เพื่อไทยงัดกฎหมายสู้ทั้งเรื่องร่างรัฐธรรมนูญและคดีความยิ่งลักษณ์ ทีมทนายให้น้ำหนักไปที่คดีแพ่งสู้รัฐบาลที่ใช้ พ.ร.บ.ความรับผิดทางละเมิด ร่อนจดหมายเปิดผนึกเกรงไม่ได้รับความเป็นธรรม วอนให้สู้กันที่ศาล สุดท้ายพลิกมาใช้ พ.ร.บ.วิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง อ้างไม่บังคับใช้กับนายกฯ และรัฐมนตรี นักกฎหมายชี้เป็นการวัดกำลัง ยื้อให้นานรอให้ คสช.พ้นอำนาจ เป็นไปได้ทั้งยิ่งลักษณ์โทษเบา โยนบาปลูกน้องรับเคราะห์แทน โทษทางแพ่งแค่ยึดทรัพย์หรือล้มละลายแค่ 3 ปี แต่ถ้าผิดอาญาต้องติดคุก ถึงเวลานั้นคงเดินตามรอยพี่ชาย
นับตั้งแต่รัฐบาลของพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา เดินเครื่องที่จะดำเนินคดีทางแพ่งต่อนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี จากพรรคเพื่อไทย ในโครงการรับจำนำข้าวที่เกิดความเสียหายขึ้นจำนวนมาก ที่สั่งให้กระทรวงพาณิชย์และกระทรวงการคลังไปรายงานตัวเลขความเสียหายมาภายในวันที่ 30 กันยายน 2558
29 กันยายน 2558 นางสาวยิ่งลักษณ์พร้อมด้วยนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ อดีตนายกรัฐมนตรี พร้อมทนายความเดินทางมายื่นฟ้องนายตระกูล วินิจนัยภาค อัยการสูงสุด และคณะทำงานพิจารณาคดีจำนำข้าว ที่มีความเห็นสั่งฟ้องนางสาวยิ่งลักษณ์ต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ในความผิดฐานร่วมกันปฏิบัติหน้าที่มิชอบ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 และร่วมกันกระทำผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ในการยุติธรรม ตามมาตรา 200
แต่ต้องผิดหวังเมื่อศาลพิจารณาแล้วไม่รับฟ้อง เมื่อ 6 ตุลาคม 2558 เนื่องจากเห็นว่า การกระทำของอัยการสูงสุดกับพวกรวม 4 คน ไม่ใช่การปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ และไม่มีเจตนากลั่นแกล้งให้โจทก์ต้องรับโทษหนักขึ้น จึงพิพากษายกฟ้องโดยไม่รับคดีนี้ไว้พิจารณา
12 ตุลาคม 2558 นางสาวยิ่งลักษณ์ โต้กลับรัฐบาลพลเอกประยุทธ์อีกครั้งด้วยการส่งจดหมายเปิดผนึกถึงพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เรื่องการดำเนินการให้มีการเรียกร้องค่าเสียหายทางคดีแพ่งต่อการดำเนินนโยบายรับจำนำข้าว ที่มีจะมีการใช้คำสั่งทางปกครอง สั่งให้บุคคลที่เกี่ยวข้องชำระหนี้เหมือนคำสั่งยึดทรัพย์ เพียงเพื่อหลีกเลี่ยงค่าธรรมเนียมในการฟ้องเรียกค่าเสียหายที่จะต้องเสียเงินค่าธรรมเนียมศาล ซึ่งเท่ากับว่าท่านได้ใช้อำนาจหน้าที่ของท่านเสมือนหนึ่งเป็นคำพิพากษาของศาล
โดยนางสาวยิ่งลักษณ์เสนอให้เรื่องนี้ควรให้ศาลเป็นผู้พิจารณา พร้อมทั้งกล่าวถึงพลเอกประยุทธ์ว่า มิใช่ “ผู้ที่เป็นกลาง” แต่เป็น “ผู้มีส่วนได้เสีย” เพราะเห็นต่างกันในนโยบายการแก้ปัญหาในเรื่องข้าว ดังนั้นการใช้อำนาจหน้าที่ที่มีอยู่ในปัจจุบันเป็นผู้ตัดสินความถูกผิดโดยการใช้อำนาจนายกรัฐมนตรีลงนามในคำสั่งทางปกครองเพื่อสั่งให้บุคคลหนึ่งบุคคลใดชำระค่าเสียหายทั้งๆ ที่ศาลยังไม่มีคำตัดสิน ถือเป็นการขัดต่อ “หลักนิติธรรม” อย่างยิ่ง
เมื่ออดีตนายกฯ ยิ่งลักษณ์ เปิดเกมฟ้องฐานเสียงว่าเธอไม่ได้รับความเป็นธรรม ร้อนถึงนายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายกฎหมาย ต้องออกมาตอบโต้เป็นรายวัน
ในวันเดียวกันนั้นศาลอาญานัดสอบคำให้การจำเลยและตรวจพยานหลักฐานในคดีดำหมายเลข อ.1824/2558 ที่กองทัพบกมอบอำนาจให้ พล.ต.ศรายุทธ กลิ่นมาหอม ผู้อำนวยการสำนักงานพระธรรมนูญทหารบก เป็นโจทก์ยื่นฟ้องนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เป็นจำเลยในความผิดฐานหมิ่นประมาทผู้อื่นโดยการโฆษณา ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 326 และ 328
จากการที่นายทักษิณ ชินวัตร ได้ให้สัมภาษณ์เมื่อวันที่ 19-20 พฤษภาคม 2558 ใส่ความกองทัพบกที่ประเทศเกาหลีใต้ ผ่านโซเชียลเน็ตเวิร์กว่าเป็นบุคคลน่ารังเกียจ เป็นอันตรายต่อประเทศชาติ และเป็นบุคคลที่ทำความเสียหายให้แก่ประเทศชาติ
ศาลพิเคราะห์แล้วเห็นว่า จำเลยได้รับทราบนัดโดยชอบแล้ว แต่ไม่เดินทางมาศาล และขณะนี้ตัวจำเลยไม่ได้อยู่ในราชอาณาจักรจึงมีพฤติการณ์หลบหนี ให้ออกหมายจับจำเลยเพื่อให้ได้ตัวมาพิจารณาภายในอายุความ
เพื่อไทยผนึกกำลังโต้
“ตอนนี้เป็นการงัดเอากฎหมายเข้ามาต่อสู้กัน ระหว่างทีมกฎหมายของรัฐบาลกับทีมกฎหมายของนางสาวยิ่งลักษณ์” นักกฎหมายแถวหน้าของเมืองไทยกล่าว
แต่ครั้งนี้เดินเป็นระบบ ใช้พรรคเพื่อไทยเป็นตัวท้วงติงหรือตรวจสอบในเรื่องการร่างรัฐธรรมนูญ เห็นได้จากการยื่นข้อเสนอของพรรค 10 ข้อต่อการร่างรัฐธรรมนูญ ฉบับที่มีนายมีชัย ฤชุพันธุ์ เป็นประธาน กรรมาธิการร่างรัฐธรรมนูญ เมื่อ 14 ตุลาคม 2558 เนื้อหาหลักเป็นการแสดงความกังวลต่อการสกัดกั้นพรรคเพื่อไทย
เฟซบุ๊กของพรรคเพื่อไทยและเฟซบุ๊ของนางสาวยิ่งลักษณ์ต่างรับลูกและโพสต์ข้อความ เนื้อหา กราฟิกไปในทางเดียวกัน
อย่างตอนนี้เมื่อ 14 ตุลาคม 2558 เฟซบุ๊กของนายกิตติรัตน์ ณ ระนอง หัวหน้าทีมเศรษฐกิจของรัฐบาลนางสาวยิ่งลักษณ์ ได้ทำคลิปความยาว 2.25 นาที ออกมายืนยันว่าโครงการรับจำนำข้าวไม่ได้สร้างความเสียหาย แต่ยังเป็นประโยชน์กับชาวนาและเศรษฐกิจไทย จึงไม่สามารถคิดเป็นกำไรหรือขาดทุนได้ เงิน 878,209 ล้านบาทถึงมือชาวนา เศรษฐกิจขยายตัว 7 แสนล้านบาท รัฐเก็บภาษีได้เพิ่มขึ้นปีละกว่า 1 แสนล้านบาท หรือ 2.5 แสนล้านบาทตลอดอายุโครงการ และออกคลิปใหม่ความยาว 3.53 นาที เมื่อ 16 ตุลาคมในเนื้อหาที่ใกล้เคียงกัน
รวมไปถึงแกนนำคนสำคัญอื่นๆ ต่างก็ออกมาเสนอความเห็นผ่านโลกโซเชียล และช่องทางอื่นๆ ผ่านแกนนำ นปช.
สงครามกฎหมาย
ทีมกฎหมายของนางสาวยิ่งลักษณ์เลือกสู้ในคดีแพ่งก่อน ที่คาดว่ารัฐบาลจะมีการออกคำสั่งทางปกครองให้ชดใช้ค่าเสียหายจากโครงการรับจำนำข้าวราว 5 แสนล้านบาท
ด้วยการออกจดหมายเปิดผนึกในนามของนางสาวยิ่งลักษณ์ ที่เนื้อหาคล้ายกับว่ารัฐบาลใช้อำนาจที่มีกระทำต่อเธอโดยไม่ได้รับความยุติธรรม และเรียกร้องให้คดีนี้เข้าสู่กระบวนการพิจารณาของศาลแทน ด้านหนึ่งเป็นการเรียกร้องตามสิทธิของนางสาวยิ่งลักษณ์ อีกด้านหนึ่งเป็นการประกาศให้สาธารณะได้รับทราบไปในตัว
“จริงๆ แล้วไม่ว่ารัฐบาลจะใช้อำนาจตามพระราชบัญญัติความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ. 2539 เรียกร้องค่าเสียหาย แต่ในทางปฏิบัติแล้วผู้ที่ถูกกล่าวหาก็มักใช้กระบวนการอุทธรณ์เพื่อให้เรื่องนี้เข้าสู่การพิจารณาของศาลแทบทั้งสิ้น”
เพียงแต่ว่ารัฐบาลเพิ่มขั้นตอนนี้เข้าไปก่อนไปสู่กระบวนการทางศาล จึงกลายเป็นช่องให้ทีมกฎหมายของนางสาวยิ่งลักษณ์หยิบยกเรื่องนี้มาสร้างความได้เปรียบ อย่างน้อยก็ฟ้องฐานเสียงของพรรคเพื่อไทยได้ว่ายิ่งลักษณ์ถูกรังแก ส่วนเรื่องค่าธรรมเนียมศาลราว 500-600 ล้านบาทนั้นคงไม่ใช่ปัญหา เพราะถึงอย่างไรศาลก็พิจารณาให้เองเมื่อคดีถึงที่สุด
อย่างไรก็ตามเมื่อเรื่องเข้าสู่กระบวนการของศาลแล้ว การพิจารณาคดีทุกอย่างเป็นดุลพินิจของศาล เป็นไปได้ทั้งไม่ต้องรับผิด หรือต้องรับผิด หากต้องรับผิดก็ต้องไปดูอีกว่าศาลท่านจะสั่งให้มีการชดใช้เท่าไหร่อาจไม่ถึง 5 แสนล้านบาทก็ได้ นี่จึงเป็นสิ่งที่ทีมทนายความของยิ่งลักษณ์ใช้เป็นแนวทางต่อสู้
แม้ว่าท้ายที่สุดยิ่งลักษณ์หากจะต้องรับผิดชอบกับความเสียหายที่เกิดขึ้นจากโครงการรับจำนำข้าว หากต้องมีการยึดทรัพย์ในวงเงินหลักแสนล้านบาทนั้น ถ้ามีก็ยึดแต่ถ้ามีไม่ถึง สุดท้ายก็ต้องกลายเป็นบุคคลล้มละลาย ซึ่งในทางกฎหมายนั้น เพียง 3 ปีก็สามารถกลับมาเป็นบุคคลปกติได้ ซึ่งไม่ใช่เรื่องที่ใหญ่โตนัก อีกทั้งบุคคลในระดับนี้จะมีทรัพย์สินในชื่อของตนเองเพียงบางส่วนเท่านั้น ที่เหลือจะกระจายไปยังบุคคลอื่นซึ่งยากต่อกระบวนการทางกฎหมายจะตามถึง
อีกทั้งกระบวนการต่อสู้กันในทางกฎหมายนั้น มีความเป็นไปได้สูงที่จะวางให้นางสาวยิ่งลักษณ์เป็นแค่ผู้รับผิดชอบในปลายทางในฐานะผู้บังคับบัญชา ความผิดจากการกระทำนั้นจะผลักไปที่ตัวรัฐมนตรีที่รับผิดชอบในโครงการนี้แทน หากเป็นสูตรนี้ก็เท่ากับลูกน้องต้องตายแทนนาย คราวนี้ก็ขึ้นอยู่กับลูกน้องเหล่านั้นว่าจะรับสภาพได้หรือไม่
ยื้อจนพ้นอำนาจ
ถือเป็นการชิงจังหวะกันและตรวจสอบบางสิ่งบางอย่างไปในตัวของทั้งฝ่ายรัฐบาลและคู่กรณี รัฐบาลอ้างถึง พ.ร.บ.ความรับผิดฯ แต่ทีมยิ่งลักษณ์อ้างเรื่องพ.ร.บ.วิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. 2539 ยกมาตรา 4 วงเล็บ 3 ที่มิให้บังคับใช้กับการพิจารณาของนายกรัฐมนตรีหรือรัฐมนตรีในงานทางนโยบายโดยตรง ซึ่งฝ่ายนี้อ้างตลอดว่าเป็นนโยบายที่แถลงต่อรัฐสภา
หากว่ากันด้วยเรื่องการใช้อำนาจของรัฐบาลนั้น ตัวมาตรา 44 ก็สามารถบังคับใช้ได้เลย สั่งยึดหรืออายัดทรัพย์ไว้ก่อน แต่รัฐเลือกใช้กฎหมายที่นุ่มนวลกว่า เพื่อแสดงให้เห็นว่าไม่ได้มุ่งเป้าไปที่การเล่นงานฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง และเปิดโอกาสให้คู่กรณีสามารถใช้สิทธิตามกระบวนการยุติธรรมได้
ดังนั้นการดำเนินการทางกฎหมายจึงต้องกระทำอย่างรอบคอบ โดยเฉพาะทีมกฎหมายของรัฐบาล เพราะหากพลาดขึ้นมาความเสียหายทั้งหมดจะตกอยู่กับคณะรักษาความสงบแห่งชาติ
เมื่อทุกอย่างเข้าสู่กระบวนการทางศาลต้องมีเรื่องของการสืบพยาน โครงการรับจำนำข้าวถือเป็นคดีใหญ่ มีบุคคลเข้ามาเกี่ยวข้องมาก เปลี่ยนรัฐมนตรีที่รับผิดชอบก็หลายคนและมีหลายหน่วยงานเกี่ยวข้อง ทั้งในฝั่งของรัฐบาล และองค์กรอิสระที่ทำหน้าที่ท้วงติงโครงการดังกล่าวในเวลานั้น
ดังนั้นการนัดสืบต้องใช้เวลานานและยังมีกรรมวิธีของทนายฝ่ายผู้ถูกกล่าวหาที่จะยืดระยะเวลาออกไปอีก เพราะเป้าหมายหลักในการต่อสู้ของผู้ถูกกล่าวหา ย่อมต้องการให้เรื่องนี้ยืดออกไปนานที่สุดเพื่อให้คณะรักษาความสงบแห่งชาติพ้นจากเทอมที่กำหนดไว้คือปี 2560
ด้วยความหวังว่าหากมีการเลือกตั้งใหม่แล้วพรรคเพื่อไทยได้กลับมาเป็นรัฐบาลอีกครั้ง คดีความที่เคยเป็นผลลบต่อคนในตระกูลชินวัตรและพรรคเพื่อไทย อาจเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้น
น้องตามพี่ชาย
นอกจากคดีทางแพ่งแล้ว นางสาวยิ่งลักษณ์ยังถูกดำเนินคดีอาญาที่อยู่ในชั้นของการพิจารณาของศาลอาญาแผนกคดีอาญาผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง คดีทางแพ่งหากผิดจริงก็เป็นเรื่องของการยึดทรัพย์หรือถูกสั่งให้เป็นบุคคลล้มละลาย น่าจะเป็นอะไรที่นักการเมืองมืออาชีพรับสภาพได้ แต่คดีอาญาหากผิดจริงโทษคือจำคุก
เชื่อว่าพี่ชายอย่างทักษิณ ชินวัตร คงไม่ยอมให้น้องสาวต้องมารับกรรมแทนตัวเอง หากโดนทั้งยึดทรัพย์และถูกสั่งจำคุกด้วยแล้ว ทางเดียวที่เหลืออยู่คือต้องมีกระบวนการต่อรอง ซึ่งขึ้นกับพลังในการต่อรองในขณะนั้นด้วยว่าจะมีมากพอในการต่อรองหรือไม่ เพื่อดึงให้น้องสาวออกมาใช้ชีวิตในต่างประเทศเช่นเดียวกับตัวเอง
นับตั้งแต่รัฐบาลของพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา เดินเครื่องที่จะดำเนินคดีทางแพ่งต่อนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี จากพรรคเพื่อไทย ในโครงการรับจำนำข้าวที่เกิดความเสียหายขึ้นจำนวนมาก ที่สั่งให้กระทรวงพาณิชย์และกระทรวงการคลังไปรายงานตัวเลขความเสียหายมาภายในวันที่ 30 กันยายน 2558
29 กันยายน 2558 นางสาวยิ่งลักษณ์พร้อมด้วยนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ อดีตนายกรัฐมนตรี พร้อมทนายความเดินทางมายื่นฟ้องนายตระกูล วินิจนัยภาค อัยการสูงสุด และคณะทำงานพิจารณาคดีจำนำข้าว ที่มีความเห็นสั่งฟ้องนางสาวยิ่งลักษณ์ต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ในความผิดฐานร่วมกันปฏิบัติหน้าที่มิชอบ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 และร่วมกันกระทำผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ในการยุติธรรม ตามมาตรา 200
แต่ต้องผิดหวังเมื่อศาลพิจารณาแล้วไม่รับฟ้อง เมื่อ 6 ตุลาคม 2558 เนื่องจากเห็นว่า การกระทำของอัยการสูงสุดกับพวกรวม 4 คน ไม่ใช่การปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ และไม่มีเจตนากลั่นแกล้งให้โจทก์ต้องรับโทษหนักขึ้น จึงพิพากษายกฟ้องโดยไม่รับคดีนี้ไว้พิจารณา
12 ตุลาคม 2558 นางสาวยิ่งลักษณ์ โต้กลับรัฐบาลพลเอกประยุทธ์อีกครั้งด้วยการส่งจดหมายเปิดผนึกถึงพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เรื่องการดำเนินการให้มีการเรียกร้องค่าเสียหายทางคดีแพ่งต่อการดำเนินนโยบายรับจำนำข้าว ที่มีจะมีการใช้คำสั่งทางปกครอง สั่งให้บุคคลที่เกี่ยวข้องชำระหนี้เหมือนคำสั่งยึดทรัพย์ เพียงเพื่อหลีกเลี่ยงค่าธรรมเนียมในการฟ้องเรียกค่าเสียหายที่จะต้องเสียเงินค่าธรรมเนียมศาล ซึ่งเท่ากับว่าท่านได้ใช้อำนาจหน้าที่ของท่านเสมือนหนึ่งเป็นคำพิพากษาของศาล
โดยนางสาวยิ่งลักษณ์เสนอให้เรื่องนี้ควรให้ศาลเป็นผู้พิจารณา พร้อมทั้งกล่าวถึงพลเอกประยุทธ์ว่า มิใช่ “ผู้ที่เป็นกลาง” แต่เป็น “ผู้มีส่วนได้เสีย” เพราะเห็นต่างกันในนโยบายการแก้ปัญหาในเรื่องข้าว ดังนั้นการใช้อำนาจหน้าที่ที่มีอยู่ในปัจจุบันเป็นผู้ตัดสินความถูกผิดโดยการใช้อำนาจนายกรัฐมนตรีลงนามในคำสั่งทางปกครองเพื่อสั่งให้บุคคลหนึ่งบุคคลใดชำระค่าเสียหายทั้งๆ ที่ศาลยังไม่มีคำตัดสิน ถือเป็นการขัดต่อ “หลักนิติธรรม” อย่างยิ่ง
เมื่ออดีตนายกฯ ยิ่งลักษณ์ เปิดเกมฟ้องฐานเสียงว่าเธอไม่ได้รับความเป็นธรรม ร้อนถึงนายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายกฎหมาย ต้องออกมาตอบโต้เป็นรายวัน
ในวันเดียวกันนั้นศาลอาญานัดสอบคำให้การจำเลยและตรวจพยานหลักฐานในคดีดำหมายเลข อ.1824/2558 ที่กองทัพบกมอบอำนาจให้ พล.ต.ศรายุทธ กลิ่นมาหอม ผู้อำนวยการสำนักงานพระธรรมนูญทหารบก เป็นโจทก์ยื่นฟ้องนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เป็นจำเลยในความผิดฐานหมิ่นประมาทผู้อื่นโดยการโฆษณา ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 326 และ 328
จากการที่นายทักษิณ ชินวัตร ได้ให้สัมภาษณ์เมื่อวันที่ 19-20 พฤษภาคม 2558 ใส่ความกองทัพบกที่ประเทศเกาหลีใต้ ผ่านโซเชียลเน็ตเวิร์กว่าเป็นบุคคลน่ารังเกียจ เป็นอันตรายต่อประเทศชาติ และเป็นบุคคลที่ทำความเสียหายให้แก่ประเทศชาติ
ศาลพิเคราะห์แล้วเห็นว่า จำเลยได้รับทราบนัดโดยชอบแล้ว แต่ไม่เดินทางมาศาล และขณะนี้ตัวจำเลยไม่ได้อยู่ในราชอาณาจักรจึงมีพฤติการณ์หลบหนี ให้ออกหมายจับจำเลยเพื่อให้ได้ตัวมาพิจารณาภายในอายุความ
เพื่อไทยผนึกกำลังโต้
“ตอนนี้เป็นการงัดเอากฎหมายเข้ามาต่อสู้กัน ระหว่างทีมกฎหมายของรัฐบาลกับทีมกฎหมายของนางสาวยิ่งลักษณ์” นักกฎหมายแถวหน้าของเมืองไทยกล่าว
แต่ครั้งนี้เดินเป็นระบบ ใช้พรรคเพื่อไทยเป็นตัวท้วงติงหรือตรวจสอบในเรื่องการร่างรัฐธรรมนูญ เห็นได้จากการยื่นข้อเสนอของพรรค 10 ข้อต่อการร่างรัฐธรรมนูญ ฉบับที่มีนายมีชัย ฤชุพันธุ์ เป็นประธาน กรรมาธิการร่างรัฐธรรมนูญ เมื่อ 14 ตุลาคม 2558 เนื้อหาหลักเป็นการแสดงความกังวลต่อการสกัดกั้นพรรคเพื่อไทย
เฟซบุ๊กของพรรคเพื่อไทยและเฟซบุ๊ของนางสาวยิ่งลักษณ์ต่างรับลูกและโพสต์ข้อความ เนื้อหา กราฟิกไปในทางเดียวกัน
อย่างตอนนี้เมื่อ 14 ตุลาคม 2558 เฟซบุ๊กของนายกิตติรัตน์ ณ ระนอง หัวหน้าทีมเศรษฐกิจของรัฐบาลนางสาวยิ่งลักษณ์ ได้ทำคลิปความยาว 2.25 นาที ออกมายืนยันว่าโครงการรับจำนำข้าวไม่ได้สร้างความเสียหาย แต่ยังเป็นประโยชน์กับชาวนาและเศรษฐกิจไทย จึงไม่สามารถคิดเป็นกำไรหรือขาดทุนได้ เงิน 878,209 ล้านบาทถึงมือชาวนา เศรษฐกิจขยายตัว 7 แสนล้านบาท รัฐเก็บภาษีได้เพิ่มขึ้นปีละกว่า 1 แสนล้านบาท หรือ 2.5 แสนล้านบาทตลอดอายุโครงการ และออกคลิปใหม่ความยาว 3.53 นาที เมื่อ 16 ตุลาคมในเนื้อหาที่ใกล้เคียงกัน
รวมไปถึงแกนนำคนสำคัญอื่นๆ ต่างก็ออกมาเสนอความเห็นผ่านโลกโซเชียล และช่องทางอื่นๆ ผ่านแกนนำ นปช.
สงครามกฎหมาย
ทีมกฎหมายของนางสาวยิ่งลักษณ์เลือกสู้ในคดีแพ่งก่อน ที่คาดว่ารัฐบาลจะมีการออกคำสั่งทางปกครองให้ชดใช้ค่าเสียหายจากโครงการรับจำนำข้าวราว 5 แสนล้านบาท
ด้วยการออกจดหมายเปิดผนึกในนามของนางสาวยิ่งลักษณ์ ที่เนื้อหาคล้ายกับว่ารัฐบาลใช้อำนาจที่มีกระทำต่อเธอโดยไม่ได้รับความยุติธรรม และเรียกร้องให้คดีนี้เข้าสู่กระบวนการพิจารณาของศาลแทน ด้านหนึ่งเป็นการเรียกร้องตามสิทธิของนางสาวยิ่งลักษณ์ อีกด้านหนึ่งเป็นการประกาศให้สาธารณะได้รับทราบไปในตัว
“จริงๆ แล้วไม่ว่ารัฐบาลจะใช้อำนาจตามพระราชบัญญัติความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ. 2539 เรียกร้องค่าเสียหาย แต่ในทางปฏิบัติแล้วผู้ที่ถูกกล่าวหาก็มักใช้กระบวนการอุทธรณ์เพื่อให้เรื่องนี้เข้าสู่การพิจารณาของศาลแทบทั้งสิ้น”
เพียงแต่ว่ารัฐบาลเพิ่มขั้นตอนนี้เข้าไปก่อนไปสู่กระบวนการทางศาล จึงกลายเป็นช่องให้ทีมกฎหมายของนางสาวยิ่งลักษณ์หยิบยกเรื่องนี้มาสร้างความได้เปรียบ อย่างน้อยก็ฟ้องฐานเสียงของพรรคเพื่อไทยได้ว่ายิ่งลักษณ์ถูกรังแก ส่วนเรื่องค่าธรรมเนียมศาลราว 500-600 ล้านบาทนั้นคงไม่ใช่ปัญหา เพราะถึงอย่างไรศาลก็พิจารณาให้เองเมื่อคดีถึงที่สุด
อย่างไรก็ตามเมื่อเรื่องเข้าสู่กระบวนการของศาลแล้ว การพิจารณาคดีทุกอย่างเป็นดุลพินิจของศาล เป็นไปได้ทั้งไม่ต้องรับผิด หรือต้องรับผิด หากต้องรับผิดก็ต้องไปดูอีกว่าศาลท่านจะสั่งให้มีการชดใช้เท่าไหร่อาจไม่ถึง 5 แสนล้านบาทก็ได้ นี่จึงเป็นสิ่งที่ทีมทนายความของยิ่งลักษณ์ใช้เป็นแนวทางต่อสู้
แม้ว่าท้ายที่สุดยิ่งลักษณ์หากจะต้องรับผิดชอบกับความเสียหายที่เกิดขึ้นจากโครงการรับจำนำข้าว หากต้องมีการยึดทรัพย์ในวงเงินหลักแสนล้านบาทนั้น ถ้ามีก็ยึดแต่ถ้ามีไม่ถึง สุดท้ายก็ต้องกลายเป็นบุคคลล้มละลาย ซึ่งในทางกฎหมายนั้น เพียง 3 ปีก็สามารถกลับมาเป็นบุคคลปกติได้ ซึ่งไม่ใช่เรื่องที่ใหญ่โตนัก อีกทั้งบุคคลในระดับนี้จะมีทรัพย์สินในชื่อของตนเองเพียงบางส่วนเท่านั้น ที่เหลือจะกระจายไปยังบุคคลอื่นซึ่งยากต่อกระบวนการทางกฎหมายจะตามถึง
อีกทั้งกระบวนการต่อสู้กันในทางกฎหมายนั้น มีความเป็นไปได้สูงที่จะวางให้นางสาวยิ่งลักษณ์เป็นแค่ผู้รับผิดชอบในปลายทางในฐานะผู้บังคับบัญชา ความผิดจากการกระทำนั้นจะผลักไปที่ตัวรัฐมนตรีที่รับผิดชอบในโครงการนี้แทน หากเป็นสูตรนี้ก็เท่ากับลูกน้องต้องตายแทนนาย คราวนี้ก็ขึ้นอยู่กับลูกน้องเหล่านั้นว่าจะรับสภาพได้หรือไม่
ยื้อจนพ้นอำนาจ
ถือเป็นการชิงจังหวะกันและตรวจสอบบางสิ่งบางอย่างไปในตัวของทั้งฝ่ายรัฐบาลและคู่กรณี รัฐบาลอ้างถึง พ.ร.บ.ความรับผิดฯ แต่ทีมยิ่งลักษณ์อ้างเรื่องพ.ร.บ.วิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. 2539 ยกมาตรา 4 วงเล็บ 3 ที่มิให้บังคับใช้กับการพิจารณาของนายกรัฐมนตรีหรือรัฐมนตรีในงานทางนโยบายโดยตรง ซึ่งฝ่ายนี้อ้างตลอดว่าเป็นนโยบายที่แถลงต่อรัฐสภา
หากว่ากันด้วยเรื่องการใช้อำนาจของรัฐบาลนั้น ตัวมาตรา 44 ก็สามารถบังคับใช้ได้เลย สั่งยึดหรืออายัดทรัพย์ไว้ก่อน แต่รัฐเลือกใช้กฎหมายที่นุ่มนวลกว่า เพื่อแสดงให้เห็นว่าไม่ได้มุ่งเป้าไปที่การเล่นงานฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง และเปิดโอกาสให้คู่กรณีสามารถใช้สิทธิตามกระบวนการยุติธรรมได้
ดังนั้นการดำเนินการทางกฎหมายจึงต้องกระทำอย่างรอบคอบ โดยเฉพาะทีมกฎหมายของรัฐบาล เพราะหากพลาดขึ้นมาความเสียหายทั้งหมดจะตกอยู่กับคณะรักษาความสงบแห่งชาติ
เมื่อทุกอย่างเข้าสู่กระบวนการทางศาลต้องมีเรื่องของการสืบพยาน โครงการรับจำนำข้าวถือเป็นคดีใหญ่ มีบุคคลเข้ามาเกี่ยวข้องมาก เปลี่ยนรัฐมนตรีที่รับผิดชอบก็หลายคนและมีหลายหน่วยงานเกี่ยวข้อง ทั้งในฝั่งของรัฐบาล และองค์กรอิสระที่ทำหน้าที่ท้วงติงโครงการดังกล่าวในเวลานั้น
ดังนั้นการนัดสืบต้องใช้เวลานานและยังมีกรรมวิธีของทนายฝ่ายผู้ถูกกล่าวหาที่จะยืดระยะเวลาออกไปอีก เพราะเป้าหมายหลักในการต่อสู้ของผู้ถูกกล่าวหา ย่อมต้องการให้เรื่องนี้ยืดออกไปนานที่สุดเพื่อให้คณะรักษาความสงบแห่งชาติพ้นจากเทอมที่กำหนดไว้คือปี 2560
ด้วยความหวังว่าหากมีการเลือกตั้งใหม่แล้วพรรคเพื่อไทยได้กลับมาเป็นรัฐบาลอีกครั้ง คดีความที่เคยเป็นผลลบต่อคนในตระกูลชินวัตรและพรรคเพื่อไทย อาจเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้น
น้องตามพี่ชาย
นอกจากคดีทางแพ่งแล้ว นางสาวยิ่งลักษณ์ยังถูกดำเนินคดีอาญาที่อยู่ในชั้นของการพิจารณาของศาลอาญาแผนกคดีอาญาผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง คดีทางแพ่งหากผิดจริงก็เป็นเรื่องของการยึดทรัพย์หรือถูกสั่งให้เป็นบุคคลล้มละลาย น่าจะเป็นอะไรที่นักการเมืองมืออาชีพรับสภาพได้ แต่คดีอาญาหากผิดจริงโทษคือจำคุก
เชื่อว่าพี่ชายอย่างทักษิณ ชินวัตร คงไม่ยอมให้น้องสาวต้องมารับกรรมแทนตัวเอง หากโดนทั้งยึดทรัพย์และถูกสั่งจำคุกด้วยแล้ว ทางเดียวที่เหลืออยู่คือต้องมีกระบวนการต่อรอง ซึ่งขึ้นกับพลังในการต่อรองในขณะนั้นด้วยว่าจะมีมากพอในการต่อรองหรือไม่ เพื่อดึงให้น้องสาวออกมาใช้ชีวิตในต่างประเทศเช่นเดียวกับตัวเอง