ASTV ผู้จัดการสุดสัปดาห์ -คดี “หมอหยอง”เชื่อว่ายังมีใครอีกหลายคนที่หนาวๆร้อนๆ ถึงขนาดกินไม่ได้นอนไม่หลับกันบ้าง โดยเฉพาะ“บิ๊กบอส”ทีวีดิจิตอล ที่กำลังมาแรงช่องหนึ่ง…ไม่ใช่ผู้ต้องหา แต่ในฐานะพยาน !?
หากเอ่ยถึง“อู๊ดเหนือหัว”คนนอกวงการพระเครื่องอาจจะตั้งหลักไม่ทันย้อนถามกลับว่า เขาคือใคร แต่สำหรับวงการนักเลงพระ “อู๊ดเหนือหัว” ก็คือ “เสี่ยอู๊ด” นายสิทธิกร บุญฉิม เสี่ยหนุ่มใหญ่มาเร็วและแรง ในรอบ 10 ปีที่ผ่านมา
มีคำถามว่า ทำไมเขาจึงประสบความสำเร็จอย่างท่วมท้น ทั้งฐานะการเงิน และชื่อเสียงในวงการพระเครื่อง คำตอบน่าจะอยู่ที่ “อู๊ดเหนือหัว”รู้จักวิธีใช้การตลาดที่แยบยล ใช้ความเชื่อและศรัทธาของคนไทย ที่มีต่อพระพุทธศาสนา ผสมหลักการตลาดทุ่มโฆษณา พร้อมจัดพิธีปลุกเสกอย่างยิ่งใหญ่สมความยิ่งใหญ่ ไม่ว่าเกจิท่านนั้นจะเป็นใคร อยู่ที่ไหน “อู๊ดเหนือหัว”หรือ นายสิทธิกร บุญฉิม มีความสามารถพาบรรดาเกจิอาจารย์เหล่านั้น มาร่วมปลุกเป่าลงคาถาอาคมจนได้
กระทั่งปี 2550 จากการซื้อ-ขายพระเครื่องด้วยวิธีทั่วไปอาจกลายเป็นเรื่องธรรมดา นายสิทธิกร บุญฉิม จึงหวังรวยเร็ว ด้วยการดึงศรัทธาสูงสุดของคนไทยมาเป็นประโยชน์ส่วนตัว ด้วยการโหมโฆษณาทั่วประเทศว่า มูลนิธิอัฏฐมราชานุสรณ์ ในพระบรมราชาชูปถัมภ์ มีโครงการจัดสร้างอุโบสถ 2 กษัตริย์ และอ้างว่า ได้รับมวลสารดอกไม้พระราชทาน และผ้าไตรพระราชทาน จากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว จึงจัดทำพระ“สมเด็จ รุ่นเหนือหัว”ออกจำหน่าย กว่า 1 ล้านองค์
ใครผ่านไปมาแถวทางด่วน จะเห็นป้ายโฆษณา พระสมเด็จ รุ่นเหนือหัว สีต่างๆ ขึ้นคัตเอาต์ ขนาดยักษ์เรียงกันเป็นตับ สื่อหนังสือพิมพ์ทุ่มเงินโฆษณาสี่สี คู่กลาง 1 คู่รวม 2 หน้าหลายฉบับ และติดต่อกันเป็นเวลาหลายวัน กระทั่งมีการท้วงติงจากจุดเล็กๆ ค่อยๆ ขยายวงขึ้นเรื่อย จนเจ้าหน้าที่บ้านเมืองเข้ามาตรวจสอบ
ในที่สุด นายสิทธิกร ถูกดำเนินคดีข้อหาฉ้อโกงประชาชน มีการดำเนินคดีศาลตัดสินลงโทษจำคุก 5 ปี ปิดฉากเจ้ายุทธจักรวงการขายพระเครื่องไปโดยปริยาย
เส้นทางของ“อู๊ดเหนือหัว”คล้ายกับใครอีกหลายคนในจำนวนนั้นยังมีบุคคลอีกกลุ่มหนึ่งที่หากินกับความเชื่อ นายลักษณ์ เรขานิเทศ หรือ หมอลักษณ์ ฟันธง เป็นอีกผู้หนึ่งที่เส้นทางหวือหวา เฉียดไปเฉียดมาระหว่าง “หมดดูเทวดา”กับมายากลของนักเล่นกล
13 พ.ย. 51 คณะของหมอลักษณ์ ฟันธง เดินทางไปยังศาลสมเด็จพระนเรศวรมหาราช จ.พิษณุโลก เพื่อประกอบพิธีไสยศาสตร์อะไรบางอย่าง แต่ถูกชาวบ้านและกลุ่มศิษย์เก่าโรงเรียนพิษณุโลกพิทยาคม ต่อต้านอย่างหนัก จนต้องล้มเลิกพิธีกรรมดังกล่าวไป
ศาลสมเด็จพระนเรศวรมหาราช อันเป็นสิ่งศักดิสิทธิ์คู่ชาวเมือง และประเทศไทย หลังกรมศิลปากรประกาศเป็นโบราณสถาน มีการพัฒนาอย่างต่อเนื่องมาเป็นเวลากว่า 20 ปีนั้น ปัจจุบันกองทัพภาคที่ 3 ร่วมกับประชาชนจัดหาทุนบูรณะเป็นอุทยานประวัติศาสตร์ มีการขอคืนที่ดินจากส่วนราชการต่างๆ ที่ปลูกคร่อมทับพระราชวังจันทร์ อันเป็นวังเก่าของสมเด็จพระนเรศวรฯ ในอนาคตจะกลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยว และศึกษาประวัติศาสตร์ไทยสำคัญอีกแห่งหนึ่ง
ที่เขียนขยายความแบบนี้ ก็เพื่อให้เห็นภาพ แม้เวลาจะผ่านมาหลายปีแล้ว แต่คนพิษณุโลก หรือคนไทยที่เคารพสักการะสมเด็จพระนเรศวร บูรพกษัตริย์ไทยไม่เคยลืมเลือน
วันนี้หมอลักษณ์ ฟันธง ยังคงอาสาทำนายทายทัก “ฟันธง”แวดวงดาราไปเรื่อยๆ แถมยังกลายเป็นคนดัง ที่สังคมบางส่วนพร้อมจะลืมเรื่องไม่เข้าท่าที่เขากระทำไว้ การสร้างเหรียญจตุคามรามเทพ รุ่นหมอลักษณ์ ฟันธง ก็ดี หรือขนาดขายเครื่องรางของขลัง ที่มาจากซากสัตว์คือ “น้ำตาพะยูน” นั้นสังคมไทยก็ควรจับตาพฤติการณ์ของเขา และฉากสุดท้ายกันต่อไป
จาก“อู๊ดเหนือหัว”มาถึง “หมอลักษณ์ ฟันธง”ถ้าไม่เอ่ยถึง “หมอหยอง”หรือ นายสุริยัน สุจริตพลวงศ์ คงเป็นเรื่องแปลก
“หมอหยอง” คือมนุษย์คนหนึ่งที่มีทั้งด้านดีและด้านมืด ส่วนดีรวมทั้งความสามารถของเขา ถ้าไม่มีอยู่บ้างมหาวิทยาลัยรังสิต ของดร.อาทิตย์ อุไรรัตน์ คงไม่ขอให้มาเป็นอาจารย์พิเศษ
เรื่องสาธารณะกุศล เรื่องการช่วยเหลืออื่นๆ “สุริยัน สุจริตพลวงศ์”ยังทำหน้าที่คนไทยได้ดีกว่าใครอีกหลายคน แต่เมื่อเกิดความผิดเอกอุทั้ง “หมอหยอง”และสมัครพรรคพวก ก็ต้องเต็มใจเข้ารับการพิสูจน์
หลังส่งตัวฝากขังศาล มีข่าวว่าเจ้าตัวรับสารภาพซัดทอดไปยังตำรวจอีก 7-8 นาย และพลเรือนอีกจำนวนหนึ่ง ที่เข้าไปเกี่ยวข้องด้วยนั้น ถ้าจับคำสัมภาษณ์ของ พล.ต.ท.ศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล ว่าที่ รอง ผบ.ตร. ฝ่ายความมั่นคง เชื่อเหลือเกินว่า คงมีใครอีกหลายคนที่หนาวๆ ร้อนๆ ถึงขนาดกินไม่ได้นอนไม่หลับก็คงมีกันบ้าง โดยเฉพาะบิ๊กบอสค่ายทีวีดิจิตอลที่กำลังมาแรงช่องหนึ่งไม่ใช่ผู้ต้องหา แต่ในฐานะพยาน !?