ASTVผู้จัดการรายวัน-ครม.ไฟเขียว ให้รฟม.ใช้พ.ร.บ.ร่วมทุนปี 56 คัดเลือกเอกชนเดินรถสีน้ำเงินส่วนต่อขยาย “คมนาคม”เร่งสรุปผลศึกษารูปแบบลงทุน PPP-Net Cost (สัมปทานเดินรถ) แทน PPP -Gross Cost (จ้างเอกชนเดินรถ) เสนอ สคร.และกก. PPP ภายใน 3 เดือน “อาคม” เผยกก.มาตรา 35 จะเคาะว่าจะประมูลหรือเจรจา
นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมเปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) วานนี้ (6 ต.ค.) มีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ ในการยุติการดำเนินการคัดเลือกเอกชนลงทุนงานระบบรถไฟฟ้าและรับจ้างเดินรถในโครงการรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงินส่วนต่อขยาย (หัวลำโพง-บางแค และเตาปูน-ท่าพระ) ระยะทาง 27 กม. ตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยเอกชนเข้าร่วมงานหรือดำเนินการในกิจการของรัฐ พ.ศ. 2535 (พ.ร.บ.ร่วมทุนฯ 35)ซึ่งเป็นไปมติครม.เมื่อวันที่ 28 ธ.ค. 2553 โดยให้ รฟม.ดำเนินการตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยการให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ พ.ศ. 2556 (พ.ร.บ. ร่วมทุนฯ 56) เนื่องจากเห็นว่า มติครม.เดิมเมื่อปี 2553 ที่เห็นชอบให้เอกชนลงทุนในรูปแบบ PPP -Gross Cost (รัฐเป็นผู้รับความเสี่ยงค่าโดยสารและจ้างเอกชนเป็นผู้เดินรถและซ่อมบำรุง โดยรัฐจ่ายค่าจ้างเดินรถ) แต่ช่วงเวลาที่ผ่านมาตั้งแต่ปี 2553 สภาพการเดินทางในกรุงเทพฯเปลี่ยนไป โดยโครงข่ายระบบขนส่งมวลชนได้เปิดให้บริการเพิ่มขึ้น มีจำนวนผู้โดยสารแต่ละเส้นทางมากขึ้น รถไฟฟ้า MRT และ BTS มีการเชื่อมต่อกันซึ่งทำให้เอกชนไม่ต้องรับความเสี่ยงมากนัก
โดยหลังจากครม.เห็นชอบการเปลี่ยนมาใช้พ.ร.บ.ร่วมทุนฯ 56 แล้วจะมี 5 ขั้นตอนที่จะต้องดำเนินการ 1. กระทรวงคมนาคมจะเร่งรัดให้การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) เสนอผลการศึกษาและวิเคราะห์ การทบทวนรูปแบบการลงทุนระบบรถไฟฟ้าและการเดินรถที่เหมาะสม ซึ่งจะเป็นการเปลี่ยนจาก รูปแบบ PPP -Gross Cost เปลี่ยนเป็นรูปแบบ PPP-Net Cost (สัมปทานโดยเอกชนเป็นผู้เดินรถและซ่อมบำรุง พร้อมทั้งรับความเสี่ยงค่าโดยสารและจ่ายผลตอบแทนให้รัฐ) เพื่อเสนอต่อสำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ (สคร.) ซึ่งคาดว่าจะใช้เวลาประมาณ 3 เดือน 2. สคร.เสนอเรื่องต่อ คณะกรรมการนโยบายการให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ (คณะกรรมการ PPP) ที่มีนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธาน 3. คณะกรรมการ PPP พิจารณา 4. หากคณะกรรมการ PPP เห็นชอบรูปแบบ PPP-Net Cost จะตั้งคณะกรรมการมาตรา 35 แห่งพ.ร.บ.ร่วมทุนฯ56 เพื่อยกร่าง TOR และเสนอวิธีการคัดเลือกเอกชนต่อคณะกรรมการ PPP ซึ่ง เมื่อ กก.มาตรา 35 ไม่เห็นเป็นอย่างอื่น ตามหลักกฎหมายจะต้องเปิดประกวดราคา แต่หากมีความเห็นเป็นอย่างอื่น เช่นใช้การเจรจา จะต้องเสนอคณะกรรมการ PPPพิจารณา
ทั้งนี้ กรณีที่คณะกรรมการ PPPไม่เห็นด้วยกับการใช้รูปแบบ PPP-Net Cost ก็จะต้องถือว่าเป็นที่สิ้นสุด ส่วนวิธีการคัดเลือกเอกชน ตามพ.ร.บ.ร่วมทุนฯ 56 ระบุให้ใช้การประกวดราคา ยกเว้นคณะกรรมการมาตรา 35 เห็นว่าควรใช้วิธีอื่นที่ไม่ใช่การประมูล สามารถเสนอสคร.ได้ หากสคร.เห็นด้วยก็เดินหน้าเจรจาได้ แต่หากสคร.ไม่เห็นด้วยต้องเสนอคณะกรรมการ PPP พิจารณาและถือเป็นที่สิ้นสุด ส่วนครม.จะอยู่ในขั้นตอนสุดท้ายเมื่อสรุปผลการคัดเลือกได้ตัวเอกชนแล้วไม่ว่าจะใช้วิธีประมูลหรือเจรจา เพื่อยกร่างสัญญาและเสนอครม.เห็นชอบ
“เหตุผลที่รฟม.เสนอใช้รูปแบบ PPP-Net Cost เพราะขณะนี้ความเสี่ยงของเอกชนน้อยลงสามารถรับภาระการลงทุนระบบได้ ในขณะที่จะช่วยลดภาระการลงทุนของภาครัฐลง และขั้นตอนการพิจารณาจะเบ็ดเสร็จ ในคณะกรรมการ PPP ที่รองนายกฯสมคิดเป็นประธาน ซึ่งพร้อมที่จะพิจารณาเรื่องนี้ โดยเร่งด่วน ถือว่าคล่องตัวมากกว่า พ.ร.บ.ร่วมทุนฯ 35 เดิมที่ต้องเสนอครม. ตอนนี้ ผมจะเร่ง รฟม.สรุปผลการวิเคราะห์ได้ใน 2 เดือนและส่งไปที่ สคร.ทันที โดยข้อมูลจะต้องครบถ้วนเพื่อตอบคำถามได้ทั้งหมด”นายอาคมกล่าว
นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมเปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) วานนี้ (6 ต.ค.) มีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ ในการยุติการดำเนินการคัดเลือกเอกชนลงทุนงานระบบรถไฟฟ้าและรับจ้างเดินรถในโครงการรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงินส่วนต่อขยาย (หัวลำโพง-บางแค และเตาปูน-ท่าพระ) ระยะทาง 27 กม. ตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยเอกชนเข้าร่วมงานหรือดำเนินการในกิจการของรัฐ พ.ศ. 2535 (พ.ร.บ.ร่วมทุนฯ 35)ซึ่งเป็นไปมติครม.เมื่อวันที่ 28 ธ.ค. 2553 โดยให้ รฟม.ดำเนินการตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยการให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ พ.ศ. 2556 (พ.ร.บ. ร่วมทุนฯ 56) เนื่องจากเห็นว่า มติครม.เดิมเมื่อปี 2553 ที่เห็นชอบให้เอกชนลงทุนในรูปแบบ PPP -Gross Cost (รัฐเป็นผู้รับความเสี่ยงค่าโดยสารและจ้างเอกชนเป็นผู้เดินรถและซ่อมบำรุง โดยรัฐจ่ายค่าจ้างเดินรถ) แต่ช่วงเวลาที่ผ่านมาตั้งแต่ปี 2553 สภาพการเดินทางในกรุงเทพฯเปลี่ยนไป โดยโครงข่ายระบบขนส่งมวลชนได้เปิดให้บริการเพิ่มขึ้น มีจำนวนผู้โดยสารแต่ละเส้นทางมากขึ้น รถไฟฟ้า MRT และ BTS มีการเชื่อมต่อกันซึ่งทำให้เอกชนไม่ต้องรับความเสี่ยงมากนัก
โดยหลังจากครม.เห็นชอบการเปลี่ยนมาใช้พ.ร.บ.ร่วมทุนฯ 56 แล้วจะมี 5 ขั้นตอนที่จะต้องดำเนินการ 1. กระทรวงคมนาคมจะเร่งรัดให้การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) เสนอผลการศึกษาและวิเคราะห์ การทบทวนรูปแบบการลงทุนระบบรถไฟฟ้าและการเดินรถที่เหมาะสม ซึ่งจะเป็นการเปลี่ยนจาก รูปแบบ PPP -Gross Cost เปลี่ยนเป็นรูปแบบ PPP-Net Cost (สัมปทานโดยเอกชนเป็นผู้เดินรถและซ่อมบำรุง พร้อมทั้งรับความเสี่ยงค่าโดยสารและจ่ายผลตอบแทนให้รัฐ) เพื่อเสนอต่อสำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ (สคร.) ซึ่งคาดว่าจะใช้เวลาประมาณ 3 เดือน 2. สคร.เสนอเรื่องต่อ คณะกรรมการนโยบายการให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ (คณะกรรมการ PPP) ที่มีนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธาน 3. คณะกรรมการ PPP พิจารณา 4. หากคณะกรรมการ PPP เห็นชอบรูปแบบ PPP-Net Cost จะตั้งคณะกรรมการมาตรา 35 แห่งพ.ร.บ.ร่วมทุนฯ56 เพื่อยกร่าง TOR และเสนอวิธีการคัดเลือกเอกชนต่อคณะกรรมการ PPP ซึ่ง เมื่อ กก.มาตรา 35 ไม่เห็นเป็นอย่างอื่น ตามหลักกฎหมายจะต้องเปิดประกวดราคา แต่หากมีความเห็นเป็นอย่างอื่น เช่นใช้การเจรจา จะต้องเสนอคณะกรรมการ PPPพิจารณา
ทั้งนี้ กรณีที่คณะกรรมการ PPPไม่เห็นด้วยกับการใช้รูปแบบ PPP-Net Cost ก็จะต้องถือว่าเป็นที่สิ้นสุด ส่วนวิธีการคัดเลือกเอกชน ตามพ.ร.บ.ร่วมทุนฯ 56 ระบุให้ใช้การประกวดราคา ยกเว้นคณะกรรมการมาตรา 35 เห็นว่าควรใช้วิธีอื่นที่ไม่ใช่การประมูล สามารถเสนอสคร.ได้ หากสคร.เห็นด้วยก็เดินหน้าเจรจาได้ แต่หากสคร.ไม่เห็นด้วยต้องเสนอคณะกรรมการ PPP พิจารณาและถือเป็นที่สิ้นสุด ส่วนครม.จะอยู่ในขั้นตอนสุดท้ายเมื่อสรุปผลการคัดเลือกได้ตัวเอกชนแล้วไม่ว่าจะใช้วิธีประมูลหรือเจรจา เพื่อยกร่างสัญญาและเสนอครม.เห็นชอบ
“เหตุผลที่รฟม.เสนอใช้รูปแบบ PPP-Net Cost เพราะขณะนี้ความเสี่ยงของเอกชนน้อยลงสามารถรับภาระการลงทุนระบบได้ ในขณะที่จะช่วยลดภาระการลงทุนของภาครัฐลง และขั้นตอนการพิจารณาจะเบ็ดเสร็จ ในคณะกรรมการ PPP ที่รองนายกฯสมคิดเป็นประธาน ซึ่งพร้อมที่จะพิจารณาเรื่องนี้ โดยเร่งด่วน ถือว่าคล่องตัวมากกว่า พ.ร.บ.ร่วมทุนฯ 35 เดิมที่ต้องเสนอครม. ตอนนี้ ผมจะเร่ง รฟม.สรุปผลการวิเคราะห์ได้ใน 2 เดือนและส่งไปที่ สคร.ทันที โดยข้อมูลจะต้องครบถ้วนเพื่อตอบคำถามได้ทั้งหมด”นายอาคมกล่าว