xs
xsm
sm
md
lg

หนังม้วนยาว! “ประวิตร” ไม่รู้เรื่องปมกินหัวคิว “อุทยานราชภักดิ์” - กองทัพบกยังไม่ร้องเรียน

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online

พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม (ภาพจากแฟ้ม)
รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม ไม่เรู้เรื่องเคลียร์ปมหักหัวคิวโครงการอุทยานราชภักดิ์ แต่บอกหนังมันยาว จะไปพูดตรงกลางคงไม่รู้เรื่อง โยนตำรวจสอบสวน เชื่อไม่ส่งผลภาพลักษณ์กองทัพบกและ คสช. ด้านโฆษกกองทัพบก แจงมีมูลนิธิเป็นคนทำ ยังไม่มีการแจ้งร้องทุกข์ใดๆ ส่วนเรื่อง “ผู้การโจ้” ตกเป็นผู้ต้องหาคดีหมิ่นเบื้องสูงเป็นเรื่องส่วนตัว ปมขาดราชการรอกองทัพภาคที่ 3 ชี้ขาด

วันนี้ (10 พ.ย.) ที่ทำเนียบรัฐบาล เมื่อเวลา 13.45 น. พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และ รมว. กลาโหม กล่าวภายหลังประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ถึงกรณีที่ พล.อ.อุดมเดช สีตบุตร รมช.กลาโหม และอดีตผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) ระบุมีการหักหัวคิวการดำเนินการโครงการอุทยานราชภักดิ์ และมีการเคลียร์กันแล้วว่า ตนไม่รู้ ส่วนจะทุจริตหรือไม่นั้นต้องให้ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจดำเนินการสอบสวน โดยตั้งคณะกรรมการขึ้นมาดำเนินการ คงต้องรอให้ชัดเจนก่อน ถ้ามาตอบตอนนี้จะกลายเป็นว่าเรื่องไม่เป็นเรื่อง คล้ายๆ ว่าเรื่องเป็นหนังยาว ถ้ามาพูดตอนนี้ก็เหมือนเป็นการตัดตอน ต้องดูที่ว่าเริ่มต้น และจบยังไง ไปพูดตรงกลางนิดเดียว ตอนท้ายนิดเดียวจะเกิดความไม่เข้าใจ ดังนั้นอย่าพูดเลยดีกว่า

“ผมไม่รู้ อย่าถาม เพราะไม่ได้เข้าไปมีส่วนร่วม แต่ในเรื่องการดำเนินการสอบสวนนั้นทำอย่างไงผมจะดูให้ว่าจะเข้าไปถึงตำรวจหรือเปล่า จำเป็นที่จะต้องตั้งคณะกรรมการขึ้นมาหรือไม่ หรือจะต้องให้ พล.อ.อุดมเดช และคณะกรรมการมูลนิธิอุทยานราชภักดิ์มาชี้แจง มันทำได้หลายอย่าง แต่ทั้งหมดจะต้องชัดเจน หนังมันยาว จะไปพูดตรงกลางคงไม่รู้เรื่อง” พล.อ.ประวิตรกล่าว

เมื่อถามว่า หากต้องตั้งคณะกรรมการขึ้นมาจะเป็นผู้กำหนดเองหรือไม่ รองนายกฯ และ รมว.กลาโหมกล่าวว่า ตนยังไม่รู้ ต้องดูว่ามีการดำเนินการอย่างไรมาตั้งแต่ต้น เป็นเรื่องที่กองทัพบกต้องชี้แจง และตัดสินใจ ซึ่งตอนนี้ผู้เกี่ยวข้องหลายคนติดภารกิจต่างประเทศ ต้องรอให้กลับมาก่อน

เมื่อถามว่า สุดท้ายกองทัพจะกลายเป็นเป้าโจมตีในเรื่องการปล่อยปะละเลยให้มีการทุจริตตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 หรือไม่ พล.อ.ประวิตรกล่าวว่า ไม่มี ต้องให้การสอบสวนออกมาก่อน อย่าเพิ่งไปยาว ถ้าคิดไปข้างหน้ามากๆ จะส่งผลให้คนที่ทำงานเกิดความเครียด ยืนยันว่า พล.อ.อุดมเดชต้องออกมาชี้แจง เพื่อให้เกิดความชัดเจนในทุกเรื่อง แต่ถ้าสื่อไปขยายความเพิ่มเติมกันเองก็จะไปกันใหญ่ เรื่องมันยังไม่จบ ถ้าไปบอกว่าจบแล้วจะต้องทำอย่างนี้ มันไม่ได้ เพราะเขามีกฎเกณฑ์อยู่แล้ว ไม่ต้องห่วง

เมื่อซักว่าจะไม่มีการปกป้องหากมีการสาวไปถึงนายทหารระดับสูง พล.อ.ประวิตรยืนยันว่า ไม่มีแน่นอน จะไปปกป้องใคร ไม่ต้องห่วงว่ากันไปตามกฎหมาย ทุกคนมีสิทธิ์เท่าเทียมกัน ต้องอยู่ภายใต้กฎหมาย ไม่เช่นนั้นกองทัพคงอยู่ไม่ได้ ยืนยันอีกครั้งว่าทุกอย่างต้องชัดเจนไม่คลุมเครือ ถ้ามีการทุจริตก็เป็นเรื่องผิดกฎหมาย อย่ามาถามตนแบบเจาะเฉพาะรายบุคคล เพราะตอนนี้เขายังไม่ผิด

เมื่อถามว่า ถ้าพบว่าผิดจริงจะส่งผลต่อภาพลักษณ์กองทัพ และคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ที่เน้นหนักในนโยบายปราบปรามทุจริตหรือไม่ พล.อ.ประวิตรกล่าวว่า ไม่มี จะมีได้อย่างไร แต่ถ้าเป็นเรื่องจริงกองทัพก็เสียชื่อ อย่างไรก็ตาม เชื่อมั่นว่ากองทัพไม่มีส่วน แต่คนที่เข้ามาทำงานกับกองทัพนั้น ตนไม่รู้ เพราะกองทัพไม่ได้ทำเองเพียงหน่วยงานเดียว ต้องมีหน่วยงานอื่นเข้ามาร่วมด้วย

เมื่อถามว่าจะมีการประสานประเทศเพื่อนบ้านเพื่อตามหาตัว พ.อ.คชาชาต บุญดี ในคดีมาตรา 112 หรือไม่ พล.อ.ประวิตรกล่าวว่า เป็นเรื่องของตำรวจ ไม่ใช่เรื่องของตน เพราะเขาหนีไปแล้ว ซึ่งตำรวจเขามีช่องทางในการประสานในฐานะอาชญากรข้ามชาติ แต่หากจะขอความช่วยเหลือมายังกองทัพ ก็จะดำเนินการให้ ซึ่งเรื่องนี้เป็นคดีแล้ว ถือเป็นหน้าที่โดยตรงของตำรวจ

ด้าน พ.อ.วินธัย สุวารี โฆษกกองทัพบก ชี้แจงกรณีอุทยานราชภักดิ์ว่า เป็นการดำเนินการโดยมีคณะกรรมการแต่ละส่วนมาบริหารจัดการ มีลักษณะเป็นนิติบุคคลภายใต้มูลนิธิ โดยมี พล.อ.อุดมเดช เป็นประธานคณะกรรมการอำนวยการจัดสร้างฯ และประธานมูลนิธิ ซึ่งกรณีมีข้อสงสัยหรือข้อกังวลในเรื่องเกี่ยวข้อง เชื่อว่าทางคณะกรรมการที่รับผิดชอบดำเนินงานในแต่ละส่วนจะมีข้อมูล และข้อเท็จจริงต่างๆ ที่สามารถชี้แจงกับสังคมได้ และจากที่ติดตามข่าวสารจากคณะทำงานล่าสุดก็ยังไม่มีการแจ้งขอทราบข้อมูลใดๆ หรือการร้องเรียน ร้องทุกข์ใดๆ มีเพียงข้อมูลจากที่สื่อนำเสนอโดยมีที่มาจากแหล่งข่าวที่ระบุไม่ชัดเจน

ในส่วนกองทัพบกกรณีเกิดข้อกังวลสงสัยในพฤติกรรมใดๆ ของกำลังพลในสังกัด จะด้วยพฤติกรรมจากการปฏิบัติหน้าที่ราชการ หรือการทำงานส่วนตัวในหน้าที่อื่นๆ ทั่วไป สามารถประสานหรือร้องมาอย่างเป็นทางการได้ที่กองทัพบก มั่นใจว่าถ้าพบพฤติกรรมใดเป็นเรื่องไม่ถูกต้องเหมาะสม โดยเฉพาะเรื่องที่ผิดกฎหมายหรือขัดต่อระเบียบของกองทัพ ทางผู้บังคับบัญชาจะมีการดำเนินการสืบสวนสอบสวนหาข้อเท็จจริง และดำเนินการให้ตามขั้นตอนของกฎหมายและระเบียบข้อบังคับอย่างแน่นอน

“ขอความร่วมมือสื่อมวลชนหรือบุคคลใดๆ หลีกเลี่ยงการนำข้อมูลที่ยังไม่ผ่านกระบวนการพิสูจน์ตามขั้นตอนที่สมบูรณ์ หรือมีข้อมูลไม่ครบถ้วน เพราะอาจทำให้สังคมสับสน และมีผลต่อภาพลักษณ์ของบุคคลหรือองค์กรได้” พ.อ.วินธัยกล่าว

พ.อ.วินธัยกล่าวว่า กรณีของ พ.อ.คชาชาต เป็นลักษณะพฤติกรรมส่วนบุคคลซึ่งทางต้นสังกัดกองทัพภาคที่ 3 ได้มีการตั้งคณะกรรมการสอบในข้อเท็จจริง หลังจากที่ได้มีการร้องทุกข์แจ้งข้อกล่าวหา โดยได้มีการประสานกันกับทางเจ้าหน้าที่ตำรวจแล้ว เบื้องต้นทราบว่าขาดจากราชการไปตั้งแต่วันที่ 2 พ.ย. ทางหน่วยคงอยู่ในระหว่างการติดตามตัวมาเข้าสู่กระบวนการ ถ้าไม่สามารถติดตามตัวมาได้ภายในเวลาที่กำหนด ก็อาจจะมีการจำหน่ายปลดออกจากราชการ ตามขั้นตอนระเบียบของกองทัพ ทั้งนี้ก็อยุ่ที่ดุลพินิจหน่วยด้วยว่าจะต้องรอครบ 15 วันหรือไม่ ซึ่งต้องรอกองทัพภาคที่ 3 รายงานมาด้วย


กำลังโหลดความคิดเห็น