ASTV ผู้จัดการสุดสัปดาห์ -ความเคลื่อนไหวในการตามล่ามือระเบิดกลางสี่แยกราชประสงค์ยิ่งมายิ่งสับสน จนถึงวันนี้กว่าเดือนแล้วดูเหมือน “บิ๊กอ๊อด” พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ผบ.ตร. ผู้รอวันเกษียณในอีกไม่กี่วันนี้ จะใช้ความสามารถสุดฝีมือทำให้เรื่องราวที่เกิดขึ้นหาความชัดเจนอันใดมิได้ ยังไม่มีการยืนยันข้อมูลใดๆ ยังไม่ตัดประเด็นใดทิ้ง ยังไม่ได้รับการประสานงานมา ยังไม่รู้ และยังไม่ทราบ
แม้กระทั่งข่าวครึกโครมพาดหัวตัวเป้งที่มีการอ้างรายงานข่าวว่านายอาเดม คาราดัก ผู้ต้องหารายแรกที่ถูกจับกุม ที่พูลอนันต์อพาร์ทเม้นท์ ย่านหนองจอก ยอมรับสารภาพว่า เป็นชายเสื้อเหลืองที่ก่อเหตุวางระเบิดศาลท้าวมหาพรหม โดยอำพรางตัวด้วยการใส่วิกและแว่น
“มีรายงานตรงกันของหน่วยงานความมั่นคง และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ว่า เจ้าหน้าที่พบหลักฐานสำคัญซึ่งส่วนหนึ่งเป็นภาพจากกล้องโทรทัศน์วงจรปิดที่ได้มาใหม่ ว่า “ชายเสื้อเหลือง” ซึ่งตกเป็นผู้ต้องหาที่นำระเบิดไปวางบริเวณศาลท้าวมหาพรหม สี่แยกราชประสงค์ เมื่อค่ำวันที่ 17 สิงหาคม 2558 จนมีผู้เสียชีวิต 20 ราย และมีผู้ได้รับบาดเจ็บกว่าร้อยรายนั้น อาจเป็น นายอาเดม คาราดัก หรือ นายบิลาล เติร์ก มูฮัมหมัด ผู้ต้องหาที่ถูกจับกุมได้เป็นคนแรก” สำนักข่าวอิศรา รายงาน
แต่ “บิ๊กอ๊อด” ก็ยังบอกว่า ไม่ขอยืนยันข่าวนี้ เพราะผู้ต้องหาให้การกลับไปกลับมาต้องหาหลักฐานมามัดให้แน่นเสียก่อนจึงจะสรุปชัดเจนได้
เช่นเดียวกับ “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ที่ออกมาในทำนองเดียวกันว่า ขณะนี้อยู่ในขั้นตอนการสอบสวนของพนักงานสอบสวน ยังไม่สามารถยืนยันข้อเท็จจริงจากคำพูดของบุคคลเพียงคนเดียว เพราะใครก็สามารถรับสารภาพได้ ต้องมีพยานหลักฐานมาชี้แจงถึงที่มา สาเหตุการก่อเหตุ รวมถึงความเชื่อมโยงกับเครือข่าย เพื่อไม่ให้เกิดการไขว้เขว
พล.ต.ท.ประวุฒิ ถาวรศิริ ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ และโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ก็บอกว่า ยังไม่สามารถยืนยันได้ แม้ผู้ต้องหาจะรับสารภาพแล้วก็ตาม ซึ่งทางตำรวจยังต้องหาพยานหลักฐานเพิ่มเติมด้วย เพื่อให้หลักฐานแน่นหนามากขึ้น
ข้อสรุปของรัฐบาลไทย ก็คือ ยังไม่มีความชัดเจนใดๆ ทั้งตัวผู้ก่อเหตุและมูลเหตุจูงใจ
ส่วนสื่อสำนักไหนจะปะติดปะต่อเรื่องราวเพื่อหาความชัดเจนในเรื่องที่เกิดขึ้นก็อาจจะถูกหมายหัว สุ่มเสี่ยงต่อการถูกเรียกตัวไปปรับทัศนคติจาก คสช. ดังที่มีการออกมาปรามสื่อเมื่อเที่ยงวันที่ 23 กันยายนที่ผ่านมา ของ พ.อ.วินธัย สุวารี โฆษกคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ซึ่งแถลงผ่านโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทย ว่าอย่าวิเคราะห์ชี้นำให้เกิดปัญหา
“ตามที่ศูนย์ติดตามสถานการณ์คณะรักษาความสงบแห่งชาติ ได้ชี้แจงภาพรวมการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ และความคืบหน้าในการดำเนินคดีให้ทราบแล้วนั้น พบว่ายังมีสื่อมวลชนบางสำนักนำเสนอและวิเคราะห์เหตุจูงใจในการก่อเหตุที่แยกราชประสงค์ เชื่อมโยงไปยังประเด็นใดประเด็นหนึ่งเพียงอย่างเดียว อาจจะทำให้สังคมมีความเชื่อไปในทิศทางที่ถูกชี้นำดังกล่าว โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อข้อเท็จจริงไม่ตรงกับความเชื่อที่เกิดขึ้นจะเป็นการสร้างความสับสน รวมถึงอาจส่งผลต่อการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่และกระทบกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ
“ขอเรียนย้ำว่าในขณะนี้แนวทางการสืบสวนสอบสวนของเจ้าหน้าที่ยังให้ความสำคัญและไม่ได้ละทิ้งประเด็นใดๆ ที่อาจจะเกี่ยวโยงกับการก่อเหตุดังกล่าว จึงขอความร่วมมือพี่น้องประชาชนที่ให้ความสนใจและติดตามความคืบหน้าในคดีนี้อาจรับฟังการวิเคราะห์วิจารณ์เหล่านั้น แต่ไม่ควรด่วนสรุปเชื่อไปตามที่มีการวิเคราะห์ จนกว่าศูนย์ติดตามสถานการณ์คณะรักษาความสงบแห่งชาติ จะเรียนชี้แจงให้ทราบอย่างเป็นทางการต่อไป” โฆษก คสช. กล่าว
อ่านสัญญาณได้ว่า เหตุที่ “ไม่ได้ละทิ้งประเด็นใดๆ” หรือไม่ต้องการชี้ให้ชัดว่าสาเหตุที่ทำให้เกิดเหตุการณ์ระเบิดมาจากเรื่องอะไรกันแน่ เป็นเพราะหวั่นเกรงว่าจะกระทบกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ซึ่งที่ผ่านมาเรื่องที่เกิดขึ้นสื่อมวลชนแทบทุกสำนัก ไม่ใช่แค่สำนักใดสำนักหนึ่ง ต่างก็ตั้งข้อสังเกตตรงกันว่า เหตุจูงใจในการก่อเหตุมาจากการส่งตัวผู้หลบหนีเข้าเมืองชาวอุยกูร์ไปให้รัฐบาลจีน หรือไม่? เป็นการถามไถ่ตามหลักฐานพยานแวดล้อมจากข้อมูลที่ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจนั่นเอง
อาการหวั่นเกรงกระทบความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ที่ทำให้แนวทางการสืบสวนสอบสวนติดตามจับกุมผู้ต้องสงสัยเหมือนจะใกล้ความจริงเข้าไปทุกขณะแต่ก็มีเหตุให้วืดและกลับมาเริ่มต้นใหม่ เกิดขึ้นหลังจาก พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้า คสช. ออกมาย้ำหนักหนาว่ามูลเหตุจูงใจไม่เกี่ยวๆ กับเรื่องชาวอุยกูร์ “บิ๊กอ๊อด” ก็เลยต้องบอก ไม่ยืนยัน ยังไม่ชัดเจน และ พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา รอง ผบ.ตร. ก็ได้แต่บอกว่า ยังอยู่ระหว่างติดตามสืบสวนจับกุมมือระเบิดและผู้ร่วมขบวนการอยู่ ยังไม่พบผู้ต้องหาทั้งสองคน ทั้งชายเสื้อเหลืองและชายเสื้อฟ้า จากนั้น เมื่อมีกระแสข่าวหลุดออกมาว่านายอาเดม ให้การสารภาพ ระดับบิ๊กๆ ทั้งหลายต่างเฮโลพากันรีบเตะลูกออกนอกสนามไปเสียดื้อๆ
หากจับอาการลับ ลวง หลอก ในช่วงสัปดาห์สุดท้ายก่อน “บิ๊กอ๊อด” จะอำลาตำแหน่ง มีหลายเรื่องหลายช็อตที่สลับฉากกลับไปกลับมาพาให้งุนงง เริ่มจากข่าวใหญ่โตในเช้าวันที่ 22 กันยายน 2558 ที่สื่อหลายสำนักต่างประโคมข่าว “ชายต้องสงสัย” ที่ทางตำรวจสันติบาลมาเลเซีย จับกุมเมื่อกลางดึกคืนวันที่ 19 กันยายน 2558 นั้น สารภาพแล้วว่าเป็น “ชายเสื้อเหลือง”
แต่ตกบ่ายคล้อยในวันเดียวกัน และในอีกวันถัดมา 23 กันยายน 2558 “บิ๊กอ๊อด” ก็ออกมาปฏิเสธข่าวที่มีการกล่าวอ้างว่าทางมาเลเซียได้ควบคุมตัวชายเสื้อเหลืองไว้ได้นั้นจะเป็นการกล่าวอ้างโดยใคร หน่วยงานใดหรือสำนักข่าวไหน ในชั้นนี้ไม่สามารถยืนยันข้อมูลเหล่านั้นได้ เพราะยังไม่ได้รับการประสานงานมา ขณะเดียวกัน เราก็ไม่กล้าที่จะยืนยันข้อมูลหรือข่าวสารเหล่านั้น จะมีการควบคุมตัวชายเสื้อเหลืองไว้จริงหรือไม่ตนยังไม่ทราบในเรื่องนี้ และไม่ยืนยันว่ามีการควบคุมไว้หรือไม่
“ข่าวที่ว่าทางการมาเลเซียได้ส่งภาพผู้ต้องสงสัยมาให้ทางการไทยนั้น ไม่มีการประสานงานถึงขนาดนั้น ที่บอกว่าชื่อนายนาริเป็นชื่อของชายเสื้อเหลืองก็ไม่ทราบ ไม่ยืนยัน ส่วนทางประเทศมาเลเซียควบคุมผู้ต้องสงสัยด้วยข้อหาอะไร ผมไม่ทราบ เราไปพูดคุย เราไม่สามารถซักถามหรือลงลึกในรายละเอียด ” พล.ต.อ.สมยศ ระบุ
พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (รอง ผบ.ตร.) ด้านความมั่นคง ก็ปฏิเสธเช่นเดียวกันว่า ยังไม่มีการควบคุมตัวมือระเบิดแต่อย่างใด ข่าวที่ออกมาอาจเป็นข้อมูลเก่า ต้องตรวจสอบพูดคุยกับทางการมาเลเซียเสียก่อน ยืนยันว่ายังไม่พบตัวผู้ต้องหาทั้งสองคน ยังคงสืบสวนติดตามจับกุมอยู่ ตนเพิ่งลงพื้นที่เพื่อหาข่าวความเคลื่อนไหวของผู้ต้องหา ข่าวที่ออกไปมีการระบุชื่อชายเสื้อเหลืองนั้นตนเห็นแล้วก็งงเหมือนกัน ออกมาได้อย่างไร ตอนนี้ยังไม่ได้ตัวเลย
ขณะที่สื่อต่างประเทศ โดยสำนักข่าวเอพี รายงานว่า ทางมาเลเซีย ได้ยืนยันว่ามีการควบคุมตัวผู้ต้องสงสัย 8 คนไว้สอบปากคำ โดย นอร์ ราชิด อิบราฮิม รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ มาเลเซีย เผยว่า ผู้ต้องสงสัยทั้งหมดถูกรวบตัวในกรุงกัวลาลัมเปอร์และรัฐกลันตัสทางตะวันออกเฉียงเหนือของมาเลเซียเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ในจำนวนนั้น 4 คนเป็นชาวมาเลเซีย ซึ่งน่าจะเกี่ยวข้องกับขบวนการค้ามนุษย์ ส่วนอีก 4 คน เชื่อว่าเป็นชายชาวอุยกูร์ที่ลักลอบเข้าประเทศผิดกฎหมาย แต่ยังไม่มีหลักฐานว่าทั้ง 4 คนมีส่วนเกี่ยวข้องโดยตรงกับเหตุระเบิดบริเวณแยกราชประสงค์หรือไม่ แต่ทั้งหมดกำลังถูกสอบปากคำเพื่อพิสูจน์ว่าพวกเขาอาจมีบทบาทใดบทบาทหนึ่งในความเคลื่อนไหวอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับเหตุโจมตีดังกล่าว
“ตอนนี้ยังไม่มีหลักฐานที่ชัดแจ้งว่าพวกเขามีส่วนเกี่ยวข้อง” นอร์ ราชิด บอกกับผู้สื่อข่าว พร้อมเผยว่าตำรวจไทยได้รับแจ้งแล้ว และหวังว่าตำรวจไทยจะสามารถช่วยเหลือในการระบุตัวตนชายเหล่านี้ โดยไทยจำเป็นต้องให้ข้อพิสูจน์พื้นฐานว่าคนเหล่านี้มีความเกี่ยวข้องกับเหตุระเบิด หากต้องการให้มาเลเซียส่งตัวพวกเขาในฐานะผู้ร้ายข้ามแดน
เอพี ระบุด้วยว่า ทางการไทยสงสัยว่าพวกอยู่เบื้องหลังเหตุระเบิดนาจะมาจากแก๊งที่เกี่ยวข้องกับการลักลอบพาชาวอุยกูร์ออกจากมณฑลซินเจัยงของจีน ขณะที่คนอื่นๆ คาดเดาว่าอาจเป็นพวกแบ่งแยกดินแดนหรืออิสลามิสต์หัวรุนแรงที่โกรธเคืองไทยกรณีส่งตัวชาวอุยกูร์กลับไปจีนเมื่อเดือนกรกฎาคม ที่ผ่านมา
แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม โดยสรุปรวมความแล้ว ความคืบหน้าของคดีบึ้มราชประสงค์เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาก็คือไม่มีความคืบหน้า และไม่มีความชัดเจนใดๆ ยกเว้นเรื่องที่ศาลจังหวัดมีนบุรีอนุมัติหมายจับชายที่มีความเชื่อมโยงระเบิดแยกราชประสงค์เพิ่มเติมอีกหนึ่งคน เป็นชายไม่ทราบชื่อและสัญชาติ อายุประมาณ 30 ปี สูง 170 เซนติเมตร ถูกตั้งข้อกล่าวหาว่าร่วมกันทำวัตถุระเบิดซึ่งนายทะเบียนออกใบอนุญาตให้ไม่ได้ เท่านั้น
เมื่อรัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์ หวั่นเกรงผลกระทบต่อความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ขณะที่เกมเลือกข้างโหนขั้วมหาอำนาจตะวันออกเพื่อต่อรองกับแรงกดดันจากมหาอำนาจตะวันตก กำลังเข้มข้น “RATCHAPRASONG CONSPIRACY” คงจบลงแบบอึมครึมและคลุมเครือยากจะหาความชัดเจน