xs
xsm
sm
md
lg

ผู้จัดการสุดสัปดาห์

x

คำรำพึงของ “เสี่ยอู๊ด” แต่ “เจ้าคุณ” ยังสบายดี!?

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online


ASTV ผู้จัดการสุดสัปดาห์ -แม้ร่างของนายสิทธิกร บุญฉิม หรือ “เสี่ยอู๊ด เหนือหัว” ที่รู้จักกันดีในนามนักสร้างพระเครื่องระดับตำนานจะมอดไหม้เหลือแต่เถ้าไปแล้ว แต่เรื่องราวของเขา รวมทั้งประวัติความเป็นมาทั้งช่วงรุ่งเรืองและก่อนล่มสลายยังคงเป็นหัวข้อสนทนาอยู่ในสังคมไทยอย่างกว้างขวาง ยิ่งเป็นวงการพระเครื่องด้วยแล้ว ข่าวคราวของชายหนุ่มผู้เขย่าวงการพระเครื่องด้วยสถิติยอดขาย ยอดบริจาคนับพันล้านบาทนั้น ถือเป็นหัวข้อหลักของการสนทนา

เรียกว่า หากใครไม่คุยเรื่อง “เสี่ยอู๊ด เหนือหัว” ต้องถือว่าเชยถึงขั้นตกเทรนด์กันเลย

ว่าไปแล้ววงการพระเครื่องจัดหมวดหมู่อยู่ 2 กลุ่มหลักคือกลุ่มทำมาหากินกับพระเครื่องรุ่นเก่าซึ่งมีประวัติความเป็นมาเก่าแก่กว่า 100 ปีหรือมากกว่านั้น เช่นกลุ่มพระเบญจภาคีประกอบด้วยพระสมเด็จวัดระฆัง พระนางพญา พระผงสุพรรณ พระซุ้มกอและพระรอดลำพูน นอกจากนั้นยังมีพระเครื่องเกจิอาจารย์ต่างๆ ตามความเชื่ออีกจำนวนมาก โดยพระเครื่องรุ่นเก่าหรือรุ่นโบราณนั้นนอกจากศิลปะอันสวยงามตามยุคสมัยแล้ว ยังมีเรื่องราว ประวัติความเป็นมา ทั้งตำนานการสร้าง เหตุผลของการนำเนื้อดินชนิดต่างๆ รวมทั้งมวลสารตามความเชื่อในยุคนั้นมาผสมเข้าด้วยกัน นักเลงพระที่อยู่ในกลุ่มนี้จึงจำเป็นต้องรอบรู้ ประวัติความเป็นมาอย่างละเอียดยิบรวมทั้งลักษณะทางกายภาพ ผิวเนื้อต่างๆ

พระดีพระแท้ที่มีราคาต้องสวยและมีการรักษาสภาพเป็นอย่างดี

ภาพรวมทั้งหมดจึงอยู่ที่ความเก่า ความสวย และพุทธคุณที่มีเรื่องเล่าถึงความศักดิ์สิทธิ์ในด้านต่างๆ พระเครื่องกลุ่มนี้จึงมีราคาสูงติดเพดานหลายสิบล้านบาท ถือเป็นของสะสมของผู้มีบารมี ฐานะ ชั้นนำของสังคม

ส่วนพระเครื่องใหม่ มีจำนวนไม่น้อยที่ประสบความสำเร็จราคาทะลุหลักล้านหรือหลายๆล้านก็มี จากเดิมที่สร้างขึ้นเพื่อเป็นการระดมทุน หารายได้ใช้จ่ายสำหรับการกุศล ต่อมาเกิดเป็นธุรกิจระหว่างพ่อค้าหัวใสกับ “เจ้าคุณ” เห็นแก่เงินบางรูป เริ่มเข้ามาจัดระบบทำมาหากินตามวัดดังต่างๆ วางแผนงานกันอย่างเป็นเรื่องเป็นราว เริ่มจากเม็ดเงินที่เตรียมไว้สร้างโปรเจ็กต์ หากวงเงิน 100 ล้านบาทขึ้นไปต้องหักค่าประชาสัมพันธ์ - โฆษณาในทุกรูปแบบไม่ต่ำกว่า 7.5 เปอร์เซ็นต์ หรือ 10 เปอร์เซ็นต์เป็นอย่างน้อย แจกจ่ายไปทางสื่อหนังสือพิมพ์ หรือบรรดาคอลัมน์นักวิจารณ์พระตลอดจนป้ายคัตเอาต์ต่างๆและสื่อโทรทัศน์

ส่วนค่าใช้จ่ายอื่นๆ จะหนักในทางวิ่งเต้นขออนุญาตและเกือบร้อยทั้งร้อยสามารถผ่านไปได้ด้วยดีเพราะมี “เจ้าคุณ” คอยร่วมประสานอำนวยความสะดวกให้ เพราะขบวนการทำมาหากินจะวนเวียนไปมาหาสู่ ผลัดกันปั๊มพระขาย จากวัดนั้นมาวัดนี้ เป็นเครือข่ายใหญ่โตทุกอย่างไม่ใช่เรื่องยาก ขอให้เงินถึง งบประมาณมากๆ

การขออนุญาตใช้สถานที่บ้างขึ้นตรงกับกรมศิลปากร เช่น อุทยานประวัติศาสตร์ต่างๆ วัดโบราณต่างๆ ซึ่งหากต้องการนำมาเป็นสถานที่ใช้ทำพิธีปลุกเสกพระสามารถทำได้อย่างง่ายดาย

วัดใหญ่วัดดังบางแห่งถึงกับปิดโบสถ์ให้ประกอบพิธีปลุกเสก 3 วัน 3 คืนเพื่อความขลังและเพื่อสร้างศรัทธาเพื่อหวังยอดบูชา หรือยอดสั่งจอง

หรือแม้การนิมนต์บรรดาเกจิชั้นผู้ใหญ่ให้เข้าร่วมพิธีฯ กลุ่มผู้สร้างจะมีวิธีนิมนต์ในหลายรูปแบบ เริ่มจากการถวายปัจจัยจากหลักหมื่นถึงหลักแสน หรือเป็นการให้ “เจ้าคุณ” ที่มีความสนิทสนม หรือเกรงใจกันประสานงานลงไป บางรายมีการจัดเตรียมโครงการสร้างพระให้เลยเพื่อเป็นการตอบแทนกัน

เมื่อสินค้าใหม่เปรียบเสมือนว่าวที่ยังไม่ติดลมบน วิชาการตลาดทั้งหลายจึงหยิบมาใช้ทั้งหมดไม่ว่าจะเป็นรูปแบบ ชื่อรุ่นซึ่งต้องสอดคล้องกิเลสตัณหาของมนุษย์เป็นส่วนใหญ่เช่น “หลวงปู่รุ่นปลดหนี้ -หลวงพ่อรุ่นรวยเร็วทันใจ -รุ่นโคตรเศรษฐี” เป็นต้น

ลูกเล่นขบวนการค้าขายในเชิงพุทธพาณิชย์ยังลามปามปั๊มจตุคามรามเทพ -พระราหู จากความเชื่อวงเล็ก ขยายมาในวงกว้างด้วยแรงโปรโมตจากข่าวหน้า 1 และพฤติการณ์ของบุคคลสำคัญที่เอากับเขาด้วยเช่นกรณีคุณหญิงคนดังอดีตภริยานายกรัฐมนตรี ไปบวงสรวงของดำ 9 อย่างให้กับราหูอมจันทร์ที่วัดแห่งหนึ่งใน จ.นครปฐม รวมทั้งน้องชายอดีตนายกรัฐมนตรีอีกคน ก็มีความเชื่อเป็นข่าวร่ำๆจะไปทำพิธีช่วยแก้กรรมให้พี่ชายแต่โดนเบรกเสียก่อน

จตุคามรามเทพ และพระราหูรวมถึงอื่นๆ ที่เริ่มเบนมาทางไสยศาสตร์กลายเป็นค่านิยมเช่นกัน เมื่อผูกเรื่องราวอภินิหาร บวกกับเรื่องราวต่างๆ เช่นมวลสารศักดิ์สิทธิ์สุดที่จะขุดกันมาผลก็คือเกิดความคลั่งไคล้จากคนไทยกลุ่มหนึ่งสร้างความร่ำรวยแก่ขบวนการขาย พระกินอย่างถ้วนหน้า

ปรากฏการณ์นี้ให้ดูจากความนิยมในจตุคามรามเทพเมื่อปี 2550 สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.)มีการประเมินว่าเงินหมุนเวียนของขบวนการค้าขายจตุคามฯนั้นมีมากถึง 2.2 หมื่นล้านบาท ผลักดัน จีดีพี ของประเทศโตขึ้น 0.1 -0.2 เปอร์เซ็นต์ ปลุกให้สภาพเศรษฐกิจที่กำลังซบเซาพอมีชีวิตชีวาขึ้นบ้าง ถึงขนาดกรมสรรพากรเตรียมศึกษาเพื่อเข้ามาจัดเก็บภาษี

กลับมาที่ “เสี่ยอู๊ด เหนือหัว” กันต่อ....เขาคือตัวจริงเสียงจริงของนักผลิตพระเครื่อง ว่ากันว่าจุดที่สร้างความสำเร็จพลิกผันรวยข้ามวันก็คือการได้ความไว้วางใจให้สร้าง พระกริ่งวัดสุทัศนฯ ออกมาจำหน่ายหลายต่อหลายรุ่น ปัจจัยส่วนหนึ่งเข้าวัด แต่อาจมีบางส่วนตกหล่นในย่ามหรือกระเป๋าของ “เสี่ยอู๊ด เหนือหัว” คงไม่มีใบเสร็จหรือหลักฐานใดมาเอาผิด แต่ขอให้ดูพฤติกรรม ฐานะความเป็นอยู่อย่างสุดหรูหรา มีห้องพักเป็นคอนโดมิเนียมชื่อดัง ราคาหลายสิบล้านใจกลางกรุงเทพ หรือสัมพันธภาพกับพระเอกดังซึ่งเบื้องหลังล้วนใช้เงินหลักล้านจนถึง 10 ล้าน

หากไม่มีเม็ดเงินจากธุรกิจพระเครื่องตกหล่นเข้ากระเป๋า หรือเข้าย่ามเจ้าคุณสิทธิกร บุญฉิม จะรวยเร็วและยืนหยัดเป็นเบอร์ 1 ของวงการพระเครื่องสร้างใหม่ได้อย่างไร

กระทั่งปี 2550 เมื่อเขาหลงผิดคิดการใหญ่ทำ “สมเด็จรุ่นเหนือหัว” ออกจำหน่าย

ถอดรหัส 11 คำรำพึงของเสี่ยอู๊ด

หากย้อนความผิดพลาดของ “เสี่ยอู๊ด เหนือหัว” คงต้องดู 11 เรื่องจริงอุทาหรณ์สอนใจที่เขาบันทึกไว้ก่อนลาโลก เฉพาะข้อ 1 และข้อ 6 สะท้อนข้อเท็จจริงให้ผู้เกี่ยวข้องหาทางป้องกันมิให้เกิดกรณีเช่นนี้ซ้ำสองซ้ำสาม

1.สถาบันการศึกษาพระแห่งหนึ่ง

ผมเคยมอบเงิน 186 ล้านบาทสร้างศูนย์กลางมหาวิทยาลัย....แห่งหนึ่งตามที่ขอ สมัยนั้นเขายกย่องผมเป็นประธาน แต่เมื่อพระ...ทำไม่ถูกต้องเป็นเหตุทำให้ผมเกือบติดคุกสมัยนั้นรวมทั้งทำให้ผมตกเป็นข่าวเสื่อมเสียเขาจึงถูกผมตำหนิ นับแต่นั้นพวกเขาก็ไม่เกี่ยวข้องกับผม ต่อมาผมตำหนิที่เขาปกปิด บิดเบือนความจริงเกี่ยวกับการอุปถัมภ์ของผม 8 ปีนับจากเกิดคดีสมเด็จเหนือหัวเขาจึงไม่ไปเยี่ยมในคุก ถึงวันที่ผมพ้นโทษผมได้ไปยังสถานที่แห่งนี้เป็นครั้งแรก เขาทั้งหลายรังเกียจสถานภาพนักโทษของผมจึงไม่ต้อนรับ และไม่รับผิดชอบต่อสัญญาที่เคยทำไว้กับผมเหตุเพราะเขาเห็นผมเป็นคนชั่วไปแล้ว

6.วัดที่สร้างพระกริ่งชื่อดัง

ผมเคยหาเงินให้สมเด็จฯ... และวัด... มากมายหลายสิบหลายร้อยล้าน สมัยนั้นเวลาผมมาพบสมเด็จฯ ที่วัดท่านจะเดินไปส่งผมถึงประตูคณะ แต่ยามผมติดคุกเสื่อมเสียชื่อเสียงเพราะปกป้องเรื่องการสร้างพระสมเด็จเหนือหัว ไม่ให้ความผิดถึงตัวสมเด็จฯนับจากวันนั้นชาววัด... ก็รังเกียจผม ด่าผมแม้กระทั่งพระที่ผมเคยอุปการะบวชจนได้เป็นเจ้าคุณ และเคยให้ทุนเล่าเรียนสมัยบวชใหม่ๆท่านก็ยังด่าผม ส่วนที่ผมแพ้คดีล่มสลายมาจนถึงบัดนี้ตามคำพิพากษาระบุว่าเป็นเพราะคำให้การของสมเด็จฯ....ที่ผมปกป้อง ณ วันนี้พระในวัด....ล้วนรังเกียจผม ว่าผมเป็นคนชั่วทั้งๆที่พระทั้งหลายยังเดินอยู่บนถนนที่ผมบูรณะให้ และยังนั่งอยู่บนเก้าอี้มุกที่ผมทำถวายไว้นับร้อยๆตัว สรุปพระทั้งวัดเห็นผมเป็นคนไม่ดีไปแล้ว

....คำตัดพ้ออย่างน้อยอกน้อยใจนั้นสิ่งหนึ่งที่มองเห็นคือความสนิทคุ้นเคยกับบรรดาเจ้าคุณทั้งหลาย หากเสี่ยอู๊ด ไม่ได้รับการสนับสนุนอย่างดีจากพระผู้ใหญ่บางรูปเขาจะประสบความสำเร็จหยิบอะไรก็เป็นเงินเป็นทองนับร้อยนับพันล้านอย่างนั้นหรือ !?

หลวงปู่พุทธะอิสระ เจ้าอาวาสวัดอ้อน้อย จ.นครปฐม ได้โพสต์ข้อความลงบนเฟซบุ๊กส่วนตัว กล่าวถึงเสี่ยอู๊ดโดยมีข้อความตอนหนึ่งว่า “ใครจะมองว่าเสี่ยอู๊ดเลวร้ายยังไง แต่สำหรับฉัน กลับมองว่าเสี่ยอู๊ดเป็นคนกตัญญู ยอมติดคุกแทนอาจารย์ อีกทั้งยังเป็นคนที่มีจิตสาธารณะ ช่วยเหลือสังคมตลอด ส่วนเรื่องการกระทำที่ไม่บังควรต่อสถาบัน เด็กไม่จบ ป.๔ อย่างเสี่ยอู๊ด หากไม่มีผู้ชักนำอยู่เบื้องหลัง คงจะทำไม่ได้ขนาดนี้”

ส่วนคำรำพึงอื่นๆ นอกเหนือจากข้อ 1 และข้อ 6 ก็ล้วนแล้วแต่มีความน่าสนใจไม่แพ้กัน

2.สภา ส.... ตนเคยมอบเงินกว่า 100 ล้านบาท ให้สภา ส.... และพุทธ... ตามที่เขาขอ สมัยนั้นเขาให้เกียรติตนกว่าใครๆ แต่พอ ประมุขของ 2 องค์กรถูกตนสอบถามเรื่องการใช้เงินบริจาค และการไม่นำเงินของตนออกมาช่วยประชาชนคราวน้ำท่วมใหญ่ปี 2554 นับแต่บัดนั้นเขาก็เสนอเรื่องให้ประมุขท่านปัจจุบัน ฟ้องร้องแก้เกี้ยวเรียกจะเอาเงินเพิ่มอีก 100 ล้าน ที่เคยขอความอนุเคราะห์จากตน 194 ล้าน แต่ได้ไปแค่ 94 ล้าน เขาอ้างว่าตนยังต้องให้เขาอีก 100 ล้าน เขาจะฟ้องตนทั้งๆ ที่เป็นการขอจากตนแท้ๆ ที่เขาจะฟ้องเพราะเห็นตนเป็นคนไม่ดีไปแล้ว ทั้งๆ ที่เงิน 100 ล้าน จากปัญญาของตน เขายังใช้ไม่หมด เงินยังคงเหลืออยู่ แต่เจ้าของเงินกลายเป็นคนชั่วไปแล้ว

3.มูลนิธิ & โรงพยาบาลมะเร็งแห่งหนึ่งในภาคกลาง ตนเคยอุปถัมภ์เงิน 132 ล้านบาท ให้โรงพยาบาลมะเร็ง... พออดีตผู้อำนวยการเป็นต้นเหตุทำให้ตนถูกกลั่นแกล้งจนเป็นคดีความติดคุกเสื่อมเสียสถานภาพ นับแต่บัดนั้นพวกเขาก็ไม่เห็นความสำคัญเหมือนครั้งแรกๆ ที่ขอเงินจากผม และเมื่อตนออกจากคุกได้พูดเรื่องเงินของตนที่สูญหายไป พูดเรื่องที่พวกเขาทำป้ายประวัติการอุปถัมภ์ของตนเป็นเท็จ พร้อมพูดเรื่องต่างๆ ที่ทีมมูลนิธิศูนย์มะเร็ง โดยนางว., นพ.ช. เคยทำไม่ดีกับตน ณ วันนี้ ประธานมูลนิธิฯ, อดีตผอ., เลขา ซึ่งเคยมีอำนาจในโรงพยาบาล จากที่เคยเอาอกเอาใจต้อนหน้าต้อนหลังตน ครั้งอยากได้เงิน แต่เมื่อได้เงินไปเกินขอแล้ว ตอนนี้ทั้งทีมก็เปลี่ยนไปทันที ไม่เหมือนสมัยก่อนที่เริ่มขอเงินตน ปัจจุบัน หายหน้าไปไม่เห็นแม้เงา คงเหลือแต่ ผู้อำนวยการท่านปัจจุบัน พร้อมทีมคณะผู้บริหาร และคณะแพทย์-พยาบาล จนท.ท่านอื่นๆ ยังเหมือนเดิม!!! ส่วนทีมผู้มีอำนาจเดิมที่หายหน้าไป เพราะวันนี้เห็นตนเป็นคนไม่ดีไปแล้ว

4.มูลนิธิ อ. ตนเคยมอบเงินทำให้มูลนิธิ อ. มีทุนครบ 100 ล้านบาท สมัยนั้นมูลนิธิทำโล่มามอบให้ แต่ตนไม่ไปรับ ต่อมามูลนิธิให้ตนสร้างพระสมเด็จเหนือหัวแทน พอผมเกิดคดีความถูกจับ ทันใดนั้นประธานมูลนิธิก็พูดกับ DSI ว่า "นายสิทธิกร บุญฉิม ทำให้มูลนิธิเสื่อมเสียชื่อเสียง" และเหล่าคณะกรรมการมูลนิธิก็ไปปฏิเสธที่ศาลอาญา ว่ามิได้ให้ตนจัดสร้างพระสมเด็จเหนือหัว นับตั้งแต่บัดนั้นชาวมูลนิธิ อ. ก็รังเกียจตนเป็นต้นมาในฐานะคนชั่วที่ทำงานให้พวกเขาเเล้วเสียชื่อเสียง เขาว่าตนชั่วทั้งๆ ที่เงินสมทบทุน 100 ล้านจากตน พวกเขายังใช้ดอกผลอยู่

5.บ้านเกิด อำเภอบ้านฉาง ตนเคยสร้างสาธารณประโยชน์ ให้วัดและโรงเรียนในบ้านเกิด อำเภอบ้านฉาง มากมายหลายสิบล้าน สร้างให้ชนิดที่ไม่มีใครในอำเภอกล้าทำ สมัยนั้นทางวัดยกย่องสรรเสริญตนเหมือนเทวดา แต่คราวติดคุกเสื่อมเสียชื่อเสียง เจ้าอาวาสวัด ส. ก็รังเกียจตนตามกระแสสังคม จึงไม่ยอมไปเบิกความจริงช่วยตนที่ศาลอาญา ตนจึงตำหนิออกจากคุกกรณีที่ท่านไร้น้ำใจ นับแต่นั้นเจ้าอาวาสและเหล่าพระเณรบางรูป และบุคคลบางกลุ่ม ก็ไม่ดีต่อตนทันที โดยเจ้าอาวาสจะไม่ยอมให้อาคารเรียนติดชื่อตน ตามที่ท่านเคยตั้งนามของตนคราวรับเงินไปสร้าง และท่านก็ทวงเงินเพียง 2 หมื่นที่ให้น้องสาวตนคราวคลอดลูก เจ้าอาวาสปล่อยให้พระบางรูปในวัดด่าว่าตนและพี่น้องของตน โดยท่านลืมการกระทำของตัวเองสมัยก่อน ที่เอาอกเอาใจตนทุกอย่าง ขนาดตนจะกลับท่านจะส่งตนขึ้นรถ ปิดประตูให้ ปัจจุบันการกระทำของท่านเปลี่ยนไป ทั้งๆ ที่ถาวรวัตถุที่ตนสร้างให้วัด โรงเรียน ยังคงได้ใช้ ได้อาศัยอยู่ แต่ความดีที่ท่านเคยดีกับตนไม่เหมือนเดิมแล้ว เพราะเขาเห็นตนเป็นคนไม่ดี ไม่มีผลประโยชน์ให้ได้ดังเดิม

7.นักร้องค่ายลาดพร้าว ตนเคยช่วย เคยให้ แก่ครอบครัว ในยามล้มละลายเกือบ 10 ล้านบาท (ให้ฟรี) สมัยนั้นตนเมื่อยตัว แม่นักร้องก็จะคอยมาบีบนวดให้ พี่ชายนักร้อง ก็มาขับรถให้ ต่อมานักร้องคนนี้ ไปบอกสื่อว่า ตนไปแอบอ้างว่ารู้จักเขา ตนจึงต้องตำหนิเขา นับบัดนั้นเขาและครอบครัวก็ด่าว่าตนเป็นคนไม่ดี ตนติดคุก 5 ปี นอกจากพวกเขาไม่ไปเคยเยี่ยมแล้ว ยามมีคนสนิทของตนพูดถึงชื่อตน แม่เขาได้ยินจะตำหนิว่า "จะคุยเรื่องอะไรก็ได้ แต่อย่าเอ่ยถึงคนชื่อนี้ให้ได้ยินอีกนะ" และล่าสุดตนออกจากคุก ตัวเขาให้ข่าวว่า "ขอเตือนเหล่าดารา ระวังจะถูกตนหลอกลวง" วันนี้เขาและพ่อแม่ พี่ชาย เห็นตนเป็นคนชั่วร้าย เขาจึงกล่าวเช่นนั้น ทั้งๆ ที่ยังอาศัยอยู่ในตึกที่ตนประมูลจากแบงก์เอากลับมาให้ฟรีๆ นอกจากเขาจะเห็นตนเป็นคนชั่วแล้ว พ่อแม่เขา ก็ไม่คบและไม่ยอมพบหน้าตนนับตั้งแต่ได้บ้านไป อีกเลย

8.วัด น. จ.สมุทรปราการ ตนเคยหาเงินให้ครึ่งนึง ครั้งริเริ่มสร้างอาคารเรียน และบริจาคเงินทั้งหมดบูรณะอุโบสถ ให้ทุนริเริ่มสร้างศาลา สร้างพระเครื่องให้วัดจำนวนมาก พร้อมทำสิ่งของต่างๆ ไว้มากมายให้วัด น. อำเภอ บ. จ.สมุทรปราการ รวมทั้งขอพัดยศให้เจ้าอาวาส สมัยนั้นทางวัดเอาใจผมทุกอย่าง แต่หลังจากที่ตนเข้าคุก ก็ไม่มีกำลังจะมาช่วยสร้างสิ่งต่างๆต่อ ภายหลังในอาคารเรียนที่สร้างเสร็จ ได้ปรากฏจารึกชื่อผู้เกี่ยวข้องมากมาย ยกเว้นชื่อนักโทษอย่างตน ทั่วทั้งวัด ไม่มีสิ่งใดที่จะทำยกย่องตน รวมทั้งตัวเจ้าอาวาสก็ไม่เคยพบหน้าตนตั้งแต่ก่อนเข้าคุกจนปัจจุบัน แม้ตนพ้นโทษและมาไหว้พระถึงวัดหลายครั้ง เจ้าอาวาสก็ไม่ยอมเจอหน้าตน เหตุเพราะสิทธิกร บุญฉิม เป็นคนไม่ดี!!!

9.วัด...จ.ระยอง ตนเคยถวายเงินและหาเงินรวม 23 ล้านให้วัด ส. อำเภอ บ. จ.ระยอง สร้างอุโบสถใหม่ สมัยนั้นทางวัดจะให้คณะกรรมการมาตั้งแถวต้อนรับตน ติดคุกแล้วตนยังหาเงินให้วัดหลายครั้ง ต่อมาตนสั่งออกจากคุกให้ยกพระประธานประดิษฐาน โดยห้ามชาวบ้านเข้าไปเกี่ยวข้อง เพราะตนกลัวแก้วแหวนเงินทองจำนวนมากที่นำมาบรรจุ จะหาย!!! เท่านั้นเอง เจ้าอาวาส กรรมการวัด และชาววัด ส. ก็ครหาว่าตนแอบเอากระดูกคุณพ่อคุณแม่มาบรรจุใต้ฐานพระประธานวัด ส. ทั้งๆ ที่อัฐิคุณพ่อคุณแม่ของตนยังอยู่ที่วัดยายร้า (ที่เดิม) นับจากนั้นทางวัดก็ไม่ยอมสร้างอุโบสถตามรูปแบบของตน ตามเจตนาของตน และตามศรัทธาของตน พร้อมทั้งเอาช่อฟ้าเอกที่เคยทำเอกสารมอบให้ตนเป็นประธานยก ไปหาเจ้าภาพอื่น ขอเงินเขา 1 แสน และให้เป็นประธานยกขึ้นไปแทนตนทันที เหตุผลที่วัด ส. ทำเช่นนี้ เพราะเห็นตนเป็นคนไม่ดีนั่นเอง

10.นักเรียนทุนในอุปการะ 57 คน ตนเคยอุปการะผู้คนเล่าเรียนจำนวนมากรวมเกือบร้อยคน ที่แจกทุนทั่วไปมีเป็นพันๆ คน สมัยนั้นนักเรียนทุกคนเวลาคุยกับตนจะนั่งกับพื้น เมื่อตนติดคุกยังสั่งการออกมาให้มอบเงินทุนรวมหลายล้าน เป็นรางวัลแก่ทุกคนที่มีผลการเรียนดีบ้าง ที่จำเป็นจะใช้บ้าง และก็ให้ทุนทั่วๆไปทุกงานบ้าง ตนสั่งออกจากคุกให้แจกทุนหลายครั้งแก่ทุกคน สมัยติดคุกมีครั้งนึงตนคิดถึงบุคคลที่ผมเคยอุปการะ จึงมอบหมายให้คนโทรไปสอบถามการเรียน การทำงาน ของนักเรียนทุนที่จบไปแล้ว และที่ยังศึกษาอยู่ กลับมีพ่อแม่และนักเรียนทุน(หลายคน)ตำหนิกลับมาว่า "ไม่ได้ให้ทุนแล้ว จะโทรมาสอบถามอะไรอีก" นั่นคือความตะลึงของตนครั้งแรก!! ส่วนนักเรียนทุนที่ยังได้เงินอยู่ ก็จะแสดงความเป็นคนดีโดยเขียนจดหมายถึงตนในคุกต่อเนื่อง แต่พอตนพ้นโทษและไม่มีเงินมากพอ จึงไม่ได้มอบทุนต่อ นักเรียน นิสิต นักศึกษา ก็ทยอยหายไปจากชีวิต แม้แต่นิสิตแพทย์... นักเรียนนายร้อยที่เคยเขียนจดหมายพรรนณาว่าอยากเจอตน ถึงวันนี้ 8 ปีที่ไม่เคยได้พบหน้ากัน หลังตนติดคุกแล้ว นักเรียนทุนส่วนใหญ่กลับไม่ยอมพบหน้าตน และไม่จริงใจที่จะไปพบตนเอง ส่วนนักเรียนทุน 57 คน ที่จบการศึกษาไปแล้วส่วนใหญ่ แต่กลับไม่มีใครแม้แต่คนเดียว ที่รับพระราชทานปริญญาแล้วจะใส่ครุยพร้อมนำปริญญาบัตรมาขอถ่ายรูปกับตน และไม่มีนักเรียนทุนคนใดจะกล้าเปิดเผยต่อสาธารณชนในเฟซบุ๊ก,ไทม์ไลน์,อินสตาแกรม ว่า สำเร็จการศึกษาด้วยเคยรับเงินทุนจากนักโทษในคุก!!!! อดีตนักเรียนทุนทั้งหลาย ที่ทำเช่นนี้กับตนเพราะ ต่างเห็นพี่สิทธิกร บุญฉิม เป็นคนชั่ว ไม่น่าเคารพนับถือไปแล้ว

11.วิทยาลัยสงฆ์ จังหวัดภาคเหนือตอนล่าง ตนเคยมอบเงินและอุปถัมภ์หาเงินรวม 56 ล้าน ช่วยสร้างอาคารอำนวยการวิทยาลัยสงฆ์ พร้อมสร้าง... เมื่อตนติดคุก พระ... และคณะสงฆ์... ได้บิดเบือนความจริงอันเกี่ยวกับการอุปถัมภ์ของตน จึงถูกตนตำหนิ จากนั้น 8 ปีหลังเกิดคดีถึงวันที่พ้นโทษ ตนได้มาสถานที่ดังกล่าวเป็นครั้งแรก พระ... และคณะสงฆ์... จากเคยเอาใจตนสมัยขอเงิน แต่ตอนนี้กลับไม่ต้อนรับ และไม่ให้ความสำคัญดังเดิม 8 ปีแล้วที่ตนต้องเข้าคุก เจ้าคณะจังหวัด ไม่ยอมพบหน้าตน ไม่ยอมเจอ ไม่เหมือนสมัยที่ขอเงินจากตน เพราะในสายตาของท่านเห็นตนหมดประโยชน์ เป็นคนไม่ดี ไม่น่าสมาคมแล้ว

ทั้งนี้ ทุกข้อที่ “เสี่ยอู๊ด เหนือหัว” รำพึงรำพันนั้นมีอยู่เรื่องหนึ่งที่เขาไม่รู้ตัวว่าเหตุใดช่วง “ขาลง” จึงเกิดรายการสหบาทาถูก “รุมกินโต๊ะ” อย่างไม่ทันหายใจหายคอ อีกทั้งบรรดา “พันธมิตรห่มจีวร” ต่างเบือนหน้าหนี

ประเด็นนี้ต้องคนวงใน คนทำสื่อจงพอจับต้นชนปลายได้ถูก ช่วงมาแรงแซงนักปั้นพระทุกค่าย “เสี่ยอู๊ด เหนือหัว” ใช้เม็ดเงินจำนวนไม่น้อยหว่านให้กับบรรดานักข่าว - สื่อมวลชนและคอลัมน์นิสต์ในแวดวงหนังสือพระเครื่อง ตลอดจนมีสายสัมพันธ์ที่ดีกับนักเขียนในหนังสือพิมพ์รายวัน

“เสี่ยอู๊ด เหนือหัว” เซ็นเช็คจำนวน 3 แสนบาทจ่ายให้สีกานักเขียนคนหนึ่งเป็นค่าตอบแทนที่ช่วยโปรโมทพระแต่ปรากฏว่าเมื่อถึงกำหนดจ่ายเช็คเสี่ยคนดังกลับติดสปริงเด้งดึ๋งไม่สามารถขึ้นเงินได้

จากมิตรที่คบหากันด้วยผลประโยชน์จึงกลายเป็นศัตรู

นับจากนั้นมาไม่ว่าเสี่ยอู๊ด เหนือหัวจะสร้างพระหรือคิดทำมาหากินอะไรจะถูกสีกานักเขียนตามกัดตามจิกตลอดรวมทั้งกรณีพระสมเด็จเหนือหัว จากข่าวที่เขียนในคอลัมน์ขยายขึ้นหน้า 1 ตามด้วยมือกฎหมายที่เข้ามาจัดการกระทั้งต้องติดคุกติดตะรางสูญสิ้นทุกสิ่งทุกอย่าง

ทั้งจุดเริ่มและล่มสลายล้วนเป็นไปตามกรรม เกิดขึ้นจากการตัดสินใจของชายร่างท้วมชื่อสิทธิกร บุญฉิม ทั้งสิ้น



บันทึกความในใจที่เสี่ยอู๊ดเขียนด้วยลายมือของตัวเองเอาไว้ก่อนเสียชีวิตในโรงแรมแห่งหนึ่งที่จังหวัดพิษณุโลก

ทำไมต้องตายที่ “สองแคว”

อีกเรื่องหนึ่งที่ยังคงค้างคา เป็นคำถามที่ยังหาคำตอบไม่เจอคือทำไมเขาต้องไปตายที่พิษณุโลก

คำตอบน่าจะอยู่ตรงที่เสี่ยอู๊ด เหนือหัว ได้คิดการใหญ่อีกครั้งจัดสร้าง “พระกริ่งนเรศวรขึ้นเหนือ” ด้วยพิธีกรรมยิ่งใหญ่ มีวิธีการตลาดแบบเดิมๆ คือต้องมีเรื่องราว รูปแบบของพระเครื่องและพลังศรัทธาของประชาชนที่มักเชื่อว่ารายได้ของการจำหน่ายพระนั้นนำไปใช้เพื่อสาธารณะกุศลมิได้เข้าพกเข้าห่อของใคร

ทุกอย่างใช้รูปแบบเดิม ทั้งทุนทรัพย์และการโหมโฆษณาเว้นแต่สิทธิกร บุญฉิม รู้ตัวว่าเขากำลังมีปัญหา ชื่อเสียงตกต่ำ อาจถึงขั้นเป็นหมาหัวเน่า เป็นบุคคลที่สังคมไม่ให้ความ เชื่อถือเขาจึงหลบอยู่เบื้องหลัง

“เสี่ยอู๊ด เหนือหัว” ทำการบ้านมาเป็นอย่างดีโดยศึกษาประวัติศาสตร์ความเป็นมาของสมเด็จพระนเรศวร และสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ทางภาคเหนือทั้งหมดจากนั้นจึงกำหนดรุ่นกริ่งนเรศวรเหนือหัว ออกมา 1 ชุดรวม 5 แบบคือ1.พระกริ่งนเรศวรวัดสิงห์ หรือนเรศวรสั่งฟ้า 2.พระกริ่งนเรศวรหริภุญชัย หรือนเรศวรโปรยฟ้า 3.พระกริ่งนเรศวรสองแคว หรือนเรศวรฟ้าลั่น 4.พระกริ่งนเรศวรวัดศรีชุม หรือนเรศวรฟ้าผ่า 5.พระกริ่งนเรศวรเมืองปาย หรือนเรศวรฟ้าแจ้ง ราคาจำหน่ายองค์ละ 999 บาท ชุดละ 4,995 บาท

ด้วยความเป็นมืออาชีพ “เสี่ยอู๊ด เหนือหัว” ยังตระเตรียมพิธีกรรมอย่างสมบูรณ์แบบเช่นการขออนุญาตใช้สถานที่เพื่อทำพิธีปลุกเสกเช่นพระราชวังจันทน์จ.พิษณุโลก -วัดศรีชุม อุทธยานประวัติศาสตร์ จ.สุโขทัย โดยได้รับอนุญาตจากนายเอนก สีหามาตย์ อธิบดีกรมศิลปากร หนังสืออ้างถึงมติมหาเถรสมาคมที่ 452/2550 อ้างถึงลิขิตประธานคณะกรรมการดำเนินงานโครงการสร้างพระถวายเจ้าพ่อหลวงของแผ่นดิน อนุญาตให้ใช้สถานที่ดังกล่าวประกอบพิธีเททองหล่อพระกริ่งนเรศวร ในวันอาทิตย์ที่ 8 มิ.ย.2557

ต่อจากนั้นคือการเดินสายทำพิธีปลุกเสกทั่วภาคเหนือ เฉพาะวัดใหญ่หรือวัดพระศรีรัตนมหาธาตุ วรวิหาร จ.พิษณุโลก ซึ่งเป็นที่ประดิษฐานพระพุทธชินราช ถูกอ้างถึงมากที่สุดโดยระบุอย่างชัดเจนว่าในวันเดียวกันที่มีพิธีเททองหลวงพ่อพระธรรมเสนานุวัตร และท่านพระครูวิธานศาสนกิจ หรือพระอาจารย์ไพริน เจ้าพิธีใหญ่แห่งเมืองสองแควได้จัดพิธีอธิษฐานจิตรจารแผ่นยันต์หน้าองค์พระพุทธชินราช ณ พระวิหารหลวงฯ

ขั้นตอนต่างๆทยอยเป็นข่าวทั้งในโซเชียลฯและหนังสือพิมพ์รายวัน การค้าทำท่าจะไปได้สวยแต่เกิดอุปสรรคเมื่อผู้หลักผู้ใหญ่ของ จ.พิษณุโลก เห็นความไม่ชอบมาพากลเนื่องจากพระกริ่งนเรศวรขึ้นเหนือ รุ่นสองแควอ้างถึงองค์การนักศึกษา (อนศ.)และมหาวิทยาลัยราชภัฏ (มรภ.)พิษณุโลกแต่เมื่อตรวจสอบพบว่าสถาบันมิได้เกี่ยวข้องมีเพียงบุคคลที่สมยอมและนำไปแอบอ้าง

จากตะเข็บนี้เองจึงค่อยๆลุกลามไปยังจังหวัดอื่นๆ เมื่อเมืองสองแควมีปัญหา “เสี่ยอู๊ด เหนือหัว” จึงกำหนดวันเปิดจองที่ จ.สุโขทัย แต่ก็มีปัญหาเพราะปั่นราคามากเกินไปจาก 999 บาทเป็น 1.8 หมื่นบาทจึงเกิดกระแสโจมตีและขุดคุ้ยความไม่ชอบมาพากลขึ้น

วันที่ 9 ส.ค.2558 ศูนย์ข่าวภูมิภาคของผู้จัดการซึ่งเกาะติดพฤติการณ์เสี่ยอู๊ด เหนือหัว มาโดยตลอดได้รายงานว่ามีนักสร้างพระคนหนึ่งเข้าไปพบกับหลวงพ่อที่วัดธรรมจักร พร้อมข้อเสนอต่างๆแต่หลวงพ่อปฏิเสธพร้อมเตือนนักสร้างพระคนนั้นไปว่า “ลูกนะ .....สิ่งที่ตามองไม่เห็นที่เกี่ยวข้องกับ 2 ชื่อคือพระพุทธชินราช กับสมเด็จพระนเรศวร ถ้าไปทำส่วนตัว ไปแอบอ้างอายุสั้นนะ ตัวอย่างมีให้เห็นเยอะ”

2 เดือนต่อมาสิทธิกร บุญฉิม ปิดฉากชีวิตตัวเองภายในโรงแรมแห่งหนึ่งกลางเมืองพิษณุโลก พร้อมเงินติดตัวเพียง 200 บาท

จากชีวิตอันรุ่งโรจน์กลับกลายเป็นตกอับถึงขั้นเตี้ยติดดิน ประวัติความเป็นมาตั้งแต่ชาตะจนถึงมรณะสะท้อนให้เห็นความดี-ความชั่วในหลายมิติไม่เว้นกระทั่งวงการพระสงฆ์ บางรูปบางองค์ที่ยังคงเวียนว่ายตายเกิดกับกิเลสตัณหา กลายเป็นเรื่องราวให้ได้ศึกษาและเป็นบทเรียนกันมาทุกยุค.


 เรื่องจริงของเสี่ยอู๊ด-สิทธิกร บุญฉิมที่มีการนำมาเผยแพร่ในแฟนเพจแห่งหนึ่ง โดยระบุว่าเป็นสาเหตุที่ทำให้น้อยใจและนำไปสู่การฆ่าตัวตาย
สภาพศพของเสี่ยอู๊ดขณะเสียชีวิต
เสี่ยอู๊ดในชุดนักโทษหลังถูกพิพากษาในคดีสมเด็จเหนือหัว
เสี่ยอู๊ดกับฟิล์ม-รัฐภูมิ

กำลังโหลดความคิดเห็น