xs
xsm
sm
md
lg

อมหัวคิว “ราชภักดิ์” เรื่องใหญ่อ่อนไหว-ประวิตรต้องระวังปาก !!

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online

 พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ
เมืองไทย 360 องศา



จะเรียกว่าเป็นแรงสั่นสะเทือนแบบต่อเนื่องก็ว่าได้สำหรับกรณีการทุจริตในโครงการก่อสร้างอุทยานราชภักดิ์ ในพื้นที่ของกองทัพบก ที่อำเภอหัวหิน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ นั่นคือ ต่อเนื่องมาจากคดีความผิดมาตรา 112 ที่แอบอ้างเบื้องสูงไปหาผลประโยชน์ จนมีการออกหมายจับและจับกุมผู้ต้องหา 3 - 4 ราย ซึ่งคดีนี้อยู่ในความสนใจของสังคมเป็นอย่างสูง รวมทั้งเป็นเรื่อง “อ่อนไหว” ที่ทุกฝ่ายต้องระมัดระวัง

อย่างไรก็ดี คดีดังกล่าวทำท่าดำเนินการไปตามกระบวนการยุติธรรม เนื่องจากมีการเริ่มสรุปสำนวนเตรียมส่งฟ้องผู้ต้องหาบางส่วนกันไปแล้ว แม้ว่าจะมีคำถามตามมาบ้างในกรณีที่มีผู้ต้องหาคนสำคัญเสียชีวิตถึงสองราย ทุกอย่างกำลังดำเนินการไปตามขั้นตอน

แต่แล้วจุดที่กลายเป็น “ประเด็นใหม่” จนได้รับการจับตามองและเสียงวิพากษ์วิจารณ์เพิ่มขึ้นมา ก็คือ มีผู้ต้องหาที่ถูกออกหมายจับหนึ่งในนั้นเป็นนายทหารยศพันเอก คือ พอ.คชาชาต บุญดี อดีตฝ่ายเสนาธิการประจำกองทัพภาคที่ 3 อดีตผู้บังคับการกรมทหารปืนใหญ่ที่ 1 รักษาพระองค์ (ผบ.ป.1รอ.) ในความผิดตามมาตรา 112 ซึ่งนายทหารคนดังกล่าวนั้นได้หลบหนีออกนอกประเทศไปแล้วทางด่านแม่สอด ก่อนที่จะถูกออกหมายจับประมาณเกือบหนึ่งสัปดาห์

ที่น่าสังเกตก็คือ การหลบหนีออกไปทางประเทศเพื่อนบ้าน ของนายทหารคนดังกล่าว มีสื่อรายงานข่าว มีการโพสต์รายงานกันล่วงหน้าในโลกโซเชียลฯกันอย่างแพร่หลาย พร้อมทั้งระบุว่า มีนายทหารยศพันเอก รวมทั้งนายทหารยศพลตรี มาเกี่ยวข้องกับคดี แต่กลายเป็นว่ามีคำพูดยืนกรานจาก พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ว่า “ไม่มีทหารเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้”

แต่หลังจากนั้นก็ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น คล้อยหลังคำพูดของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ เพียงไม่กี่อึดใจก็มีหมายจับ พอ.คชาชาต บุญดี วันที่ 7 พฤศจิกายน ตามมา และเมื่อสื่อไปถามเรื่องนี้กับ พล.อ.ประวิตร อีกครั้ง ก็พูดอะไรไม่ออกได้แต่แสดงอารมณ์ฉุนเฉียวกลับมาในทำนองว่าในตอนนั้นยังไม่รู้มารูัเรื่องตอนหลัง หรือคำพูดทีเด็ดที่ว่า “จะให้ทำอย่างไรก็เขา (พอ.คชาชาต) หนีไปแล้ว”

นั่นคือท่าทีของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ที่ทำให้สังคมเสียความรู้สึก เพราะทำให้เข้าใจได้ว่า กำลังปกปิดอะไรบางอย่าง เพราะก่อนหน้านั้นเขาก็ออกมาปฏิเสธข่าวที่อ้างว่าเป็นคำพูดของ พล.ต.ท.ศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล รักษาราชการรองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ที่คุมคดี “แอบอ้างเบื้องสูง” ว่า มีนายทหารหลายสิบคนพัวพันกับเรื่องดังกล่าว จนถึงขั้น “ขู่ฟ้องสื่อ” แต่กลายเป็นว่าแม้จะไม่ใช่จำนวนนับสิบรายที่เกี่ยวข้อง แต่การที่มีหมายจับ พ.อ.คชาชาต บุญดี และมีนายทหารยศพลตรีนายหนึ่งลาออกจากราชการ โดยที่ไม่เปิดเผยชื่อมันก็ช่วยไม่ได้ที่ต้องสร้างความอึมครึมในสายตาของประชาชน

ที่สำคัญ มันกระทบกับภาพลักษณ์ขององค์กรด้วย เพราะดูเหมือนว่ามีการ “ปิดบัง” หรือปกป้องพวกเดียวกันพิกล เพราะหากพูดเหมือนกับที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่กล่าวก่อนหน้านั้น ว่า ทุกอาชีพมีทั้งคนดีและคนไม่ดี แม้กระทั่งอาชีพสื่อก็มีคนไม่ดี ดังนั้น ไม่ว่าใครทำผิดก็ต้องลงโทษตามกฎหมาย แบบนี้ถึงจะได้ใจ ไม่ใช่บอกว่า “ไม่มี ไม่ผิด” และกลายเป็นว่าเมื่อมีการออกหมายจับ มีการหลบหนีออกนอกประเทศ จนมาพูดแบบหัวเสียว่า “ผมไม่รู้” จนชาวบ้านเสียความรู้สึก

ถัดมาก็เชื่อมโยงกับกรณีเกิดการทุจริตในการก่อสร้างอุทยานราชภักดิ์ ที่ในเบื้องต้นเข้าใจได้ว่าเป็น “ความผิดส่วนบุคคล” และก็ต้องเป็นแบบนั้น แต่ขณะเดียวกัน ก็ต้องมีการสอบสวนกันอย่างโปร่งใสรอบด้าน เพราะมีการยอมรับออกมาจากปากของ พล.อ.อุดมเดช สีตบุตร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม อดีตผู้บัญชาการทหารบก ที่เป็นแม่งานในการดำเนินการว่า พ.อ.คชาชาต บุญดี เป็นคนไปเคลียร์เรื่องเงิน “ค่าหัวคิว” กับโรงหล่อพระบรมรูป และมี “เซียนพระ” คนหนึ่งเข้ามาเกี่ยวข้อง และในที่สุดก็ได้นำเงินส่วนเกินดังกล่าวมาบริจาคในโครงการก่อสร้างเรียบร้อยแล้ว ถือว่าจบไปแล้ว

อย่างไรก็ดี รับรองว่าเรื่องแบบนี้คงไม่จบง่าย ๆ เพราะมีเสียงวิจารณ์ตามมาว่า “ความผิดได้สำเร็จแล้ว” ไม่จบแค่เงินมาคืน หรือนำไปบริจาค

ขณะเดียวกัน พล.อ.ธีรชัย นาควานิช ผู้บัญชาการทหารบก ก็ได้ลงนามแต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงเกี่ยวกับเรื่องนี้แล้ว โดยมี พล.อ.วีรัณ ฉันทศาสตร์โกศล ประธานที่ปรึกษากองทัพบก เป็นประธาน และให้เวลาสรุปภายใน 7 วัน และล่าสุด ทำท่าต้องขยายเวลาออกไปอีก เนื่องจากมีรายละเอียดมาก ซึ่งถือว่าเป็นแอ็กชันที่ดีและน่าจับตาว่าผลจะออกมาอย่างไร

แต่ที่น่าเจ็บปวด ก็คือ คำพูดของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ที่ระบุว่า เรื่องดังกล่าว “ไม่ใช่เรื่องใหญ่” และย้ำว่า โครงการก่อสร้างอุทยานราชภักดิ์ ไม่ได้ใช้เงินงบประมาณ แต่ใช้เงินบริจาค ซึ่งการพูดออกมาแบบนี้ อาจเป็นเพราะไม่ได้ตั้งใจหรือไม่ เพราะในความเป็นจริงแล้ว ไม่ว่าจะเป็นเงินบริจาค หรือว่าเงินงบประมาณ ล้วนเป็นเรื่องใหญ่ทั้งสิ้น โดยเฉพาะหากเป็นเงินบริจาคอย่างที่ว่าจริงมันก็ยิ่ง “อ่อนไหว” กระทบกับความรู้สึกของชาวบ้าน เพราะต้องไม่ลืมว่าเจตนาของประชาชนที่ต้องการบริจาค ก็เพื่อมีส่วนร่ว มซึ่งชื่อก็อธิบายให้เห็นชัดแล้วว่า “ราชภักดิ์” ดังนั้น อย่าว่าแต่เงินเป็นหลักล้านเลย แค่หลักร้อยก็มีความหมาย

ดังนั้น ได้แต่หวังว่า คำพูดของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ที่กล่าวว่ากรณีทุจริตมี “ค่าหัวคิว” ในโครงการอุทยานราชภักดิ์ ที่ว่า “ไม่ใช่เรื่องใหญ่” เพราะเป็นเงินบริจาคไม่ใช่เงินงบประมาณ เป็นเพียงแค่ “หลุด” ไม่ได้ตั้งใจ ต่อไปต้องระมัดระวังคำพูด และท่าทีให้มากกว่าเดิม เพราะในทางตรงข้ามเป็นเรื่องที่กระทบความรู้สึกของชาวบ้าน เป็นเรื่องอ่อนไหวที่กระทบภาพลักษณ์ขององค์กร ทั้งทางตรงและทางอ้อม แบบที่ไม่มีใครอยากให้เป็น ไม่ว่าจะเป็นรัฐบาล คสช. รวมทั้งกองทัพบก

ขณะเดียวกัน แม้ว่าเรื่องนี้ทางฝ่ายพรรคเพื่อไทยจะพยายามเรียกร้องให้มีการสอบสวนอย่างโปร่งใส มองได้ว่า เป็นการสร้างกระแสให้ขยายวงลุกลาม เจตนาทำลายเครดิตแบบย้อนศรเอาคืน แต่ก็ขึ้นอยู่กับท่าทีของผู้นำ ผู้มีอำนาจ หากยืนยันว่าต้องมีการสอบสวนอย่างตรงไปตรงมา ใครทำผิดก็ต้องดำเนินการ โดยไม่ยกเว้น ทุกอย่างก็ไม่น่ามีปัญหาอะไร !!
กำลังโหลดความคิดเห็น