ASTV ผู้จัดการสุดสัปดาห์ -ล่อกันฝุ่นตลบมาหลายสัปดาห์! ระหว่างรัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา กับองคาพยพของยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ในกรณีเรียกค่าเสียหายโครงการรับจำนำข้าว ฝ่ายหนึ่งสั่งใส่เกียร์ออโต้เดินหน้าเต็มพิกัดเพื่อลากคอบุคคลที่เกี่ยวข้องมาเซ่นความพินาศจากนโยบายโคตรประชานิยม
อีกฝ่ายสาวหมัดแลกในบทดรามา โหยหาความเป็นธรรมหลังทำหน้าที่เป็นวีรสตรีแห่งท้องทุ่ง พยุงชาวนาให้ลืมตาอ้าปากได้ แต่กลับต้องมาเสี่ยงคุกเสี่ยงตะราง พร้อมกับทรัพย์ที่กำลังจะจางหายไป เพียงเพราะยุทธศาสตร์กำจัดฝ่ายตรงข้ามของอีกฝั่ง
จับหลักของตัวเองเหนียวแน่นด้วยกันทั้งคู่ จุดชี้ขาดอยู่ที่ยุทธศาสตร์ในการชวนเชื่อ ใครตีบทแตกกว่ากัน ใครสามารถโน้มน้าวให้ประชาชนเคลิบเคลิ้มได้ว่า ฝ่ายตนขับเคลื่อนไปอย่างถูกต้องชอบธรรม ที่สำคัญ ใครจะเป็นฝ่ายเพลี่ยงพล้ำก่อนกับสงครามจิตวิทยาครั้งนี้
สำหรับยิ่งลักษณ์ และบรรดาลิ่วล้อหลังชนฝา เหลือทางเลือกเดียวคือ พิงมวลชลเอาไว้ให้แน่นเป็นผนังทองแดงกำแพงเหล็กในการจะพลิกกลับมาชนะ ต่อให้ต้องดรามาน้ำตาคลอแค่ไหนก็ต้องใส่เต็ม ตามคิวที่ “นายใหญ่” ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เลิกเป็นอีแอบอยู่หลังม่านออกมาถือธงนำยั่วประสาท “บิ๊กตู่” ด้วยตัวเอง
ขณะที่ “นายหญิง” ยิ่งลักษณ์ ก็ใช่ย่อยเดินสายเข้าวัดทำบุญถี่ยิบ โพสต์กิจวัตรประจำวันต่อเนื่อง กับข้อความสองแง่สองง่าม ชวนให้ตีความว่า กำลังส่งสัญญาณถึงใครบางคนอยู่หรือไม่ อย่างช็อตซดเกาเหลา ไม่รับประทานเส้นเที่ยวล่าสุด
กระตุกให้ “บิ๊กตู่” และคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) รู้กันไปเลย ไม่ใช่หมูในโรงเชือด แต่เดินหน้าแลกไม่กลัวปังตอ
สลับฉากกันไปกับพะยี่ห้อการตลาด ให้ลูกหาบในพรรคเพื่อไทยต่อแถวกันออกมาสับคสช. รายวัน จากกิตติรัตน์ ณ ระนอง อดีตรองนายกรัฐมนตรี และรมว.คลัง บุญทรง เตริยาภิรมย์ อดีตรมว.พาณิชย์ ยรรยง พวงราช อดีต รมช.พาณิชย์ มาถึงชวลิต วิชยสุทธิ์ รักษาการรองเลขาธิการพรรคเพื่อไทย คอนเทนต์เดิม คำพูดเดิม ที่เพิ่มเติมคือ เปลี่ยนหน้าเล่น
ยั่วกันสุดฤทธิ์ให้ฤาษีจำศีลที่ต่อมความอดทนต่ำอย่าง “บิ๊กตู่” ตบะแตก จนต้องออกมาสวนหมัดหนัก ออกคำสั่งของหัวหน้าคณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติ 39/2558 เรื่อง การคุ้มครองการบริหารจัดการข้าวคงเหลือในการดูแลรักษาของรัฐและการดำเนินการต่อผู้รับผิด ส่งสัญญาณขู่ฟ่อสวนให้เห็นกันเลยโต้งๆ ยั่วได้ยั่วไป แต่คดีจำนำข้าวไม่มีถอย เดินหน้าสุดซอย บั้นปลายอย่างไรก็เด็ดหัวแน่
แม้คสช.จะให้ “เนติบริกร” วิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี และบุคคลที่เกี่ยวข้องออกมาชี้แจงถึงสาเหตุในการออกคำสั่งหัวหน้าคสช.ดังกล่าวว่า เป็นการสร้างความมั่นใจให้กับเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องกับระบายข้าวที่ค้างอยู่ในสต๊อกไม่ให้ถูกฟ้องร้องหากปฏิบัติหน้าที่โดยสุจริต หลังมีเจ้าหน้าที่หลายคนงึกงักไม่กล้าระบายข้าว เพราะก่อนหน้านี้มีบางคนถูกฟ้องร้องจนต้องขึ้นโรงขึ้นศาล ทำให้ช่วงที่ผ่านมามีสภาวะเหมือนเกียร์ว่าง ไม่ค่อยมีคนอยากรับเผือกร้อนสักเท่าไหร่
ทว่าก็ยังไม่สามารถลบความไม่สบายใจจากสังคมได้ เพราะในคำสั่งดังกล่าว ยังมีติ่งอยู่นิด ซึ่งครอบคลุมไปถึงการคุ้มครองเจ้าหน้าที่ในกรณีดำเนินการเพื่อให้ทราบตัวผู้ต้องรับผิด และเรียกให้ผู้นั้นชดใช้ความเสียหายแก่รัฐตามกฎหมาย นั่นหมายถึง คุ้มครองเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการเรียกร้องค่าเสียหายจากยิ่งลักษณ์ ในส่วนของกระทรวงการคลัง และการเรียกร้องค่าเสียหายจากบุญทรง และเอกชน ในส่วนของกระทรวงพาณิชย์ เกี่ยวกับการทุจริตการระบายข้าวแบบรัฐต่อรัฐ (จีทูจี) ที่อยู่ระหว่างสอบข้อเท็จจริงด้วย
หากเอาให้สะใจต้องบอกว่า หมัดนี้ของ “บิ๊กตู่” ที่สวนตูมใส่คางยิ่งลักษณ์ หนักพอทำให้อีกฝ่ายเป๋ไปเป๋มาได้ แต่หากมองในระยะยาว การใช้อำนาจพิเศษครั้งนี้อาจเป็นการลดความชอบธรรมในการเรียกค่าเสียหายในโครงการรับจำนำข้าวจากยิ่งลักษณ์พอสมควร เพราะมันก็ก้ำกึ่งว่า เป็นการใช้อำนาจรัฏฐาธิปัตย์ เข้าไปแทรกแซงกระบวนการยุติธรรม กำลังใช้อำนาจในมือเล่นงานอีกฝั่ง ในลักษณะของการทำตัวเป็น “ศาลเตี้ย”
ตลกร้ายการงัด มาตรา 44 ทุบใส่ครั้งนี้ อาจจะไปเข้าทางและเพิ่มน้ำหนักข้อต่อสู้ของยิ่งลักษณ์ ที่กำลังร้องแรกแหกกระเชอกับชาวบ้านร้านตลาดว่า กำลังถูกกลั่นแกล้งจากคสช.เข้าไปอีกดอก ลำพังแค่การออกคำสั่งทางปกครองเพื่อยึดทรัพย์ ก็ทำให้รัฐบาลถูกมองว่า เป็นคู่ขัดแย้งโดยตรงอยู่แล้ว แต่พอมีการใช้อำนาจพิเศษขึ้นมา ทำให้อีกฝ่ายสามารถเอาไปโพนทะนาได้เต็มปาก ในขณะที่ชาวบ้านยิ่งเกิดความรู้สึกสงสารมากขึ้นไปใหญ่กับผู้หญิงตัวเล็กๆ
ต่อให้รัฐจะใช้มือกฎหมายออกมาอธิบายข้อกฎหมายปากเปียกปากแฉะแค่ไหนก็ตาม แต่พลันที่มีบางอย่างเข้ามาแทรกในกระบวนการยุติธรรม นั่นย่อมทำให้ความเชื่อถือของประชาชนลดลง คำตัดสินที่จะมีขึ้นในอนาคตจะไม่คลีนไม่สนิทใจที่ทุกฝ่ายจะยอมรับ
แน่นอนเมื่อมีอำนาจพิเศษเข้ามาเอี่ยว ความชอบธรรมในการเรียกร้องความเป็นธรรมของยิ่งลักษณ์ ก็จะมีมากขึ้นตามไปด้วย เหมือนกับครั้งหนึ่งที่พี่ชายในสายเลือดเดียวออกมาตั้งแง่กับคณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายต่อรัฐ (คตส.)
ลำพังการคุ้มครองเจ้าหน้าที่ในกรณีระบายข้าวอย่างเดียวคงไม่เป็นปัญหา เนื่องจากยังมองได้ว่า เป็นการรักษาผลประโยชน์ของชาติ หากแต่มันครอบคลุมถึงเจ้าหน้าที่ ที่กำลังตรวจสอบข้อเท็จจริงในกรณีเรียกค่าเสียหาย ซึ่งอาจเป็นช่องโหว่ให้เกิดการตั้งข้อสังเกตว่า คสช. กำลังใช้อำนาจ มาตรา 44 เพื่อไฟเขียวให้เจ้าหน้าที่ที่กำลังกล้าๆ กลัวๆ มีความมั่นใจในการดำเนินการกับฝ่ายการเมือง เพื่อไม่ให้ถูกเช็กบิลในภายหลัง หลังจากที่คสช.พ้นจากอำนาจไปแล้ว
ที่ผ่านมาแม้มาตรา 44 จะถูกใช้อย่างบ่อยครั้ง แต่ส่วนใหญ่ก็เป็นไปในมิติของการรักษาความสงบภายในชาติบ้านเมือง ซึ่งคนส่วนใหญ่ก็สนับสนุน เพราะใช้แบบมีพระเดชพระคุณ แต่การนำมาใช้กับกระบวนการยุติธรรม นอกเสียจากไม่ช่วยให้อะไรดีขึ้น ยังเป็นการลดความศักดิ์สิทธิ์ของกฎหมายลงไป มีแต่เรื่องพระเดชล้วนๆ
คสช.เองต้องระงับยับยั้งความโกรธเกี้ยวในจิตใจให้มากกว่านี้ ไม่หน้ามืดหุนหันพลันแล่นสวนหมัดเพียงแค่เอาซะใจ เพราะอาจจะเป็นดาบสองคมมาเฉือนเนื้อของคสช.เอง
ขณะเดียวกัน ตัวเจ้าหน้าที่เองที่ได้รับมอบหมายให้ดำเนินการวันนี้ยังจะถูกมองว่า ไม่ได้ทำด้วยความเต็มใจ หากแต่ทำตามกระบองอาญาสิทธิ์ของคสช. เมื่อวันหนึ่งฝ่ายการเมืองกลับเข้ามามีอำนาจ ในฐานะที่ต้องเอาตัวรอดในชีวิตราชการต่อไป ก็ย่อมต้องอธิบายว่า สิ่งที่ทำวันนั้นเป็นเพราะมี “ใบสั่ง” ขยับเป็นอื่นไม่ได้
ได้ไม่คุ้มเสีย