ASTVผู้จัดการรายวัน-จับตา 10 พ.ย. เคาะแนวทางแก้ปัญหา สสส. มีลุ้นปรับแก้ กม.ทั้ง พ.ร.บ.และระเบียบลูก ชี้การบริหารจัดการต้องปรับปรุง ส่วนนิยาม "สุขภาพ" เสนอตีกรอบส่วนที่ สสส.ทำได้ เหตุสุขภาพใหญ่มาก สสส.ไม่มีปัญญาทำได้หมด ด้าน สสส.ระบุไม่จำเป็นต้องแก้ พ.ร.บ ขณะที่ เครือข่ายสุขภาพยื่น 4 ข้อเสนอ คกก.กำหนดทิศ สสส. จี้ห้ามแก้ พ.ร.บ. ย้ำนิยามสุขภาพเป็นหลักสากลแล้ว แนะแก้แค่ระเบียบ ขอให้กรรมการ สสส.ที่มีผลประโยชน์ทับซ้อนเลือกตำแหน่งเดียว ตรวจสอบการผูกขาดรับทุน
วานนี้ (3 พ.ย.) เมื่อเวลา 13.00 น. ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในการประชุมคณะกรรมการพิจารณาทบทวนการบริหารจัดการกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ และกำหนดแนวทางแก้ไขให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ตาม พ.ร.บ.กองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ พ.ศ.2544 ซึ่งมี นพ.เสรี ตู้จินดา ประธานที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข(สธ.) เป็นประธาน โดยการประชุมในครั้งนี้มี ทพ.สุปรีดา อดุลยานนท์ รักษาการผู้จัดการกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) เข้าชี้แจงประเด็นต่างๆ ที่เกี่ยวกับการบริหารงานของ สสส.ตามผลการตรวจสอบของคณะกรรมการตรวจสอบและติดตามการใช้งบประมาณภาครัฐ (คตร.) โดยมีหน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมด้วย อาทิ สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) รวมถึงคณะกรรมการประเมินผลการดำเนินงานของ สสส. เป็นต้น
นพ.เสรี ให้สัมภาษณ์ภายหลังการประชุมนานกว่า 3 ชั่วโมง ว่า ที่ประชุมได้นำผลการตรวจสอบของ คตร. มาสอบถาม และให้ สสส.ชี้แจงทุกประเด็น ซึ่ง สสส.ก็ได้ชี้แจงทั้งหมดแล้ว แต่หากประเด็นใดที่ สสส.คิดว่าคำตอบยังไม่ชัดเจน ก็เปิดโอกาสให้ส่งเอกสารในประเด็นต่างๆ เข้ามาชี้แจงเพิ่มเติมได้ภายในวันที่ 6 พ.ย.นี้ โดยจะสรุปผลในการประชุมวันที่ 10 พ.ย. จากนั้นจะนำเสนอต่อ นพ.ปิยะสกล สกลสัตยาทร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) เพื่อตัดสินใจว่าจะดำเนินการหรือวางแนวทางแก้ปัญหาอย่างไรต่อไป
นพ.เสรี กล่าวว่า ในความเห็นส่วนตัวมองว่า การแก้กฎหมายเป็นแนวทางการแก้ปัญหาหนึ่ง ซึ่งมีทั้งการแก้ภาพใหญ่ คือ การแก้ พ.ร.บ.กองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ พ.ศ. 2544 หรืออาจเป็นการปรับแก้ภาพเล็ก คือ การแก้ระเบียบปฏิบัติตามพ.ร.บ.ฯ ซึ่งต้องยอมรับว่าตรงไหนที่เป็นจุดอ่อนก็ต้องปรับแก้ เพราะอย่างตัว พ.ร.บ.เองก็ยอมรับว่ามีจุดอ่อน คือมีการใช้มานานกว่า 15 ปีแล้ว จึงจำเป็นต้องปรับแก้ให้สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน โดยจุดอ่อนที่สุดที่อาจต้องมีกาปรับคือ เรื่องการบริหารจัดการ การดำเนินงานกองทุน เหมือนอย่างปัญหาที่เกิดขึ้นในช่วงที่ผ่านมา โดยส่วนนิยามของคำว่า “สุขภาพและสุขภาวะ” นั้นเป็นเรื่องใหญ่ หาก สสส.จะทำทั้งหมดคงเป็นไปไม่ได้ อาจจะต้องมีตีกรอบคำว่าสุขภาพและสุขภาวะที่ สสส.สามารถทำได้อยู่ในระดับใด แต่ยังไม่ลงรายละเอียดแน่ชัด อย่างไรก็ตาม แนวคิดดังกล่าวยังไม่ได้มีการเสนอในที่ประชุมหรือสรุปว่าจะใช้แนวทางไหนในการดำเนินการ ซึ่งต้องรอการประชุมครั้งหน้า
ด้าน ทพ.สุปรีดา กล่าวว่า คณะกรรมการฯได้เปิดโอกาสให้ สสส.ให้ข้อมูลในประเด็นต่างๆ ซึ่งในส่วนของ สสส. ได้มอบเอกสารที่เป็นรายละเอียดการชี้แจงให้กับคณะกรรมการฯไปแล้ว โดยมีการลงลึกรายละเอียดในประเด็นต่างๆ มากขึ้น ทั้งนี้ ในเรื่องของการปรับแก้กฎหมายหรือระเบียบกองทุนนั้น มองว่า สสส.มีเครื่องมือในการปรับปรุงแก้ไขระเบียบต่างๆ ให้เป็นไปตามแนวทางที่คณะกรรมการชุดนี้ต้องการได้ ซึ่งไม่จำเป็นต้องปรับแก้ พ.ร.บ. เพราะจะมีกลไกและขั้นตอนในการปรับแก้ค่อนข้างนาน ดังนั้น สสส.สามารถปรับแก้ไขระเบียบข้อบังคับ หรือออกเป็นกฎหมายลูกตามพ.ร.บ.ฯ ได้ โดยการปรับแก้กฎระเบียบนั้น สามารถทำได้โดยการเสนอคณะกรรมการบริหารกองทุน สสส. ในการตั้งคณะอนุกรรมการ ซึ่งจะเชิญรัฐมนตรีว่าการ สธ. เข้าร่วมพิจารณา เพื่อทำงานในเรื่องปรับกฎระเบียบได้
"สำหรับนิยามของคำว่า สุขภาพ ไม่น่ามีปัญหา เพราะเป็นนิยามที่ใช้กันตามหลักสากล และกระทรวงสาธารณสุขก็ใช้เช่นกัน แต่หัวใจสำคัญคือ การกำหนดแผนการทำงานแต่ละปีมากกว่า ว่าจะมีหลักเกณฑ์ วิธีการจัดสรรงบประมาณอย่างไรให้เป็นไปตามพ.ร.บ.ฯ ส่วนเรื่องที่สังคมตั้งคำถามกรณีผลประโยชน์ทับซ้อนนั้น ปัจจุบัน สสส.มีกรอบปฏิบัติเรื่องจรรยาบรรณของกรรมการและผู้ทรงคุณวุฒิทุกคนอยู่แล้ว แต่หลังจากนี้จะปรับปรุงให้เข้มข้นขึ้น อย่างไรก็ตาม หากมีการแก้ระเบียบให้เข้มงวดมากขึ้นก็จะแก้ปัญหาได้เช่นกัน" ทพ.สุปรีดา กล่าวและว่า ส่วนวิธีการจัดสรรงบประมาณของสสส.นั้น เป็นไปตามเกณฑ์เดียวกับองค์กรมหาชนอื่นๆ หากปรับแก้ก็ต้องปรับองค์กรอื่นหมด
วันเดียวกัน เมื่อเวลา 13.00 น. เครือข่ายสุขภาพภาคประชาชนประมาณ 30 คน นำโดย นายภาคภูมิ สุกใส ผู้ประสานงานสภาองค์การลูกจ้างพัฒนาแรงงานแห่งประเทศไทย และนายคำรณ ชูเดชา ผู้ประสานงานขบวนการสร้างเสริมสุขภาพภาคประชาชน เดินทางเข้าพบ นพ.เสรี ตู้จินดา ประธานที่ปรึกษา รมว.กระทรวงสาธารณสุข ในฐานะประธานคณะกรรมการพิจารณาทบทวนการบริหารจัดการกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ และกำหนดแนวทางแก้ไขให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ตาม พ.ร.บ.กองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ พ.ศ.2544 เพื่อนำร่างข้อเสนอภาคประชาชนเพื่อปรับปรุงแก้ไขระเบียบกองทุน สสส.ให้ที่ประชุมพิจารณา พร้อมแสดงจุดยืนคัดค้านการแก้ไข พ.ร.บ.สสส.
นายคำรณ กล่าวว่า ทางเครือข่ายมีข้อเสนอมายื่นต่อคณะกรรมการ 4 ข้อ คือ 1.คัดค้านการแก้พ.ร.บ.กองทุนใหม่ โดยเฉพาะมาตรา 3 เรื่องนิยาม ขอบเขตของคำว่าสุขภาพ ซึ่งที่ใช้อยู่ในปัจจุบันนั้นเป็นหลักการสากลแล้ว แต่ให้ไปแก้ไขระเบียบหรือออกกฎหมายลูกแทน 2.ขอให้กรรมการที่มีผลประโยชน์ทับซ้อนพิจารณาเลือกดำรงตำแหน่งใดตำแหน่งหนึ่ง ระหว่างจะเป็นกรรมการ สสส. หรือจะเป็นกรรรมการมูลนิธิ 3. ขอให้ตรวจสอบรายละเอียดโครงการที่ผู้รับทุนถูกกล่าวหาว่ารับทุนต่อเนื่องผูกขาดว่าดำเนินการได้ผลมากแค่ไหน และเปรียบเทียบวงเงินของผู้รับทุนต่อเนื่องกับผู้รับทุนหน้าใหม่ และ 4. ขอให้สสส.เป็นองค์กรอิสระ ที่บริหารงานอย่างอิสระ โดยเฉพาะการบริหารงบประมาณขอให้ดำเนินการในลักษณะเดิม เพราะหากนำเข้าระบบงบประมาณของรัฐ จะทำไม่เป็นอิสระและอาจถูกให้เข้าไปอยู่ในการดูแลกระทรวงใดกระทรวงหนึ่ง เช่น กระทรวงการคลัง อาจจะกลายเป็นการเปิดช่องให้เกิดการแทรกแซงจากฝ้ายการเมืองได้
“ในเรื่องการแก้ระเบียบของ สสส.นั้น เปรียบเทียบได้กฏหมายลูก โดยการแก้ไขจะต้องผ่านความเห็นชอบจากบอร์ด และครม. ซึ่งหากจะต้องมีการแก้ไข พ.ร.บ. เครือข่ายยืนยันว่าจะคัดค้าน เพราะการแก้กฏหมายนั้น มีขั้นตอนที่ใช้เวลานานและเสี่ยงต่อการถูกแทรกแซงจากผู้เสียผลประโยชน์ทางธุรกิจได้ เช่น การตัดนิยามข้อใดข้อหนึ่งออก ไม่ว่าจะเป็นการทำงานด้านกาย กาย ใจ ปัญญา สังคม ก็ถือว่าไม่เป็นตามวัตถุประสงค์ของ พ.ร.บ. แล้ว”นายคำรณ กล่าว
วานนี้ (3 พ.ย.) เมื่อเวลา 13.00 น. ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในการประชุมคณะกรรมการพิจารณาทบทวนการบริหารจัดการกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ และกำหนดแนวทางแก้ไขให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ตาม พ.ร.บ.กองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ พ.ศ.2544 ซึ่งมี นพ.เสรี ตู้จินดา ประธานที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข(สธ.) เป็นประธาน โดยการประชุมในครั้งนี้มี ทพ.สุปรีดา อดุลยานนท์ รักษาการผู้จัดการกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) เข้าชี้แจงประเด็นต่างๆ ที่เกี่ยวกับการบริหารงานของ สสส.ตามผลการตรวจสอบของคณะกรรมการตรวจสอบและติดตามการใช้งบประมาณภาครัฐ (คตร.) โดยมีหน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมด้วย อาทิ สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) รวมถึงคณะกรรมการประเมินผลการดำเนินงานของ สสส. เป็นต้น
นพ.เสรี ให้สัมภาษณ์ภายหลังการประชุมนานกว่า 3 ชั่วโมง ว่า ที่ประชุมได้นำผลการตรวจสอบของ คตร. มาสอบถาม และให้ สสส.ชี้แจงทุกประเด็น ซึ่ง สสส.ก็ได้ชี้แจงทั้งหมดแล้ว แต่หากประเด็นใดที่ สสส.คิดว่าคำตอบยังไม่ชัดเจน ก็เปิดโอกาสให้ส่งเอกสารในประเด็นต่างๆ เข้ามาชี้แจงเพิ่มเติมได้ภายในวันที่ 6 พ.ย.นี้ โดยจะสรุปผลในการประชุมวันที่ 10 พ.ย. จากนั้นจะนำเสนอต่อ นพ.ปิยะสกล สกลสัตยาทร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) เพื่อตัดสินใจว่าจะดำเนินการหรือวางแนวทางแก้ปัญหาอย่างไรต่อไป
นพ.เสรี กล่าวว่า ในความเห็นส่วนตัวมองว่า การแก้กฎหมายเป็นแนวทางการแก้ปัญหาหนึ่ง ซึ่งมีทั้งการแก้ภาพใหญ่ คือ การแก้ พ.ร.บ.กองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ พ.ศ. 2544 หรืออาจเป็นการปรับแก้ภาพเล็ก คือ การแก้ระเบียบปฏิบัติตามพ.ร.บ.ฯ ซึ่งต้องยอมรับว่าตรงไหนที่เป็นจุดอ่อนก็ต้องปรับแก้ เพราะอย่างตัว พ.ร.บ.เองก็ยอมรับว่ามีจุดอ่อน คือมีการใช้มานานกว่า 15 ปีแล้ว จึงจำเป็นต้องปรับแก้ให้สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน โดยจุดอ่อนที่สุดที่อาจต้องมีกาปรับคือ เรื่องการบริหารจัดการ การดำเนินงานกองทุน เหมือนอย่างปัญหาที่เกิดขึ้นในช่วงที่ผ่านมา โดยส่วนนิยามของคำว่า “สุขภาพและสุขภาวะ” นั้นเป็นเรื่องใหญ่ หาก สสส.จะทำทั้งหมดคงเป็นไปไม่ได้ อาจจะต้องมีตีกรอบคำว่าสุขภาพและสุขภาวะที่ สสส.สามารถทำได้อยู่ในระดับใด แต่ยังไม่ลงรายละเอียดแน่ชัด อย่างไรก็ตาม แนวคิดดังกล่าวยังไม่ได้มีการเสนอในที่ประชุมหรือสรุปว่าจะใช้แนวทางไหนในการดำเนินการ ซึ่งต้องรอการประชุมครั้งหน้า
ด้าน ทพ.สุปรีดา กล่าวว่า คณะกรรมการฯได้เปิดโอกาสให้ สสส.ให้ข้อมูลในประเด็นต่างๆ ซึ่งในส่วนของ สสส. ได้มอบเอกสารที่เป็นรายละเอียดการชี้แจงให้กับคณะกรรมการฯไปแล้ว โดยมีการลงลึกรายละเอียดในประเด็นต่างๆ มากขึ้น ทั้งนี้ ในเรื่องของการปรับแก้กฎหมายหรือระเบียบกองทุนนั้น มองว่า สสส.มีเครื่องมือในการปรับปรุงแก้ไขระเบียบต่างๆ ให้เป็นไปตามแนวทางที่คณะกรรมการชุดนี้ต้องการได้ ซึ่งไม่จำเป็นต้องปรับแก้ พ.ร.บ. เพราะจะมีกลไกและขั้นตอนในการปรับแก้ค่อนข้างนาน ดังนั้น สสส.สามารถปรับแก้ไขระเบียบข้อบังคับ หรือออกเป็นกฎหมายลูกตามพ.ร.บ.ฯ ได้ โดยการปรับแก้กฎระเบียบนั้น สามารถทำได้โดยการเสนอคณะกรรมการบริหารกองทุน สสส. ในการตั้งคณะอนุกรรมการ ซึ่งจะเชิญรัฐมนตรีว่าการ สธ. เข้าร่วมพิจารณา เพื่อทำงานในเรื่องปรับกฎระเบียบได้
"สำหรับนิยามของคำว่า สุขภาพ ไม่น่ามีปัญหา เพราะเป็นนิยามที่ใช้กันตามหลักสากล และกระทรวงสาธารณสุขก็ใช้เช่นกัน แต่หัวใจสำคัญคือ การกำหนดแผนการทำงานแต่ละปีมากกว่า ว่าจะมีหลักเกณฑ์ วิธีการจัดสรรงบประมาณอย่างไรให้เป็นไปตามพ.ร.บ.ฯ ส่วนเรื่องที่สังคมตั้งคำถามกรณีผลประโยชน์ทับซ้อนนั้น ปัจจุบัน สสส.มีกรอบปฏิบัติเรื่องจรรยาบรรณของกรรมการและผู้ทรงคุณวุฒิทุกคนอยู่แล้ว แต่หลังจากนี้จะปรับปรุงให้เข้มข้นขึ้น อย่างไรก็ตาม หากมีการแก้ระเบียบให้เข้มงวดมากขึ้นก็จะแก้ปัญหาได้เช่นกัน" ทพ.สุปรีดา กล่าวและว่า ส่วนวิธีการจัดสรรงบประมาณของสสส.นั้น เป็นไปตามเกณฑ์เดียวกับองค์กรมหาชนอื่นๆ หากปรับแก้ก็ต้องปรับองค์กรอื่นหมด
วันเดียวกัน เมื่อเวลา 13.00 น. เครือข่ายสุขภาพภาคประชาชนประมาณ 30 คน นำโดย นายภาคภูมิ สุกใส ผู้ประสานงานสภาองค์การลูกจ้างพัฒนาแรงงานแห่งประเทศไทย และนายคำรณ ชูเดชา ผู้ประสานงานขบวนการสร้างเสริมสุขภาพภาคประชาชน เดินทางเข้าพบ นพ.เสรี ตู้จินดา ประธานที่ปรึกษา รมว.กระทรวงสาธารณสุข ในฐานะประธานคณะกรรมการพิจารณาทบทวนการบริหารจัดการกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ และกำหนดแนวทางแก้ไขให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ตาม พ.ร.บ.กองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ พ.ศ.2544 เพื่อนำร่างข้อเสนอภาคประชาชนเพื่อปรับปรุงแก้ไขระเบียบกองทุน สสส.ให้ที่ประชุมพิจารณา พร้อมแสดงจุดยืนคัดค้านการแก้ไข พ.ร.บ.สสส.
นายคำรณ กล่าวว่า ทางเครือข่ายมีข้อเสนอมายื่นต่อคณะกรรมการ 4 ข้อ คือ 1.คัดค้านการแก้พ.ร.บ.กองทุนใหม่ โดยเฉพาะมาตรา 3 เรื่องนิยาม ขอบเขตของคำว่าสุขภาพ ซึ่งที่ใช้อยู่ในปัจจุบันนั้นเป็นหลักการสากลแล้ว แต่ให้ไปแก้ไขระเบียบหรือออกกฎหมายลูกแทน 2.ขอให้กรรมการที่มีผลประโยชน์ทับซ้อนพิจารณาเลือกดำรงตำแหน่งใดตำแหน่งหนึ่ง ระหว่างจะเป็นกรรมการ สสส. หรือจะเป็นกรรรมการมูลนิธิ 3. ขอให้ตรวจสอบรายละเอียดโครงการที่ผู้รับทุนถูกกล่าวหาว่ารับทุนต่อเนื่องผูกขาดว่าดำเนินการได้ผลมากแค่ไหน และเปรียบเทียบวงเงินของผู้รับทุนต่อเนื่องกับผู้รับทุนหน้าใหม่ และ 4. ขอให้สสส.เป็นองค์กรอิสระ ที่บริหารงานอย่างอิสระ โดยเฉพาะการบริหารงบประมาณขอให้ดำเนินการในลักษณะเดิม เพราะหากนำเข้าระบบงบประมาณของรัฐ จะทำไม่เป็นอิสระและอาจถูกให้เข้าไปอยู่ในการดูแลกระทรวงใดกระทรวงหนึ่ง เช่น กระทรวงการคลัง อาจจะกลายเป็นการเปิดช่องให้เกิดการแทรกแซงจากฝ้ายการเมืองได้
“ในเรื่องการแก้ระเบียบของ สสส.นั้น เปรียบเทียบได้กฏหมายลูก โดยการแก้ไขจะต้องผ่านความเห็นชอบจากบอร์ด และครม. ซึ่งหากจะต้องมีการแก้ไข พ.ร.บ. เครือข่ายยืนยันว่าจะคัดค้าน เพราะการแก้กฏหมายนั้น มีขั้นตอนที่ใช้เวลานานและเสี่ยงต่อการถูกแทรกแซงจากผู้เสียผลประโยชน์ทางธุรกิจได้ เช่น การตัดนิยามข้อใดข้อหนึ่งออก ไม่ว่าจะเป็นการทำงานด้านกาย กาย ใจ ปัญญา สังคม ก็ถือว่าไม่เป็นตามวัตถุประสงค์ของ พ.ร.บ. แล้ว”นายคำรณ กล่าว