ASTV ผู้จัดการสุดสัปดาห์ -เป็นไปตามคาด การเขียนจดหมายเปิดผนึกของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ถึง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.)และนายกรัฐมนตรี เพื่อขอให้ทบทวนการพิจารณาใช้คำสั่งทางปกครองให้อดีตนายกฯ หญิงจ่ายชดเชยค่าเสียหายจากโครงการรับจำนำข้าวนั้น เป้าหมายที่แท้จริง ไม่ใช่การให้ พล.อ.ประยุทธ์ ทำตามข้อเรียกร้อง แต่เป็นการสื่อสารไปยังบรรดามวลชนคนเสื้อแดงที่เป็นฐานเสียงให้เตรียมพร้อมที่จะออกมาร่วมต่อสู้ต่างหาก
การโพสต์ในเฟซบุ๊กแฟนเพจ Yingluck Shinawatra ตั้งแต่วันที่ 12 ตุลาคม ก่อนที่จะให้ทนายความนำไปยื่นที่ทำเนียบรัฐบาลในวันที่ 13 ตุลาคม ก็ชัดเจนอยู่แล้วว่า นี่เป็นความต้องการที่จะบอกกับเครือข่ายบริวารระบอบทักษิณที่ติดตามแฟนเพจอยู่จำนวนกว่า 4 ล้านคน มากกว่าที่จะบอกไปยังนายกรัฐมนตรีคนปัจจุบัน
เนื้อความในจดหมายเปิดผนึกก็ชัดเจนว่า เป็นการแก้เกมข้อกล่าวหาจากคณะกรรมการป้องกันและปราบการทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช.)และคำฟ้องของอัยการสูงสุดที่ระบุว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์ดึงดันดำเนินโครงการรับจำนำข้าวโดยไม่ฟังคำทักท้วงของฝ่ายต่างๆ และไม่ระงับยับยั้งความเสียหาย โดยอ้างว่า ตนเองถูกกลั่นแกล้ง ทั้งยังตะแบงต่อไปว่า โครงการรับจำนำข้าวเป็นการดำเนินนโยบายสาธารณะที่คณะรัฐมนตรีได้แถลงต่อรัฐสภา แต่ตนกลับถูกสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ(สนช.)ลงมติถอดถอนออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี และมีการแถลงสั่งฟ้องคดีตนต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ก่อนที่ สนช.จะมีมติถอดถอนตนเพียง 1 ชั่วโมง
หลังจากการโพสต์จดหมายเปิดผนึกในเฟซบุ๊กแฟนเพจของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังในรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ก็ออกมารับลูก ด้วยการโพสต์วิดีโอคลิปในเฟซบุ๊ก อธิบายแบบดันทุรังว่า โครงการรับจำนำข้าวนอกจากไม่ได้สร้างความเสียหายอย่างที่หลายฝ่ายพยายามกล่าวหาและสร้างตัวเลขโจมตี แต่โครงการรับจำนำข้าวถือเป็นประโยชน์ต่อชาวนาและเศรษฐกิจของประเทศ ซึ่งก็มีมวลชนเครือข่ายเข้ามากดปุ่ม“ชอบ” พร้อมแสดงความเห็นแซ่ซ้องสรรเสริญหลายหมื่นคน
หลังเปิดเกมด้วยจดหมายเปิดผนึกและวิดีโอคลิปทางโซเชียลมีเดียแล้ว น.ส.ยิ่งลักษณ์ ก็เริ่มออกเดินสายต่างจังหวัดเพื่อพบปะกับมวลชนระดับรากหญ้าที่อาจไม่ได้เล่นเฟซบุ๊ก หรือสื่อสังคมออนไลน์อื่นๆ
เริ่มจากวันที่ 14 ตุลาคม น.ส.ยิ่งลักษณ์ พร้อมด้วยนายนิวัฒน์ธำรง บุญทรงไพศาล นายวราเทพ รัตนากร นายจิรวุฒิ สิงห์โตทอง อดีตเลขารัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง และสมาชิกพรรคเพื่อไทยในจังหวัดชลบุรี และจังหวัดใกล้เคียง ได้เดินทางไปที่วัดทุ่งเหียง ตำบลหมอนนาง อำเภอพนัสนิคม จังหวัดชลบุรี ร่วมทอดผ้าป่าการศึกษาเพื่อเด็กชาวเขาด้อยโอกาส โดยมีประชาชนจำนวนหนึ่งที่ทราบข่าวเดินทางมามอบดอกไม้ให้กำลังใจ และร่วมถ่ายภาพ
ถัดมา 1 สัปดาห์ วันที่ 20 ตุลาคม นางสาวยิ่งลักษณ์ พร้อมด้วย นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ ผู้เป็นพี่เขย ได้เดินทางไปที่วัดโพธิ์ชัยพระอารามหลวง อ.เมืองหนองคาย โดยมีคณะอดีต ส.ส.ขอนแก่น อดีต ส.ส.พิจิตร อดีต ส.ส.หนองคาย และอดีต ส.ส.บึงกาฬ ติดตามไปด้วย ท่ามกลางชาวหนองคายทั้งชายและหญิงนำดอกไม้มอบให้กำลังใจจำนวนมาก พร้อมตะโกนเชียร์ “ยิ่งลักษณ์สู้ๆ” เป็นระยะๆ ซึ่งมีทั้งกำลังตำรวจ ทหาร มาคอยดูแลป้องกันเหตุจำนวนหนึ่งด้วย
ในวันนั้น น.ส.ยิ่งลักษณ์ได้นำคณะไปกราบไหว้ขอพรหลวงพ่อพระใส พระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์คู่บ้านคู่เมืองหนองคาย หลังจากนั้นได้ถวายดอกบัวแด่พระครูธรรมธร สมนึก โสภณปัญโญ ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดโพธิ์ชัย ซึ่งพระครูธรรมธรได้มอบพระพุทธรูปหลวงพ่อพระใสจำลองขนาด 3 นิ้ว และพระเครื่องจำนวนหนึ่งให้ หลังจากนั้นน.ส.ยิ่งลักษณ์พร้อมคณะได้เดินทางไปยังตลาดท่าเสด็จ หรือตลาดอินโดจีน เขตเทศบาลเมืองหนองคาย โดยได้เดินเที่ยวชมภายในตลาด และเลือกซื้อกระทะทองเหลืองสำหรับปิ้งย่าง และกระทะสำหรับทำไข่กระทะ อาหารเช้ากลับไปด้วย โดยได้ทักทายถ่ายรูปกับบรรดาพ่อค้าแม่ค้าและประชาชนที่มาซื้อของในตลาด
ในช่วงบ่าย คณะ น.ส.ยิ่งลักษณ์ได้เดินทางไปยังวัดพระธาตุบังพวน ต.พระธาตุบังพวน อ.เมือง จ.หนองคาย เพื่อมากราบไหว้องค์พระธาตุบังพวน โดยมีประชาชนจำนวนหนึ่งมารอต้อนรับและมอบดอกไม้ให้กำลังใจ
เช้าวันถัดมา น.ส.ยิ่งลักษณ์ นายสมชาย พร้อมคณะผู้ติดตามได้เดินทางไปยังตลาดสดโพธิ์ชัย เขตเทศบาลเมืองหนองคาย ทักทายกับพ่อค้าแม่ค้าและประชาชนที่มาจับจ่ายซื้อขอโดยมีมวลชนกลุ่มผู้สนับสนุนมารอต้อนรับพร้อมมอบดอกไม้ให้กำลังใจด้วย
น.ส.ยิ่งลักษณ์ได้ไปยังร้านกาแฟไข่กระทะภายในตลาดที่เคยให้บริการอาหารเช้าเมื่อครั้งยังนั่งเก้าอี้นายกฯ และมาปฏิบัติภารกิจที่จังหวัดหนองคาย หลังจากรับประทานอาหารเช้าเสร็จได้เดินทักทายกลุ่มผู้สนับสนุน และมีคนมาขอถ่ายรูปอีกจำนวนมาก ก่อนออกเดินทางไปกราบหลวงพ่อพระเจ้าองค์ตื้อ ที่วัดศรีชมพูองค์ตื้อ บ้านน้ำโมง ต.ท่าบ่อ และเดินทางต่อไปยังวัดผาตากเสื้อ อ.สังคม จ.หนองคาย เพื่อไหว้พระที่วัดผาตากเสื้อ ก่อนวกกลับเข้า จ.อุดรธานี เพื่อเตรียมขึ้นเครื่องบินเดินทางกลับกรุงเทพฯ
ที่ จ.อุดรธานี น.ส.ยิ่งลักษณ์ พร้อมคณะได้ไปยังตลาดผ้านาข่า ต.นาข่า อ.เมืองอุดรธานี เพื่อทักทายกับพ่อค้าแม่ค้าและคนเสื้อแดงที่มารอชื่นชม โดยมีนายขวัญชัย สาราคำ และแกนนำเสื้อแดงหลายคนร่วมให้การต้อนรับ พร้อมพาเลือกซื้อสินค้าขึ้นชื่อของจังหวัดอุดรธานี จากนั้นได้ขึ้นรถยนต์เดินทางไปขี้นเครื่องบินที่สนามบินอุดรธานี เดินทางกลับกรุงเทพฯ
เห็นได้ชัดว่า แม้การเดินทางไปยังภาคตะวันออกเฉียงเหนือของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ครั้งนี้ จะถูกจับตาอย่างใกล้ชิดจากฝ่ายความมั่นคง โดยมีเจ้าหน้าที่ทั้งในและนอกเครื่องแบบคอยติดตามเพื่อไม่ให้มีการเคลื่อนไหวทางการเมืองที่เกินเลย แต่ก็เห็นได้ว่า มวลชนฐานเสียงของนักการเมืองในเครือข่ายของทักษิณ ก็ยังออกมาต้อนรับ น.ส.ยิ่งลักษณ์กันอย่างคึกคักเช่นเดิม
นั่นแสดงว่า เครือข่ายระบอบทักษิณยังคงฝังรากลึกในสังคมระดับรากหญ้าของภาคอีสานรวมทั้งในพื้นที่ชนบทของภูมิภาคอื่นๆ หากมีการเลือกตั้งในวันข้างหน้า ไม่ว่าจะช้าหรือเร็ว นักการเมืองในเครือข่ายนี้ก็มีโอกาสกลับเข้าสู่สภาได้มากกว่าพรรคอื่นอีกเช่นเคย
เป็นการบ้านข้อสำคัญที่ พล.อ.ประยุทธ์ คสช.และรัฐบาล ต้องนำไปขบคิด หากไม่ต้องการให้วัฏจักรความขัดแย้งกลับมาอีก ก็จะต้องหาทางแก้ไขเสียตั้งแต่เสียตอนนี้
พล.อ.ประยุทธ์และ คสช.ต้องถามตัวเองว่า ระยะเวลา 1 ปีเศษที่ผ่านมานับตั้งแต่การยึดอำนาจ ได้ทำให้ประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศเห็นพิษภัยของประชานิยมที่นายทักษิณ ชินวัตร และนอมินี ใช้มอมเมาประชาชนในช่วง 10 กว่าปีมานี้ หรือยัง
การดำเนินคดีเพื่อเอาผิดนักการเมืองในเครือข่ายทักษิณที่เกี่ยวข้องกับการทุจริตนั้น เป็นเรื่องที่ถูกต้องแล้ว แต่หากไม่ได้อธิบายให้มวลชนระดับรากหญ้าได้เข้าใจอย่างถ่องแท้และทั่วถึง ก็มีแนวโน้มว่า คสช.จะเป็นอย่างที่ นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม อดีต ส.ส.พิษณุโลก พรรคประชาธิปัตย์บอกไว้ นั่นคือ ชนะในทางคดี แต่จะแพ้ในทางการเมือง
บทเรียนนี้เคยมีมาแล้ว จากการรัฐประหารในปี 2549 ที่นำโดย พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน ซึ่งไม่ได้มีการอธิบายให้เห็นพิษภัยของระบอบทักษิณอย่างเพียงพอ และผลสุดท้ายแม้นายทักษิณต้องหัวซุกหัวซุนหนีคดีออกนอกประเทศ แต่นอมิของเขาก็ได้เป็นนายกรัฐมนตรีถึง 3 คน นับจากการเลือกตั้งปี 2550 เป็นต้นมา