ASTV ผู้จัดการสุดสัปดาห์ -ดูทรงแล้วโอกาสที่พรรคเพื่อไทยจะได้มาสยายปีกหลังการเลือกตั้งอีกครั้งแทบจะริบหรี่ขึ้นเรื่อยๆ
ไม่ต้องนับถึงพวกมีชนักปักหลังหรือมีแผลที่หลังเหวอหวะที่เข้าข่ายจะถูกสกัดตามรัฐธรรมนูญฉบับสกรีนพวกต้องคดีทุจริตไม่ให้กลับเข้าสู่เวทีการเมืองตลอดชีวิตอีก พวกที่เหลืออยู่ถึงอยู่ได้ ก็ไม่รู้จะอยู่กันอย่างไร เพราะไม่ได้มีอำนาจเบ็ดเสร็จเหมือนแต่ก่อนแน่ๆ เค้าลางมันมีมาตั้งแต่สมัย “ดร.ปื๊ด”บวรศักดิ์ อุวรรณโณ เป็นประธานคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ ที่ผุดสูตรเลือกตั้งแบบเยอรมัน เพิ่มพละกำลังให้พรรคเล็กพรรคน้อย
มาถึงยุคอาจารย์ใหญ่ก๊วนเนติบริกร มีชัย ฤชุพันธุ์ การเลือกตั้งสูตรพิสดารก็กลับมาอีกรอบ หลังผุดแนวคิดให้ใช้คะแนนเสียงผู้สมัครส.ส.ระบบเขตที่ไม่ได้รับการเลือกตั้งมาคำนวณหาจำนวน ส.ส.บัญชีรายชื่อ เพื่อให้ทุกคะแนนเสียงมีความหมายมีความสำคัญ ไม่ได้หลุดลอยไปตามผู้แพ้ ผ่านไปแล้วผ่านเลย แม้กระทั่งเรื่องคะแนนโหวตโน ต่อไปจะมีผลต่อการได้หรือไม่ได้เป็นส.ส. ของผู้สมัครในบางเขตแน่ เพราะจะนับทุกเม็ด
ขนาด วิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี ฝ่ายกฎหมาย ยังเด้งรับกับการให้ความสำคัญกับทุกคะแนนเสียง โดยเฉพาะเสียงโหวตโน ดูท่าตำราของ 21 กรธ. มีโอกาสจะได้ใช้ในการเลือกตั้งครั้งต่อไปสูงลิ่ว อย่างที่รู้กันการร่างรัฐธรรมนูญเที่ยวนี้ไม่เหมือนกับยุคของ“ดร.ปื๊ด” สูตรต่างๆ ที่ออกมาย่อมสะท้อนความต้องการของแป๊ะ เพราะรอบนี้รอบไฟนัล ร่างเสร็จเอาไปฟังเสียงประชาชนในการทำประชามติทันที ไม่ต้องผ่านกระบวนการคัดกรองอะไรกันมากมายเหมือนครั้งที่แล้วที่จะต้องผ่านสภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.)
สูตรพิสดารยังน่าสนใจ กรณีที่ชงให้มีการตัดสิทธิ์ผู้สมัครที่มีคะแนนน้อยกว่าคะแนนโหวตโน ในการเลือกตั้งครั้งนั้นไปเลย เพราะถือว่าคุณสมบัติไม่ผ่าน ประชาชนส่วนใหญ่ในพื้นที่ไม่ไว้วางใจ ถึงขนาดเบือนหน้าไปกาโหวตโนกันหมดแบบนี้ ตรงนี้มีผลต่อการตัดสินใจในการลงคะแนนแน่
โดยเฉพาะประชาชนในพื้นที่ที่นอกจากเป็นทางเลือกหนึ่งกรณีไม่รู้จะเลือกใครแล้ว ยังเป็นการเปิดช่องให้สำหรับการลงคะแนนแบบเอาสะใจ กรณีเหม็นขี้หน้าผู้สมัครคนไหนเป็นพิเศษ
แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น หลักใหญ่ใจความน่าจะอยู่ที่การเอาคะแนนผู้แพ้ในเขตมานับรวมเพื่อเป็นคะแนนของปาร์ตี้ลิสต์แทน กล่าวคือ สูตรนี้จะแตกต่างจากสูตรผสมแบบเยอรมันของ “ดร.ปื๊ด”คือ จะยังมี ส.ส.สองระบบเช่นเดิม คือ แบบเขต และแบบบัญชีรายชื่อ แต่การลงคะแนนของประชาชนจะต่างกันชุด กมธ.ยกร่างฯ เพราะไม่ต้องไปกาบัตร 2 ใบ เหมือนที่ผ่านมา ผู้ลงคะแนนจะลงคะแนนในเฉพาะแบบเขตเท่านั้น ซึ่งหากในเขตนั้นบุคคลใดได้คะแนนอันดับหนึ่งจะถือว่าได้เป็น ส.ส.แบบแบ่งเขตในเขตนั้นไป แต่ที่ต่างออกไปคะแนนของคนแพ้ในเขตนั้นๆ จะไม่สูญเปล่า แต่จะถูกนำมารวมกับคนแพ้ทั้งประเทศ ซึ่งจะแบ่งเป็นแต่ละพรรค และนำมาคำนวณเป็นจำนวน ส.ส. แบบบัญชีรายชื่อ
คือต่อให้พรรคเล็กแพ้ทุกเขตที่ส่งลงสมัคร แต่หากนำคะแนนมานับรวมๆ กันแล้วคิดเป็นเปอร์เซ็นต์ หากถึงเกณฑ์ก็มีสิทธิ์ที่พรรคโนเนม หรือพรรคเกิดใหม่จะมีส.ส.ไปนั่งในสภาสักครั้ง
ดูแล้วคนที่ได้ประโยชน์คือ พรรคกลาง และพรรคขนาดเล็ก ที่จะมีจำนวนที่นั่ง ส.ส.เพิ่มขึ้นจากเดิมแน่ ในส่วนของระบบบัญชีรายชื่อ ดังนั้น โอกาสที่จะได้ลืมตาอ้าปากมาถึงแล้ว
พรรคที่จะซวยคือ พวกพรรคใหญ่ โดยเฉพาะแชมป์เก่าอย่างพรรคเพื่อไทย ที่ผูกขาดการเลือกตั้งในยุคหลังๆ หากกรธ.เคาะสูตรนี้ อำนาจต่อรองอะไรของพรรคเพื่อไทยจะลดลงไป พรรคขนาดกลาง และพรรคขนาดเล็ก จะเสียงดังมากขึ้นกว่าเก่า สามารถต่อรองเรื่องราวต่างๆ ได้
หนำซ้ำการจัดตั้งรัฐบาลจะเป็นอะไรที่ต้องลุ้นหนักกว่าเดิม เพราะต้องไปง้อพรรคเล็กพรรคขนาดกลาง ให้มาอยู่ร่วมกันเพื่อสร้างเสถียรภาพให้รัฐบาล แถมนึกอยากจะเกลี่ยเก้าอี้อะไรให้ใคร อย่างไรก็ได้ แบบแต่ก่อนค่อนข้างยากขึ้น การเล่นตัวของแต่ละพรรคจะมีมากขึ้นตามมา ดีไม่ดีจะเป็นการสร้างอำนาจต่อรองตอนตั้งรัฐบาล ที่พรรคอันดับสองอาจไม่ยอม และแข่งขันเพื่อจัดตั้งรัฐบาล เพราะปัจจัยพรรคขนาดกลางและพรรคขนาดเล็กมีส่วนสำคัญ จะการเกิดล็อบบี้กันหนักหน่วง สุดท้ายหากเคลียร์กันไม่ลงจนเป็นปัญหา จะเป็นการเปิดทางให้มี “นายกฯ คนนอก”กันขึ้นมาอีกโดยไม่รู้ตัว เพราะถ้าไม่มีอะไรผิดพลาด ร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้อย่างไรเสียต้องมีประตูหนีไฟเอาไว้ เนื่องจากเป็นเจตนารมณ์ที่แป๊ะอยากได้มาตั้งแต่ยุค “อ.ปื๊ด” เพื่อป้องกันเด็ดล็อกทางการเมือง
วิธีการดังกล่าวเลยถูกมองว่าเป็นการตัดตอนพรรคเพื่อไทย และหิ้วปีกพรรคขนาดกลาง และพรรคขนาดเล็ก โดยเฉพาะถูกตั้งข้อสงสัยว่า เป็นการเอื้อให้กับพรรคประชาธิปัตย์ที่ผูกปีแพ้ได้มีโอกาสลุ้นมากขึ้น เพื่อให้มีโอกาสชนะหรือลดความห่างของที่นั่งในสภาให้น้อยลงกว่าเก่า
ขณะที่จุดอ่อนสำหรับพรรคเล็กก็มีอยู่บ้าง เพราะหากอยากได้คะแนนส่วนนี้ ก็จำเป็นต้องส่งผู้สมัครลงในระบบเขตเลือกตั้งให้มากที่สุดเพื่อหวังคะแนนมาผสมปนเปกันจนพอจะได้ส.ส. อาจเสียเปรียบพรรคขนาดใหญ่ ที่มีทุนรอน และกระสุนดินดำมากกว่า
ดังนั้นไม่ว่าจะเป็นสูตรเลือกตั้งผสมแบบเยอรมันของ “ดร.ปื๊ด”หรือ “สูตรพิสดาร”ของ 21 กรธ. จะเห็นได้ว่า มีความพยายามจะทำลายความแข็งแกร่งของพรรคขนาดใหญ่ ไม่ให้ผูกขาดปีชนะเหมือนกันทั้งสิ้น นั่นย่อมมองเห็นความคิดของแป๊ะเจ้าของเรือแล้วว่า ต่อให้มีการยืดระยะเวลาออกไปยาวนานขนาดไหน เลือกตั้งกี่ครั้งๆ พรรคเพื่อไทย จะยังคงเข้าวินกลับมาเสมอและแบบถล่มทลายอยู่เหมือนเดิม ต่อให้กำจัดแกนนำหรือขุนพลแถวหนึ่งแถวสองไปจนหมดก็ตาม
เช่นเดียวกับพรรคเพื่อไทยก็คิดเช่นนั้น ไม่ว่า คสช.จะเขียนกฎกติกาแบบไหน คนเหล่านี้จะมีช่องทางในการหลบเลี่ยงหรือปรับตัวเพื่อให้เข้ากับสูตรใหม่ได้เสมอ เลือกตั้งกี่ทีก็ชนะพรรคประชาธิปัตย์อยู่วันยังค่ำ ยิ่งหากพรรคประชาธิปัตย์ยังไม่คิดจะปฏิรูปพรรคตัวเองจากที่เป็นอยู่ จะเป็นทีมรองบ่อนอย่างนี้อีกยาวนาน
ดังนั้น เมื่อทำให้พรรคเพื่อไทยแพ้ในการเลือกตั้งไม่ได้ ก็ต้องทำให้พรรคเพื่อไทย มีพลังอำนาจน้อยลงให้ได้มากที่สุด ซึ่งสูตรพิสดารนี้เป็นวิธีลับ ลวง พราง แบบ “ตัดตอนกลางแดด”เพื่อจำกัดทางเดินให้พรรคเพื่อไทยไม่สามารถทำอะไรได้ตามใจชอบเหมือนแต่ก่อน
ชนะกลับมาได้แต่ก็ไม่เหมือนเดิม
กระนั้นก็อย่าชะล่าใจ เพื่อไทยคงดิ้นสุดฤทธิ์ อาจมีการตั้ง "พรรครอง" ให้ผู้สมัครไปลงพรรคสำรอง ที่รู้กันว่าเป็นพรรคลูกของตัวเอง เพื่อเก็บคะแนนปาร์ตี้ลิสต์ โดยเฉพาะเหนือ-อีสาน ส่งผู้สมัครไป 2 คน ให้พรรคหลักชนะแบบไม่ต้องมาก แชร์แต้มไปให้พรรครอง ป้องกันพรรคอื่นๆ มาช่วงชิง หมากเกมนี้ กรธ. คิดหรือยัง เรื่องซิกแซกพลิกแพลงคนไทยไม่แพ้ชาติใดในโลก !!!