อาจารย์ ดร. อานนท์ ศักดิ์วรวิชญ์
สาขาวิทยาการประกันภัยและการบริหารความเสี่ยง
สาขาวิเคราะห์ธุรกิจและการวิจัย (Business analytics and research)
คณะสถิติประยุกต์ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์
สาขาวิทยาการประกันภัยและการบริหารความเสี่ยง
สาขาวิเคราะห์ธุรกิจและการวิจัย (Business analytics and research)
คณะสถิติประยุกต์ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์
การที่ สสส. ได้ออกมาโต้แย้ง สตง. และ ศอตช. ว่าการที่กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของ สสส เป็นกรรมการมูลนิธิ แล้วมูลนิธิรับทุนจาก สสส. นั้น สสส. ไม่ได้ทำผิดกฎหมายเรื่องการขัดกันแห่งผลประโยชน์แต่อย่างใด ผู้เขียนขอชี้แจงว่า สสส. แปลความกฏหมายผิดอย่างร้ายแรง และการแปลความผิดนี้ทำให้เกิดความเสียหายต่อสังคมไทยอย่างมาก ทั้งนี้ พระราชบัญญัติ สสส พศ. 2544 มาตรา 18 (7) ได้กำหนดไว้ว่า
กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิต้องมีคุณสมบัติและไม่มีลักษณะต้องห้ามดังต่อไปนี้
“…(7) ไม่เป็นผู้มีส่วนได้เสียในกิจการที่กระทำกับกองทุน หรือในกิจการที่ขัดหรือแย้งกับวัตถุประสงค์ของกองทุน ทั้งนี้ไม่ว่าโดยทางตรงหรือทางอ้อม เว้นแต่เป็นผู้ดำเนินกิจการอันเป็นสาธารณประโยชน์และมิได้แสวงกำไร”
การมีข้อยกเว้น เว้นแต่เป็นผู้ดำเนินกิจการอันเป็นสาธารณประโยชน์และมิได้แสวงกำไร ในมาตรา 18(7) นี้ เป็นการกำหนดคุณสมบัติและลักษณะต้องห้ามของกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของ สสส เท่านั้น ว่ายอมให้มีกรรมการที่มีการขัดกันแห่งผลประโยชน์ได้ เมื่อตอนสรรหาเข้ามาเท่านั้น ไม่ได้อนุญาตให้มีการขัดกันแห่งผลประโยชน์ในการปฏิบัติงานหรือออกคำสั่งใดๆ แต่อย่างใด ทั้งนี้การตีความกฎหมายในลักษณะที่ สสส ตีความว่ามีข้อยกเว้นทำให้สามารถมีผลประโยชน์ทับซ้อนได้หากเป็นไปเพื่อสาธารณประโยชน์และมิได้แสวงกำไร นั้นไม่ได้เป็นไปโดยหลักสุจริต ขัดกับมโนธรรมสำนักของวิญญูชนโดยทั่วไป ว่าให้มีผลประโยชน์ทับซ้อนได้ในการปฏิบัติงาน และผู้ที่เคยเป็นกรรมการของ สสส หลายคนก็ออกมายอมรับแล้วว่าตนได้เคยมีการไขว้ตำแหน่งและได้ผลประโยชน์ทับซ้อนจริง เท่ากับเป็นการสารภาพออกมาโดยตรง
อันที่จริง สสส เป็น องค์กรอิสระของรัฐ ทั้งยังใช้เงินภาษีบาป ซึ่งเก็บมาจากประชาชน ดังนั้น สสส ยังอยู่ภายใต้พระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พศ. 2539 มาตรา 13 และ มาตรา 16 ซึ่งบัญญัติเอาไว้ว่า
มาตรา 13 เจ้าหน้าที่ ดังต่อไปนี้จะทําการพิจารณาทางปกครองไม่ได้
(1) เป็นคู่กรณีเอง
(2) เป็นคู่หมั้นหรือคู่สมรสของคู่กรณี
(3) เป็นญาติของคู่กรณี คือ เป็นบุพการีหรือผู้สืบสันดานไม่ว่าชั้นใด ๆ หรือเป็นพี่น้องหรือลูกพี่ลูกน้องนับได้เพียง ภายในสามชั้น หรือเป็นญาติเกี่ยวพันทางแต่งงานนับได้เพียงสองชั้น
(4) เป็นหรือเคยเป็นผู้แทนโดยชอบธรรมหรือผู้พิทักษ์หรือผู้แทนหรือตัวแทนของคู่กรณี
(5) เป็นเจ้าหนี้หรือลูกหนี้ หรือเป็นนายจ้างของคู่กรณี
(6) กรณีอื่นตามที่กําหนดในกฎกระทรวง
มาตรา 16 ในกรณีมีเหตุอื่นใดนอกจากที่บัญญัติไวในมาตรา 13 เกี่ยวกับเจ้าหน้าที่หรือกรรมการในคณะกรรมการที่มีอํานาจพิจารณาทางปกครอง ซึ่งมีสภาพร้ายแรงอันอาจทําให้การพิจารณาทางปกครองไม่เป็นกลาง เจ้าหน้าที่หรือกรรมการผู้นั้นจะทําการพิจารณาทางปกครองในเรื่องนั้นไม่ได้
ในกรณีตามวรรคหนึ่ง ใหดําเนินการดังนี้
(1) ถ้าผู้นั้นเห็นเองว่าตนมีกรณีดังกล่าว ให้ผู้นั้นหยุดการพิจารณาเรื่องไว้ก่อนและแจ้งให้ผู้บังคับบัญชาเหนือตนขึ้นไปชั้นหนึ่งหรือประธานกรรมการทราบ แล้วแต่กรณี
(2) ถ้ามีคู่กรณีคัดค้านว่าผู้นั้นมีเหตุดังกล่าว หากผู้นั้นเห็นว่าตนไม่มีเหตุตามที่คัดค้านนั้น ผู้นั้นจะทําการพิจารณาเรื่องต่อไปก็ได้แต่ต้องแจงให้ผู้บังคับบัญชาเหนือตนขึ้นไปชั้นหนึ่งหรือประธานกรรมการทราบ แล้วแต่กรณี
(3) ให้ผู้บังคับบัญชาของผู้นั้นหรือคณะกรรมการที่มีอํานาจพิจารณาทางปกครอง ซึ่งผู้นั้นเป็นกรรมการ อยู่มีคําสั่งหรือมีมติโดยไมชักช้า แล้วแต่กรณีว่าผู้นั้นมีอํานาจในการพิจารณาทางปกครองในเรื่องนั้นหรือไม่
ใหนําบทบัญญัติมาตรา 14 วรรคสอง และมาตรา 15 วรรคสอง วรรคสาม และวรรคสี่มาใช้บังคับโดยอนุโลม
ดังนั้นการที่ สสส มีการขัดกันแห่งผลประโยชน์ ทำให้ขาดความเป็นกลางตาม มาตรา 16 จึงเป็นการแสวงหาประโยชน์ให้กับตนเอง และผู้อื่น ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ และรัฐบาลควรฟ้องร้อง สสส ตลอดจนกรรมการต่างๆ ทั้งหมด ในศาลปกครอง ตาม พ.ร.บ. จัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ.2542 ถึงฉบับล่าสุด พ.ศ.2557
นอกจากนี้ การขัดกันแห่งผลประโยชน์ยังผิดพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2542 (แก้ไขเพิ่มเติม พ.ศ.2550 และ ฉบับที่ 2 พ.ศ.2554) แม้ว่า สสส. จะไม่ได้ถูกประกาศรวมในความครอบคลุมแห่ง พ.ร.บ.ป.ป.ช. มาตรา 100 นี้ แต่ก็ควรกระทำโดยด่วนเพื่อเป็นบรรทัดฐานที่ดีในการบังคับใช้กฎหมายอย่างเคร่งครัดเพื่อรักษาผลประโยชน์ของแผ่นดิน
มาตรา 100 ห้ามมิให้เจ้าหน้าที่ของรัฐผู้ใดดําเนินกิจการดังต่อไปนี้
(1) เป็นคู่สัญญาหรือมีส่วนได้เสียในสัญญาที่ทํากับหน่วยงานของรัฐที่เจ้าหน้าที่ของรัฐ ผู้นั้นปฏิบัติหน้าที่ในฐานะที่เป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐซึ่งมีอํานาจกํากับ ดูแล ควบคุม ตรวจสอบ หรือดําเนินคดี
(2) เป็นหุ้นส่วนหรือผู้ถือหุ้นในห้างหุ้นส่วนหรือบริษัทที่เข้าเป็นคู่สัญญากับหน่วยงานของรัฐที่เจ้าหน้าที่ของรัฐผู้นั้นปฏิบัติหน้าที่ในฐานะที่เป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐซึ่งมีอํานาจกํากับ ดูแล ควบคุม ตรวจสอบ หรือดําเนินคดี
(3) รับสัมปทานหรือคงถือไว้ซึ่งสัมปทานจากรัฐ หน่วยราชการ หน่วยงานของรัฐรัฐวิสาหกิจ หรือราชการส่วนท้องถิ่น หรือเข้าเป็นคู่สัญญากับรัฐ หน่วยราชการ หน่วยงานของรัฐ รัฐวิสาหกิจ หรือราชการส่วนท้องถิ่นอันมีลักษณะเป็นการผูกขาดตัดตอน ทั้งนี้ ไม่ว่าโดยทางตรงหรือทางอ้อม หรือเป็นหุ้นส่วนหรือผู้ถือหุ้นในห้างหุ้นส่วนหรือบริษัทที่รับสัมปทานหรือเข้าเป็นคู่สัญญาในลักษณะดังกล่าว
(4) เข้าไปมีส่วนได้เสียในฐานะเป็นกรรมการ ที่ปรึกษา ตัวแทน พนักงานหรือลูกจ้างในธุรกิจของเอกชนซึ่งอยู่ภายใต้การกํากับ ดูแล ควบคุม หรือตรวจสอบของหน่วยงานของรัฐที่เจ้าหน้าที่ของรัฐผู้นั้นสังกัดอยู่หรือปฏิบัติหน้าที่ในฐานะเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ ซึ่งโดยสภาพของผลประโยชน์ของธุรกิจของเอกชนนั้นอาจขัดหรือแย้งต่อประโยชน์ส่วนรวม หรือประโยชน์ทางราชการ หรือกระทบต่อความมีอิสระในการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ของรัฐผู้นั้น
เจ้าหน้าที่ของรัฐตําแหน่งใดที่ต้องห้ามมิให้ดําเนินกิจการตามวรรคหนึ่ง ให้เป็นไปตามที่คณะกรรมการ ป.ป.ช. กําหนดโดยประกาศในราชกิจจานุเบกษา
ให้นําบทบัญญัติในวรรคหนึ่งมาใช้บังคับกับคู่สมรสของเจ้าหน้าที่ของรัฐตามวรรคสองโดยให้ถือว่าการดําเนินกิจการของคู่สมรสดังกล่าว เป็นการดําเนินกิจการของเจ้าหน้าที่ของรัฐ
อนึ่ง สสส เอง มีจรรยาบรรณคณะกรรมการกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ ในข้อ 5 และ ข้อ 6 บัญญัติไว้ว่า
5. ประธานกรรมการ รองประธานกรรมการ และกรรมการทุกคน ยินดีจะทำหน้าที่โดยหลีกเลี่ยงมิให้เกิดความทับซ้อนหรือขัดแย้งระหว่างผลประโยชน์ที่กรรมการเกี่ยวข้องกับผลประโยชน์สาธารณะในการดำเนินงานของกองทุน (Conflict of Interest) เพื่อให้การบริหารงานของสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพเป็นไปอย่างชอบธรรมและมีประสิทธิภาพสูงสุด อย่างไรก็ตาม เนื่องจากบุคลากรที่ประกอบเป็นคณะกรรมการล้วนเป็นผู้มีศักยภาพสูงที่จะสนับสนุนงานของสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพให้บรรลุผลสำเร็จ การหลีกเลี่ยงความขัดแย้งฯ ดังกล่าว จึงอาจมิใช่การปฏิเสธที่จะเกี่ยวข้องกับกิจกรรมของสำนักงานโดยสิ้นเชิง หากแต่ควรเป็นการสนับสนุนด้วยหลักการของระบบคุณธรรม (Merit System) และโดยเปิดเผย ทั้งนี้ หากมีข้อสงสัยในทางปฏิบัติให้สำนักงานขอหารือกับคณะกรรมการฯ
6. ในกรณีที่ประธานกรรมการ รองประธานกรรมการ หรือกรรมการผู้หนึ่งผู้ใด มีความเกี่ยวพันกับหน่วยงานที่เสนอขอรับทุนสนับสนุนจากกองทุน ผู้ที่เป็นประธานกรรมการ รองประธานกรรมการ หรือกรรมการนั้น ยินดีที่จะปฏิบัติดังนี้
6.1 เปิดเผยแก่คณะกรรมการถึงความเกี่ยวพันกับหน่วยงานหรือโครงการที่เสนอขอรับทุนโดยให้ฝ่ายเลขานุการแจง้ใหค้ณะกรรมการทราบเป็นลายลักษณ์อักษรเมื่อมีการเสนอโครงการ
6.2 หลีกเลี่ยงการร่วมพิจารณาสนับสนุนทุน ยกเว้นแต่จะได้รับการร้องขอให้เป็นผู้ให้ข้อมูลในฐานะผู้เชี่ยวชาญเฉพาะโดยงดเว้นการใช้สิทธิ์ออกเสียงใดๆ
6.3 ละเว้นการปฏิบัติใดๆ ในลักษณะชักจูงหรือกดดันให้ผู้ทรงคุณวุฒิที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการพิจารณาโครงการหรือเจ้าหน้าที่ของสำนักงานมีการตัดสินใจที่อาจให้คุณหรือให้โทษต่อโครงการหรือบุคคลที่เกี่ยวข้องกับโครงการ
ทั้งนี้ต้องดำเนินการสอบสวนว่ากรรมการต่างๆ ใน สสส ได้ทำผิดกฎหมายและผิดจริยธรรมหรือไม่ การอ้างข้อยกเว้นทางกฎหมายเพื่อให้เกิดการขัดกันแห่งผลประโยชน์ของ สสส ว่าทำได้นั้น ฟังไม่ขึ้น และยังผิดกฎหมายอยู่ดีนั่นเอง จึงขอตั้งข้อสังเกตทางกฎหมายบางประการ ที่สังคมอาจจะยังไม่เข้าใจ ให้ชัดเจนมากยิ่งขึ้นและดำเนินการในการใช้บังคับใช้กฎหมายอย่างเคร่งครัดเพื่อรักษาหลักนิติรัฐและประโยชน์สูงสุดของแผ่นดิน