ง” เกษียณอายุราชการจากตำแหน่ง ผบ.ทบ. โดยมี “บิ๊กหมู” มารับหน้าที่ต่อ เมื่อเปลี่ยนตัว ผบ.ทบ.แผนที่วางไว้จึงไม่ได้ราบรื่นอย่างที่คิด

ยิ่งเมื่อมีการจับกุมดำเนินคดีบุคคลเครือข่าย “หมอหยอง” ซึ่งเชื่อมโยงพัวพันกับโครงการอุทยานราชภักดิ์ จึงทำให้การส่งมอบล่าช้าออกไปอีก เนื่องจากเกิดความมัวหมองไปถึงโครงการฯดังกล่าวด้วย

แม้ “บิ๊กโด่ง - บิ๊กหมู” จะเติบโตเคียงบ่าเคียงไหล่กันมาในฐานะเพื่อร่วมรุ่นเตรียมทหาร (ตท.) 14 แต่ก็เป็นไปในลักษณะขับเคี่ยวแข่งขันกันมากกว่า ความระหองระแหงที่เกิดขึ้นมาอย่างยาวนานมา “แตกโพละ” ในช่วงเปลี่ยนผ่านที่ “บิ๊กโด่ง” จะเกษียณอายุราชการ และต้องเป็นผู้เสนอชื่อ ผบ.ทบ.คนใหม่ ซึ่งมี “บิ๊กหมู” กับ “บิ๊กติ๊ก” พล.อ.ปรีชา จันทร์โอชา เป็นแคนดิเดต

ท่ามกลางกระแสข่าวที่ว่า “บิ๊กโด่ง” เลือกหยิบชื่อ “บิ๊กติ๊ก” น้องชาย “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เป็นผู้สืบทอดตำแหน่ง แต่สุดท้ายปลายทางเป็น “บิ๊กหมู” ที่ได้ตำแหน่งไปครอง จากแรงผลักดันของ “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ฝ่ายความมั่นคง และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ที่ตีเรื่องกลับและสั่งให้ “บิ๊กโด่ง” ใส่ชื่อ พล.อ.ธีรชัย เป็น ผบ.ทบ.

ดังนั้น จึงไม่น่าแปลกใจอะไรกับปรากฏการณ์ “ยอมหักไม่ยอมงอ” ที่เกิดขึ้นจนสะท้านสะเทือนกองทัพบกมาแล้ว เพราะเมื่อเข้ารับตำแหน่ง ผบ.ทบ.อย่างเป็นทางการ “บิ๊กหมู” ได้ลงนามในคำสั่งให้มีการปรับภูมิทัศน์ภายใน บก.ทบ. ทุบฉากหลัง ร.5 ปิดตายน้ำพุที่สร้างในสมัย “บิ๊กโด่ง” จากนั้นไม่นานก็ยกเลิกคำสั่งแต่งตั้งนายทหารที่ “บิ๊กโด่ง” เซ็นทิ้งไว้ก่อนเกษียณ จนเป็นเรื่องเป็นราว “บิ๊กป้อม” ในฐานะพี่ใหญ่ต้องโดดลงมาหย่าศึก

หากเชื่อมโยงดูความสัมพันธ์ในกองทัพบก หรือกระทั่ง คสช. แม้ภายนอกจะเห็นความเป็นเอกภาพ แต่ภายในแล้วยังร้าวลึกรอวันแตกหักมากกว่า ถึง “บิ๊กหมู” จะเชื่อฟัง “บิ๊กป้อม”

และดังนั้น จึงไม่น่าแปลกใจอะไรที่จะมีการเชื่อมโยงว่า พอเกิดเรื่อง “แก๊งหมอหยอง” และเชื่อมโยงมาถึงอุทยานราชภักดิ์ ท่าทีของกองทัพบกภายใต้การนำของ “บิ๊กหมู” จึงเปร่งปรั่งจนสังคมสามารถรับรู้ถึงความผิดปกติได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการที่กองทัพบกออกมาปฏิเสธว่า อุทยานราชภักดิ์เป็นการดำเนินงานโดยมูลนิธิ ไม่ได้เกี่ยวข้องกับกองทัพบก ทั้งๆ ที่ก่อสร้างในพื้นที่ของกองทัพบก

ศึกนี้จึงเป็นไปในลักษณะสงครามตัวแทน โดยมีฝ่ายหนึ่งเป็นตัวแทนของขั้วอำนาจใหม่ ซึ่งมี “คนที่คุณก็รู้ว่าใคร” เป็นพี่ใหญ่ ส่วนอีกฝ่ายหนึ่งเป็นตัวแทนของกลุ่มขั้วอำนาจเก่าที่เคยเจิดจรัสถึงขั้นเป็น “ว่าที่นายกฯ” คนต่อไปของประเทศไทย

จับตา “ก๊วน เสธ.โจ้” ตัวทำเสื่อม

ต้องจับตาดูว่า ผลการตรวจสอบโครงการอุทยานราชภักดิ์ของคณะกรรมการชุด พล.อ.วีรัณ จะออกมาในรูปไหน ยิ่ง“บิ๊กหมู” ประกาศรับหน้าเสื่อแถลงด้วยตัวเองก็ยิ่งน่าสนใจ เพราะตามบุคลิกเป็นคนพูดน้อย ไม่ค่อยชอบออกหน้าสื่อเท่าไรนัก แต่ก็งานนี้ก็เหมือนไฟต์บังคับ

อย่างไรก็ตามรายงานผลการสอบเมื่อวันที่ 20 พฤศจิกายน ถือเป็นชุดแรกเท่านั้น เพราะรายละเอียดยังมีอีกมาก คงต้องทยอยออกมาเป็นระยะๆ รวมทั้งยังต้องรอฟัง “สัญญาณพิเศษ” บางอย่างด้วย

เพราะรู้กันดีว่าเงื่อนไขเรื่องนี้ยังอยู่ที่สัญญาณไฟ หากเป็น “ไฟเขียว” ก็อาจมีรายการเคลียร์ใจไม่ให้พี่น้องทะเลาะกันเอง แต่หากเป็นสัญญาณ “ไฟแดง” ก็คงต้องตัวใครตัวมัน

กรณีของงบประมาณการก่อสร้างอุทยานราชภักดิ์นั้น ดูจะก้ำกึ่งที่จะพูดว่าเป็นการ ทุจริตได้เต็มปาก เพราะเป็นการใช้งบประมาณจากเงินบริจาค ไม่ได้เป็นงบประมาณของกองทัพบกหรือรัฐบาลแต่อย่างใด แต่ก็เป็นการใช้งบประมาณบางส่วนที่ไม่ตรงตามวัตถุประสงค์

บางส่วนกลายเป็น “ค่าต๋ง” ซึ่งต้องไล่เส้นทางว่าไปถึงกระเป๋าใครหรือไม่ อย่างไร

แต่กองทัพบกก็ปฏิเสธความรับผิดชอบได้ยาก เพราะโครงการนี้จัดสร้างขึ้นในพื้นที่ของกองทัพบกเอง อีกทั้งยังได้รับการสนับสนุนอย่างเต็มที่ในสมัยที่ “บิ๊กโด่ง” เป็นผู้บัญชาการสูงสุด พอเปลี่ยนมายุค “บิ๊กหมู” จู่ๆจะปัดให้พ้นตัวเสียทีเดียวก็ทำได้ยาก

นอกเหนือจากงบประมาณการก่อสร้างแล้ว ความผิดปกติที่เกิดขึ้นยังต้องจับจ้องไปที่การจัดอีเว้นต์ที่เกี่ยวข้อง ทั้งการปรับภูมิทัศน์ การจัดกิจกรรมปลูกต้นไม้ การจัดทำเหรียญและของที่ระลึก ซึ่งมีร่องรอยของความผิดปกติเช่นกัน

ทั้งนี้กลุ่มก๊วนที่โดนพาดพิงมากสุดเห็นจะหนีไม่พ้น “ก๊วนเสธ.โจ้” ที่นำโดย “บิ๊กทหารรายหนึ่ง” รวมไปถึง “เสธ.โจ้” พ.อ.คชาชาต บุญดี ผู้ต้องหาในคดีมาตรา 112 ที่หลบหนีออกนอกประเทศไปก่อนหน้านี้ และล่าสุดมีข่าวว่าสามารถจับกุมตัวได้แล้ว

หากตามจับกุม “เสธ.โจ้” ได้จริงตามข่าว เชื่อว่า “บิ๊กทหารคนที่ว่านั้น” คงต้องเสียวสันหลังวาบ เพราะเชื่อกันว่า “เสธ.โจ้” เป็นจิ๊กซอว์สำคัญที่จะเชื่อมโยงความผิดปกติในการกระบวนการจัดสร้างอุทยานราชภักดิ์ โดยเฉพาะการหายตัวไปของอย่างไร้ร่องรอย “เซียนพระ อ.” อีกหนึ่งตัวละครสำคัญ

ตีกันจนได้เรื่อง “ฝ่ายตรงข้าม” ได้ทีกระซวก

ที่สำคัญอารมณ์ตอนนี้เหมือนอ้อยเข้าปากช้าง หลัง “ขั้วตรงข้าม” ตั้งทีมงานจ้องล่อทุกเม็ด “เอกสารปลอม” ปล่อยออกมาทางโซเชียลมีเดีย กล่าวอ้างผลสอบอุทยานราชภักดิ์ เชื่อมโยงถึง “บิ๊กตู่ - บิ๊กโด่ง” รวมไปถึง “บิ๊กน้อย” พล.อ.สุรเชษฐ์ ชัยวงศ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ในฐานะประธานคณะกรรมการอำนวยการก่อสร้างอุทยานราชภักดิ์

นอกจากนี้ยังพยายามดึง “บิ๊กตู่” ลงมาอยู่ในเกม เมื่อมีการเขียนบรรยายว่า ในฐานะนายกรัฐมนตรีและหัวหน้า คสช.มีความผิด ฐานปล่อยปะละเลยทั้งที่รู้เห็นว่ามีการทุจริตเกิดขึ้น ซึ่งเกมนี้มองไม่ยากว่า ตั้งใจที่จะเซ็ตติ้งให้เหมือนกับข้อกล่าวหาที่ “คุณหนูปู” ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี โดนในข้อกล่าวหาคดีปล่อยปะละเลยการทุจริตโครงการรับจำนำข้าว ที่กำลังฟ้องร้องทั้งทางแพ่งและอาญา

แม้จะรู้ดีว่ามันคนละกรณีกัน เปรียบเทียบกันไม่ได้ เพราะการกระทำของ “ยิ่งลักษณ์” เกิดจากนโยบายรัฐบาลที่ผิดพลาด แต่กรณีอุทยานราชภักดิ์ไม่ได้เป็นนโยบายของรัฐบาล เป็นเพียงแค่โครงการของกองทัพบก แต่เมื่อเกมเข้าทางจึงไม่ปล่อยให้โอกาสที่จะสร้าง “ตราบาป” ให้ “บิ๊กตู่” หลุดลอยไปง่ายๆ ทิ้งปมให้สังคมตั้งข้อสงสัยเล่นๆ

เป็นจังหวะเดียวกับการปล่อยข่าวตามมาเป็นดอกที่สองว่า มี “บิ๊ก” บางคนถอดใจ ขอลาออกจากตำแหน่งสำคัญ เพื่อแสดงความรับผิดชอบกับเรื่องที่เกิดขึ้น ซึ่งชั่งน้ำหนักแล้วก็ คง เป็นไปได้ยาก เพราะ หาก “บิ๊กตู่” ปล่อยให้เป็นเช่นนั้นก็เท่ากับเป็นการเปิดทางให้ “ขั้วตรงข้าม” โจมตีได้

น่าสนใจว่า ความไม่เป็นเอกภาพของ “กองทัพบก” ที่มีความเคลื่อนไหวออกมาให้เห็นอยู่เป็นระยะๆจะหาทางลงอย่างไร ทั้ง “บิ๊กตู่” ในฐานะผู้นำสูงสุด และ “บิ๊กป้อม” ในฐานะพี่ใหญ่ จะตัดสินใจอย่างไรกับปมร้อนครั้งนี้ หากปล่อยให้เป็นตามกระบวนการ อาจยิ่งตอกลิ่มความขัดแย้งในกองทัพบกให้ยิ่งลุกลามไป และคงสะเทือนไปถึง คสช.อย่างหนีไม่พ้น

ซึ่งความขัดแย้งของบรรดาบิ๊กๆ “ช้างสาร” หากปล่อยให้ยืดเยื้อต่อไปนอกจากไม่เป็นผลดีแล้ว เหล่า “หญ้าแพรก” บรรดาน้องๆก็จะเดือดร้อนไปด้วย ที่ผ่านมาก็ล้มหายกันไปหลายรายแล้ว

ดังที่กล่าวกันว่า “ช้างสารชนกัน หญ้าแพรกแหลกลาญ”

ต้องติดตามว่า “บิ๊กหมู” ในฐานะผู้มีอำนาจสูงสุดในกองทัพบก จะฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ “ก๊วนเสธ.โจ้” หรือไม่

และจะเชือดล้างเผ่าพันธุ์ไปถึง “หัวขบวน” ที่ดึง “ก๊วนเสธ.โจ้” มาร่วมงานเมื่อปีที่แล้วด้วยไหม

งานนี้วัดทั้งใจ “บิ๊กหมู” ทั้งคอนเนกชัน “บิ๊กป้อม” ว่าจะประคับประคองให้น้องๆ ใน “กองทัพบก” ฝ่าวิกฤตครั้งนี้ไปอย่างไร เพราะขณะเดียวกันก็เป็นการนำ คสช.ฝ่าวิกฤตครั้งนี้ไปด้วย




กำลังโหลดความคิดเห็น